ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 2.1
ยามนี้กำลังอยู่ในช่วงกลางฤดูร้อน ตอนบ่ายอากาศร้อนอบอ้าว มองไปไกลฟ้าล้วนเป็นผืนสีขาว ทำเอาคนหายใจไม่ค่อยสะดวก สวนดอกไม้เล็กๆ ที่เรือนรับรองหลังสำนักเส้าหยางกลับมีลมเย็นพัดแผ่วเบา ต้นไม้สูงตระหง่านบดบังแสงอาทิตย์ร้อนแรง ลมพัดกลางป่า เกิดเสียงกระทบดังกระจ่างโสต ราวกับเป็นบทเพลงกล่อมนิทราที่ดีที่สุด
เด็กหญิงอายุราวสิบปีนางหนึ่งนั่งอยู่บนหินชิงสือก้อนใหญ่ข้างสระน้ำ ผมยาวดำขลับ ปล่อยยาวสยายคลุมแผ่นหลัง ในมือนางถือหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่ง กำลังอ่านด้วยท่าทีเกียจคร้าน
“ทางใต้ไปสามร้อยลี้ เรียกว่าเขาเกิ่งซาน ไร้ต้นไม้ น้ำสีเขียว งูยักษ์มาก มีสัตว์ป่าอยู่…”
นางท่องชื่อปีศาจกระท่อนกระแท่น ท่องได้ไม่กี่คำก็เกียจคร้านอีก ถอดรองเท้า เท้าเรียวราวหยกขาวจุ่มลงในสระน้ำ หยอกเย้าปลาไนหางทองที่กำลังหาอาหาร พลางหยอกล้อกล่าวว่า “มีสัตว์ป่า มีปลา มีล่า มีจับ ทำเป็นของอร่อย!”
“อันใดอร่อย” เสียงชายหนุ่มดังมาจากด้านหลัง ราวกับมีน้ำเสียงเจือหัวเราะ
เด็กหญิงชักเท้าขึ้นมาท่าทางเกียจคร้าน สวมถุงเท้า ไม่หันมอง กล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ อร่อยอันใด”
ตู้หมิ่นหังเดินไปข้างกายนาง ลูบหัวนางอย่างรักใคร่เอ็นดู ยิ้มถามว่า “ดังนั้น ข้าจึงถามเจ้าอย่างไร เมื่อครู่เจ้ากล่าวอะไรคนเดียว?”
เด็กหญิงพลิกสมุดเล่มใหญ่ในมือให้เขาดู “กำลังท่องชื่อปีศาจอยู่ น่าเบื่อมาก”
ตู้หมิ่นหังเห็นท่าทีเกียจคร้านนางแล้วก็อดไม่ได้หลุดหัวเราะออกมา “มิน่า ทั้งวันอาจารย์เอาแต่ว่าเจ้าขี้เกียจ ไม่ยอมฝึกวิชา แม้แต่สมุดรายชื่อปีศาจก็ไม่ยอมท่อง เจ้าก็ขี้เกียจเกินไปหน่อยแล้วนะ”
เด็กหญิงไม่กล่าวอะไร เอาแต่ก้มหน้าเล่นกับหยกประดับที่กระโปรงนาง ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้เอาแต่ใจกล่าวว่า “โอย วันๆ เอาแต่ฝึกวิชาๆ ทำเอาปวดขาเมื่อยเอวไปหมด ไม่รู้มีประโยชน์อันใด ข้าไม่ใช่ผู้ที่สนใจสำเร็จผลเป็นเซียน หากเหมือนศิษย์พี่พวกนั้นที่วันๆ เอาแต่ฝึกเหงื่อท่วมทั้งวัน เหม็นตายเลย”
ตู้หมิ่นหังได้ยินวาจาเด็กน้อยของนาง ก็หัวเราะขึ้น “ฝึกวิชาก็เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง เจ้าเองก็มิได้บูชาเทพเจ็บป่วยกระมัง? สุขภาพแข็งแรงแล้วจึงจะบำเพ็ญวิถีบรรลุเซียนได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะฝึกเหินกระบี่ได้อย่างไร จะขจัดภูตผีปีศาจได้อย่างไร”
นางกลับไม่อาจมีเหตุผลบิดเบี้ยวโต้แย้งได้อีก ในใจรู้สึกเพียงศิษย์พี่ใหญ่กล่าวได้มีเหตุผล แต่หากจะให้นางฝึกกระบี่ยุทธ์ เป็นเรื่องที่เป็นไม่ได้อย่างยิ่ง
ตู้หมิ่นหังเองก็ไม่ได้คิดจะกล่าวหลักการยิ่งใหญ่อันใดกับเด็กหญิงตัวน้อย
