ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 33
งานชุมนุมปักบุปผาดำเนินมาถึงเช้าวันที่สี่ ผู้ชมยิ่งมาก หลายคนจากสำนักเล็กอื่นๆ มาชมเพื่อศึกษา ยังมีชาวบ้านใกล้เคียงที่ชอบดูเรื่องสนุก พากันมาชมการประลองรอบสุดท้ายที่ยอดเยี่ยมที่สุดกันแต่หัววัน
การประลองสามรอบแรกคัดศิษย์ส่วนใหญ่ออกไป ตอนนี้เหลือเพียงเจ็ดคน รวมอูถงที่โชคดีจับได้ฉลากเปล่าไปคราก่อน ทั้งหมดรวมแปดคน จะได้ตัดสินแพ้ชนะในสองวันนี้เพื่อไปปักบุปผา
เช้าวันนี้เสวียนจียังไม่ตื่นก็ถูกพวกศิษย์พี่ใหญ่ตู้หมิ่นหังลากออกจากห้อง บอกว่าไปแย่งที่นั่งดีๆ ต้องไปแต่เช้าหน่อย ไม่อย่างนั้นถูกฝูงคนเบียดให้ร่นถอยไปด้านหลัง ก็มองอะไรไม่เห็นแล้ว
“ข้าง่วงมาก…” เสวียนจีนั่งอยู่บนตำแหน่งที่ว่าดีที่สุดที่เรียกว่า ‘ที่สุดยอด’ แท้จริงก็คือกองหินสองสามก้อนที่กองอยู่ด้านหน้า พวกเขาหลายคนนั่งอยู่บนนั้น ทั้งสบายทั้งสูง นางยังหาวไม่เสร็จก็เริ่มโงนเงนไปมา ชนเข้ากับตู้หมิ่นหังที่เห็นนางกำลังจะหลับ
“ตอนนี้อย่างไรเจ้าก็ควรตั้งสติขึ้นมาหน่อยนะ” ตู้หมิ่นหังยิ้มเฝื่อน “บนนี้มีแต่พวกเราศิษย์เส้าหยาง เจ้าต้องให้กำลังใจพวกเขาถึงจะถูก”
เสวียนจีขยี้ตา ฝืนนั่งตัวตรง พลันพบสิ่งหนึ่งผิดปกติ นางมองซ้ายมองขวา ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง ยังมีศิษย์พี่หก พวกเขานั่งอยู่บนก้อนหิน มีเพียงหลิงหลงหายไป
“หลิงหลงล่ะ นางวิ่งไปไหนแล้ว” นางอดถามไม่ได้ หลิงหลงเป็นคนที่เฝ้ารอการประลองรอบสุดท้ายมาตลอดนะ
นางไม่เอ่ยชื่อยังดี พอเอ่ยขึ้น สีหน้าจงหมิ่นเหยียนก็ราวกับกินมะระขม ถอนหายใจยาว เอาแต่ส่ายหน้า
ตู้หมิ่นหังกล่าวเบาๆ ว่า “เมื่อวานพวกเจ้าทะเลาะกันหรือ เช้านี้ข้ากับหมิ่นเหยียนไปตามนาง เกือบถูกนางเอาน้ำสาด ไม่พูดสักคำก็ปิดประตู เรียกอย่างไรก็ไม่ออกมา”
หรือว่าเพราะเรื่องเมื่อวาน เสวียนจีอดอุทานไม่ได้ กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไปตามนาง”
จงหมิ่นเหยียนเห็นนางโดดลงจากก้อนหิน คิดรีบตามไปด้วย “ข้าไปด้วย!”
ตู้หมิ่นหังอายุมากกว่าหน่อย หลายวันมานี้ก็พอมองออกอยู่บ้างแล้วจึงดึงเขาไว้ “หมิ่นเหยียนอย่าไป นั่งลง”
จงหมิ่นเหยียนไม่กล้าขัดศิษย์พี่ใหญ่ ได้แต่กลับลงนั่งอย่างไม่ยินยอมนัก
เสวียนจีกว่าจะเบียดฝูงชนออกไปถึงหน้าประตูห้องหลิงหลงได้ ก็พบว่าหน้าประตูห้องนางเปียกแฉะ ประตูปิดสนิท ที่ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวมานั้นเป็นความจริง
นางอุทานเบาๆ เดินเข้าไปเคาะประตู “หลิงหลง ข้าเอง เปิดประตู”
รออยู่นาน เสียงหลิงหลงจึงดังออกมา “เจ้าไม่ต้องมาสนใจข้า! ไปให้หมด!”
เสวียนจีถอนใจกล่าวว่า “เจ้าโมโหอะไรกัน…ไม่อยากให้ข้าไปยอดเขาเสี่ยวหยางใช่หรือไม่”
หลิงหลงเงียบไปนานก่อนจะร้องไห้ดัง “ผู้ใดบอกว่าข้าโมโห! ข้าเปล่า! แต่อย่างไร…อย่างไรเจ้าก็ไม่อยากอยู่กับข้า จะจากข้าไป! เจ้าไปเลย! ไม่ต้องสนใจข้า!”