เด็กหญิงผู้นี้ไม่เหมือนหลิงหลง กล่าวหลักการกับนางและหลิงหลง หลิงหลงหากไม่ชอบฟังก็จะโต้แย้ง แย้งไม่ชนะก็จะยอมเชื่อฟัง แต่กล่าวเหตุผลกับเด็กหญิงผู้นี้ สามวันสามคืนล้วนพูดจนปากเปื่อย นางก็แค่พยักหน้าตอบรับ หันหลังก็ลืม ทำตามใจตนเองต่อไปดังเดิม เกียจคร้านจนฟ้าพิโรธผู้คนก่นด่า
“อาจารย์หญิงวันนี้มอบกระบี่ต้วนจินให้แก่ศิษย์น้องหลิงหลงแล้ว” เขากล่าวพลางใช้กิ่งหลิวหยอกปลาไนในบ่อไปพลางกล่าว “พี่สาวเจ้าจากวันนี้ไปก็จะไม่จำเป็นต้องฝึกเพลงหมัดและตั้งท่าหม่าปู้แล้ว ฝึกกระบี่ได้แล้วนะ”
“อ้อ” นางตอบสนองเฉยชา ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ฉู่เสวียนจี” เขาพลันเรียกชื่อนางจริงจัง
เสวียนจีอึ้งไปครู่หนึ่ง โดดลงจากหินชิงสืออย่างไม่เต็มใจนัก คำนับเขาแล้วกล่าวว่า “เสวียนจีอยู่นี่ ศิษย์พี่ใหญ่มีอะไรจะสอนสั่ง?”
ตู้หมิ่นหังปั้นหน้านิ่ง ถามว่า “เหตุใดไม่ยอมฝึกวิชา”
นางกัดริมฝีปาก สีหน้าดื้อรั้นและเอาแต่ใจแบบเด็กน้อย เป็นนานจึงเบ้ปากกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ และอาจารย์ลุง อาจารย์อา ทุกท่านพากันกล่าวถึงหลักการเหตุผล ข้าล้วนเข้าใจ แต่เข้าใจใช่ว่าต้องทำ ข้าคิดไม่ออกว่าทำไมต้องฝึก ท่านถามข้าพันครั้ง ข้าก็ไม่กระจ่าง”
ตู้หมิ่นหังได้แต่ถอนหายใจ ศิษย์น้องหญิงสองคนตัวน้อยของเขา แต่ไรมาเขาก็ปฏิบัติอย่างเท่าเทียม รักใคร่เอ็นดูราวกับน้องสาวแท้ๆ ตนเอง เพียงแต่หลิงหลงภายนอกร่าเริงอยู่สักหน่อย ทุกคนอดเอ็นดูนางมากหน่อยไม่ได้ กล่าวตามจริงเขาเป็นคนอารมณ์ดี หลายครั้งก็ยังอดคิดจะลงมือจัดการเสวียนจีสักครั้งไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงอาจารย์และอาจารย์หญิงเลย ผู้ใดจะรู้สึกดีกับก้อนหินได้ลง เจ้าด่าเจ้าดุ นางไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกล้มเหลวเสียจริง
“เมื่อครู่ที่ลานฝึกยุทธ์อาจารย์เพิ่งจะโมโห” เขาแสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมา “บอกว่าสิบวันมานี้เจ้าไม่ได้ฝึกวิชา ลืมกฎระเบียบเส้าหยางไปหมดสิ้น ตอนนี้จึงให้ข้ามาหาตัวเจ้า บอกว่าจะลงโทษเจ้าให้หนัก เจ้าก็ลองดูเองว่าควรทำเช่นไร”
เสวียนจีพอได้ยินว่าท่านพ่อโมโห ในที่สุดก็เริ่มกลัวหน่อยหนึ่งแล้ว นางเหลือบมองมุมเสื้อ ทำเหมือนอยากจะกล่าวก็ไม่กล่าวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเบาๆ ว่า “ไม่อาจ…ไม่ไปได้หรือไม่ บอกว่าหาข้าไม่พบ…”
ตู้หมิ่นหังส่ายหน้า “อาจารย์ครั้งนี้ตั้งใจมั่นแล้ว หลิงหลงพี่สาวฝาแฝดเจ้าก็สืบทอดกระบี่ต้วนจินอันเป็นเทพศาสตราของอาจารย์หญิงแล้ว เจ้าแม้แต่เพลงหมัดเสวียนหมิงกลับฝึกไม่ครบถ้วน อาจารย์เป็นเจ้าสำนัก จะคอยปกป้องบุตรสาวตนเองตลอดไปได้อย่างไร ครั้งนี้หากไม่ลงโทษเจ้าหนักๆ ศิษย์คนอื่นจะคิดเช่นไร”
เสวียนจีท่าทางเหมือนโดนรังแก กล่าวว่า “เหตุใดต้องสนใจผู้อื่นคิดอย่างไร…กฎระเบียบกฎระเบียบ…พวกเราไม่ใช่สุนัขล่าสัตว์ ไยต้องการกฎระเบียบ!”
ตู้หมิ่นหังคว้าคทาสมประสงค์เหล็กนิลออกจากอกเสื้อ ค่อยๆ โยนขึ้นกลางอากาศ คทาสมประสงค์ดำมันยาวสองฉื่อชิ้นนั้นก็แกว่งไปมากลางอากาศสองที จากนั้นก็หยุดอยู่นิ่งตรงนั้น
เขากระโดดขึ้นไป ก้มตัวยื่นมือให้นาง กล่าวว่า “มา อย่าเอาแต่พร่ำบ่นเลย รีบไปพบอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่กับอาจารย์หญิงจะช่วยขอร้องแทนเจ้าเอง ครั้งหน้าอย่าได้เกียจคร้านเช่นนี้อีก!”
ในใจเสวียนจีมีแต่ความรู้สึกไม่ยินยอมพันหมื่นประการ แต่ก็ไม่ฝืนอำนาจบารมีบิดาที่สั่งสมมานานวันได้ ได้แต่ค่อยๆ จับมือศิษย์พี่ใหญ่ด้วยท่าทีไม่อยากยิ่ง คิดในใจหากพบบิดาแล้วจะกล่าวเช่นไรไปพลางทำหน้าน่าสงสารขอร้องไปพลาง “ศิษย์พี่ใหญ่…ข้าไม่อยากถูกตี…”
ตู้หมิ่นหังเห็นนางพูดจาน่าสงสาร ในใจก็พลันอ่อนยวบ กล่าวอ่อนโยนว่า “เอาเถอะ ศิษย์พี่ใหญ่จะต้องช่วยเจ้าพูดวาจาดี! ขอเพียงครั้งหน้าอย่าได้ไม่ฝึกวิชาติดต่อกันสิบวันอีก ศิษย์พี่ใหญ่จะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้ว!”
เสวียนจีไม่ตอบ ในใจตู้หมิ่นหังแอบทอดถอนใจ เท้าขวากดแน่นลงอีกหน่อย คทาสมประสงค์เหล็กนิลก็หันเหินไปทางลานฝึกยุทธ์บนยอดเขาทันที พริบตาทั้งสองคนก็หายไป เหลือเพียงภาพจุดดำเล็กๆ
เขาแรกอรุณมีลานฝึกยุทธ์ใหญ่เล็กทั้งหมดสิบกว่าแห่ง แบ่งไว้สำหรับบรรดาศิษย์แต่ละสายฝึกฝนบำเพ็ญ สำนักเส้าหยางเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่บำเพ็ญเซียนในใต้หล้า ศิษย์มากมาย วาสนามหาโชค ตั้งแต่บรรพชนเจ้าสำนักเริ่มจากเซียนจิ่งหยาง สำนักเส้าหยางก็แบ่งออกไปเป็นเจ็ดสำนักสาขา สำนักแห่งแรกนามหอเย่ายื่อมีเจ้าสำนักฉู่เหล่ยดูแล ที่เหลืออีกหกสำนักสาขาได้แก่ หอชิงซวี หอซวี่หยาง เป็นต้น ล้วนดูแลโดยศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ของเจ้าสำนัก
สำนักเส้าหยางแบ่งสาขามากมาย ศิษย์ก็มากมาย แต่สิ่งที่ทุกคนชมชอบเช่นกันก็คือล้วนเห็นภารกิจบำเพ็ญเซียนฝึกจิตเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ร่วมแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับสำนักอื่น บรรพจารย์ที่สำเร็จผลไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงพวกนี้ คิดแล้วก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายร้อยปีมานี้เส้าหยางหนักแน่นยืนยง