ผู้ใดบอกว่านางเป็นเด็กน้อย? เห็นๆ อยู่ว่าหลิงหลงเด็กน้อยยิ่งกว่าอีก!
เสวียนจีผลักประตู ด้านในลงกลอนไว้ ผลักไม่ออก นางได้แต่นั่งลงบนธรณีประตู สองมือสอดเข้าในแขนเสื้อ ค่อยๆ กล่าวเนิบช้าว่า “ข้าไม่ได้ไม่อยากอยู่กับเจ้า แต่ท่านพ่อไม่ชอบให้ข้าอยู่เส้าหยาง ท่านพ่อเห็นข้าก็โมโห ข้าเห็นท่านพ่อก็กลัว เป็นเช่นนี้ข้ารับไม่ไหว หลิงหลง ข้าไม่เหมือนเจ้า วิชากระบี่เอย วรยุทธ์เอย สำหรับข้าไม่น่าสนใจสักนิด เจ้าว่า เจ้าสำนักเส้าหยางผู้หนึ่ง พูดออกไปชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด แต่กลับมีบุตรสาวไร้ประโยชน์เช่นข้า ท่านพ่อไม่รู้สึกเสียหน้า ข้าเองกลับรู้สึกแย่ยิ่ง ไม่สู้ไปยอดเขาเสี่ยวหยาง ท่านพ่อไม่เห็นข้า ข้าก็ไม่เห็นท่านพ่อ เช่นนี้น่าจะรับได้ขึ้นมาหน่อย”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องรังเกียจวิชากระบี่และวรยุทธ์เล่า หากเจ้ากลัวเรียนไม่ได้ ข้าสอนเจ้าได้นี่! สอนเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นอย่างละเอียดเลย! เจ้าอย่าไปเลยนะ!”
หลิงหลงร้องไห้ดังลั่น
เสวียนจีเม้มปาก พิงประตูอย่างเกียจคร้าน
แสงอาทิตย์แรกเพิ่งขึ้นก็ทะลุชั้นเมฆออกมาแล้ว แสงทองหมื่นสายสาดส่องทั่วยอดเขา เมฆขาวไร้ขอบเขต เรียงตัวเป็นวงก้อนหยุดบนยอดเขาสักพักก็จากไป ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าไปที่ใด ยามใดจะหยุดอย่างเกียจคร้านอีก
บางทีพวกมันเองก็อาจไม่รู้ว่าจะไปที่ใด จะทำอันใด พวกมันไม่มีราก ตัวคนเดียวโดดเดี่ยว อิสระเสรี แต่กลับว่างเปล่ายิ่ง
นางจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยได้ยินท่านพ่อกับท่านแม่สองคนคุยกันถึงนางสองพี่น้อง สำหรับหลิงหลงย่อมชมไม่ขาดปาก แต่พอเอ่ยถึงนาง ทั้งสองได้แต่ทอดถอนใจ
นางจึงได้กลายเป็นก้อนแห่งความอับอายอย่างไร้เหตุไร้ผลไปเช่นนี้
เหตุใดไม่ยอมบำเพ็ญเพียรเล่า
หลายคนเคยถามคำถามนี้กับนาง นางไม่เคยตอบ จิตใต้สำนึกของนาง การบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ไร้ความหมายยิ่ง คนก็คือคน เซียนก็คือเซียน วัฏฏะต่างกัน ต่างภพภูมิ ไม่มีดีร้ายสูงต่ำ พวกเขามีชีวิตเช่นนั้นทั้งชีวิต สุดท้ายความทรงจำทั้งหมดก็มีแค่คำว่า บำเพ็ญวิถีเซียน เกิดเป็นคนมาชีวิตหนึ่งเสียเปล่าไปเช่นนี้
ฉู่เสวียนจี เจ้าช่างราวกับคนไร้ใจ ครั้งหนึ่งศิษย์พี่ใหญ่ถูกนางทำให้โมโหยิ่ง จึงสบถวาจาเช่นนี้ออกมาอย่างเสียไม่ได้
“เสวียนจี…ไยเจ้าไม่พูดอันใดอีก” หลิงหลงในห้องถามอย่างหวาดกลัว
นางอึ้งไปครู่ก่อนจะกล่าวว่า “หลิงหลง ข้าคารวะอาจารย์ไปแล้ว ต้องไปยอดเขาเสี่ยวหยาง ดังนั้นเวลาที่ข้าจะอยู่เส้าหยางก็อีกไม่นานแล้ว เจ้าไม่คิดจะอยู่เป็นเพื่อนข้าในสองสามวันสุดท้ายวันนี้หรือ”
ในห้องเงียบไป
นางลอบถอนหายใจ ลุกขึ้นจะจากไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าว พลันได้ยินเสียงประตูเปิด มีคนถลาออกมา โดดคร่อมหลังนางหนึบ ร้องไห้ไปกล่าวไปว่า “ก็ได้! ข้าเป็นเพื่อนเจ้า! เป็นอย่างนี้ทุกที ใจเจ้าแต่ไรมาไม่เคยมีข้า!”
เสวียนจีกุมมือนางไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นอย่าได้ร้องไห้แล้ว เจ้าร้องไห้แล้วน่าเกลียดจะตาย ไม่ใช่อยากไปดูการประลองรอบสุดท้ายหรือ อีกสักครู่จะเริ่มแล้วนะ พลาดฉากยอดเยี่ยมไป เดี๋ยวเจ้าต้องบ่นอีกแน่”
มือข้างนั้นฟาดนางอย่างแรง ตามมาด้วยหดตัวกลับไป เสวียนจีหันกลับไปเผยรอยยิ้มบาง เห็นหลิงหลงขยี้ตา สองตาบวมราวเมล็ดท้อ ก็ไม่รู้ว่านางร้องไห้มานานเท่าไรแล้ว นางขยี้ตาพลางกล่าวคับแค้นไปว่า “เจ้าสิร้องไห้แล้วน่าเกลียด! เด็กชั่วร้าย! คนอื่นพูดจาดีเอาใจข้าทั้งนั้น มีแต่เจ้ารังแกข้า!”
เสวียนจียิ้มร่า คว้ามือนางไว้แกว่งไปมา “อย่าพูดมาอีกเลย! รีบไปเร็ว! ศิษย์พี่หกร้อนใจจนผมจะหงอกแล้ว”
หลิงหลงยังไม่ทันได้เงยหน้าขึ้นก็ส่งเสียงแค่นฮึ กล่าวว่า “เขาร้อนใจเกี่ยวอันใดกับข้า! ให้ร้อนใจตายไปเลยยิ่งดี!”
เสวียนจียกมุมปากขึ้นแย้มยิ้ม
ตอนเสวียนจีพาหลิงหลงมาได้ การประลองจบไปสองเวทีแล้ว ผู้ชมมืดฟ้ามัวดินส่งเสียงตะโกนโห่ร้องดังกึกก้อง คิดว่าเมื่อครู่ย่อมต้องมีเรื่องยอดเยี่ยมมากมายแน่
“ไม่เป็นไร ยังมีอีกสองการประลอง” เสวียนจีเห็นหลิงหลงเบะปาก เสียใจที่มาช้าไป อดปลอบใจนางไม่ได้
“เสวียนจี! หลิงหลง! ทางนี้ๆ!” ศิษย์พี่รองเฉินหมิ่นเจวี๋ยตาไว เห็นนางสองคนแต่ไกล รีบกวักมือเรียกพวกนาง
จงหมิ่นเหยียนพอเห็นหลิงหลงยอมมา ก็รีบโดดถลาเข้าไปรับนาง แต่กลับถูกนางค้อนใส่แทน
“เจ้ามีอย่างที่ไหน มาลากคนอื่นแต่เช้าเช่นนั้น!” หลิงหลงพอนั่งลงก็ยิงปืนใหญ่ใส่ทันที “กำลังฝันอยู่เลย ถูกขัดจังหวะหมด!”
จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “เจ้าฝันดีอันใด หรือว่าในเห็นพี่หมิ่นเหยียนคนดี”
หลิงหลงส่งเสียงชิใส่เขา ดูโกรธแต่ไม่เหมือนโกรธ “ผู้ใดฝันถึงเจ้า หลงตัวเอง! ข้าฝันถึงเสวียนจี! ข้ากับนางไปยอดเขาเสี่ยวหยางด้วยกัน มีความสุขจนพูดไม่ออก”
จงหมิ่นเหยียนล้อเล่น “พวกเจ้าสองคนมีความสุขอะไร ก็สุขเผื่อข้าอีกคน จึงจะเรียกว่าเติมเต็มความสุข!”
หลิงหลงตะกุยหน้าเขา บอกว่าเขาหน้าไม่อาย พอหยอกเย้ากันเช่นนี้ ความขัดใจกันก่อนหน้าก็พลันมลายหายไป
ตู้หมิ่นหังยิ้มกล่าวว่า “อารมณ์แจ่มใสดีจริง ไหนว่าตื่นไม่ไหว แต่เบาหน่อย รอบสามกำลังจะเริ่มแล้ว”
พอเสียงเงียบลง ก็ได้ยินเสียงเป่าเขาสัญญาณสี่ทิศดังพร้อมกัน การประลองรอบสามกำลังจะเริ่มแล้ว หลิงหลงเอียงหน้าไปมองดูว่าผู้ใดอยู่บนเวที พลันเห็นเงาร่างแดงขาวกระโดดลอยตัวขึ้นเวที แดงราวเพลิงโหม ขาวราวเกล็ดหิมะ ดึงดูดสายตามทุกคนไปหมดจริงๆ
ทุกคนด้านล่างเวทีต่างส่งเสียงเชียร์ดัง ที่แท้รอบนี้ก็คืออวี้หนิงกับเพียนเพียน