ยามนี้เจ้าสำนักฉู่เหล่ยกำลังคุมการฝึกยุทธ์ของบรรดาศิษย์สำนัก ณ ลานฝึกยุทธ์ใหญ่บนยอดเขาเหอตันผิงฮูหยินก็กำลังตั้งใจแนะกระบวนท่าออกหมัดให้กับบรรดาศิษย์หญิง หลังเที่ยง ลานฝึกยุทธ์ร้อนราวกับรังนึ่ง ทุกคนเหงื่อไหลโทรมกายราวต้องฝน ลานฝึกยุทธ์กว้างขวาง นอกจากมีเสียงออกกระบวนท่าเป็นบางครั้งแล้ว ถึงกับเงียบกริบไร้สำเนียง ทุกคนรู้ว่ากำลังตกในอันตราย เพียงเพราะเมื่อครู่ฉู่เหล่ยโมโหมากที่บุตรสาวคนเล็กเสวียนจีไม่ศึกษาหาความก้าวหน้า วันๆ เอาแต่แอบเกียจคร้าน บรรดาศิษย์รู้ว่าเจ้าสำนักอารมณ์ร้อนและโทสะแรง กลัวว่าไม่ระวังแตะต้องโดนของร้อนเข้า ดังนั้นจึงได้แต่กัดฟันฝึกหนัก ถึงเจ็บเอ็นเจ็บกระดูกก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องเจ็บปวด
เหอตันผิงมองศิษย์สองคนที่กำลังประลองกระบี่กันอยู่ เห็นพวกนางฝึกได้ไม่เลว ก็เดินไปข้างลานฝึก ดื่มน้ำคำหนึ่ง เงยหน้ามองแสงอาทิตย์ การฝึกยามบ่ายใกล้จะเสร็จแล้ว ตู้หมิ่นหังกลับยังไม่พาเสวียนจีมา หันไปมองสีหน้าฉู่เหล่ยเขียวดำคล้ำปะปน คิดว่าเขาคงจะกำลังพยายามระงับความโกรธที่ปะทุขึ้น
นางแอบลอบทอดถอนใจ เดินไปกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านพี่…เสวียนจีหลายวันนี้มักร้องอึดอัดใจ คิดว่าคงเป็นเพราะสุขภาพไม่ดี ท่านก็อย่าได้โมโหไปเลย นางอายุยังน้อย บีบบังคับมากไป เกรงว่าไม่อาจ…”
ฉู่เหล่ยกลับไม่ตอบ เพียงเผยยิ้มเยียบเย็น เงยหน้ามองหลิงหลงบุตรสาวคนโตของตน กำลังถือกระบี่ต้วนจินของมารดานางสั่นระริก ตั้งอกตั้งใจตั้งกระบวนท่ากระบี่ ใบหน้าน้อยเริ่มแดงเพราะไอร้อน กลับไม่ร้องลำบากสักคำ อดแค่นเสียงเย็นกล่าวไม่ได้ “อายุยังน้อย? หลิงหลงกับนางเป็นพี่น้องฝาแฝด นางฝึกกระบี่แล้ว เสวียนจีเล่า?! ล้วนเพราะเจ้าปกติเอาแต่เอาใจนาง! เอาใจนางจนไร้ขอบเขต ไม่เรียนรู้วิชา!”
เหอตันผิงรู้ว่าครั้งนี้สามีโมโหแล้ว ไม่เช่นนั้นปกติเขาจะไม่กล่าววาจาเช่นนี้กับตนอย่างเด็ดขาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางกล่าวปกป้องอีก ก็คงได้แต่ราวราดน้ำมันลงบนกองไฟ ได้แต่ปิดปากเงียบไม่กล่าวถึงอีก
เบื้องหน้า หลิงหลงอายุสิบเอ็ดเพิ่งจะตั้งกระบวนท่าเสร็จ ก็ลากกระบี่ไปหาศิษย์พี่หกของนางจงหมิ่นเหยียน ร้องเรียกขึ้น “นี่! มาลองกระบวนท่ากับข้าสักสองสามกระบวน!”
จงหมิ่นเหยียนกำลังตั้งท่าหม่าปู้อยู่ตรงนั้น ใบหน้าใสสะอาดเปียกชื่นไปด้วยเหงื่อ เขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ชื่อว่านี่!”
หลิงหลงกระทืบเท้าร้อนใจกล่าวว่า “เร็วหน่อย! มาลองกระบวนท่าเป็นเพื่อนข้า!”
เขาย่อมไม่ยอมทำตาม วาจามีน้ำเสียงเจือหัวเราะ “ข้าไม่ได้ชื่อ เร็วหน่อย!”
หลิงหลงเหมือนบิดานาง ก็คืออารมณ์ร้อน พูดสองคำเห็นเขาไม่ขยับก็โมโห กล่าวใจร้อนว่า “เจ้าไม่มาเป็นเพื่อนข้าลองกระบวนท่า ข้าก็จะแทงใส่แล้วนะ!”
จงหมิ่นเหยียนเห็นนางโมโหแล้ว ก็รีบเก็บคืนท่า หลุดหัวเราะเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าเรียกข้าดีๆ ว่าพี่หมิ่นเหยียนสักคำ ข้าถึงจะฝึกเป็นเพื่อนเจ้า ไม่อย่างนั้นแม้เจ้าแทงข้าเป็นรูรังผึ้ง ก็อย่าได้หวัง”
หลิงหลงกระทืบเท้าเต็มแรง ร้องว่า “จงหมิ่นเหยียน! เจ้ารู้แต่พูดจาเหลวไหล! เจ้าไม่ฝึกเป็นเพื่อนข้า ย่อมเพราะมิได้ฝึกวิชากระบี่เหยาหวาได้ดี! ข้าไม่ฝึกกับเจ้าแล้ว!”
“เอาน่าๆ” จงหมิ่นเหยียนหันไปยืมกระบี่กับศิษย์หญิงข้างๆ มาเล่มหนึ่ง ยิ้มกล่าวว่า “ร่วมฝึกกับเจ้าก็แล้วกัน อารมณ์คุณหนูเสียจริง”
หลิงหลงใจร้อน เห็นเขาตั้งกระบวนท่าเสร็จ ก็ตวัดกระบี่เข้าใส่ นางตัวเล็กแรงน้อย พริบตาเกือบทำกระบี่หลุดมือออกไป จงหมิ่นเหยียนรีบรับไว้ หลุดยิ้มกล่าวว่า “กระบี่ยังกุมไม่มั่น ประลองกระบวนท่าอันใด”
หลิงหลงใบหน้าแดงก่ำ กำลังจะโต้กลับ ก็ได้ยินฉู่เหล่ยด้านหลังกล่าวว่า “หมิ่นเหยียน เจ้ามานี่”
จงหมิ่นเหยียนรีบหุบยิ้ม ก้มกายคำนับอย่างนอบน้อม “อาจารย์มีอันใดสั่งการ”
ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ไปหาศิษย์น้องเล็กเจ้า ตอนนี้ยังไม่กลับมา เกรงว่าจะใจอ่อน ถูกนางกล่อมไปแล้ว เจ้าไปดูหน่อย พบนางแล้วไม่ต้องกล่าวอันใด จับตัวกลับมาทันที”
จงหมิ่นเหยียนแอบร้องโชคร้ายในใจ ทั้งเส้าหยาง เขากับผู้ใดล้วนคุยกันได้ มีแต่ฉู่เสวียนจีที่วุ่นวายผู้เดียว สองคนมักไม่ถูกกัน พูดกันสองคำ เขาก็คิดจะลงมือกับนาง นี่กลับให้เขาไปตามนาง
เขาคิดเร็วพลันว่าจะปฏิเสธเช่นไร กล่าวติดๆ ขัดๆ ว่า “อาจารย์…ข้า…ข้า…กำลังร่วมฝึกกระบวนท่ากับศิษย์น้องหลิงหลง…”
กล่าวจบอาจารย์กลับไม่มีปฏิกิริยาใด เขาลอบเงยหน้ามอง กลับเห็นสีหน้าดำคล้ำเงยมองไปบนท้องฟ้าข้างหน้า เขาจึงเงยหน้ามองตามไป เห็นศิษย์พี่ใหญ่ตู้หมิ่นหังนำเสวียนจีร่วมเหินมาด้วย
พริบตา บรรดาศิษย์ในลานฝึกยุทธ์พากันหยุดนิ่ง เงยหน้ารอดูละครสนุก ชื่อเสียงเสวียนจีในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องแต่ไรล้วนไม่ได้ดีเท่าหลิงหลง นางเป็นคนประหลาด สัมพันธ์ด้วยยาก ดังนั้นคนรอดูละครสนุกจึงมีมาก ถึงกับมีคนคิดแต่เรื่องขั้นเลวร้าย รอดูเพียงว่านางจะโดนลงโทษให้เสียหน้าอย่างไร