ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 34
เพียนเพียนและอวี้หนิงทั้งสองเป็นศิษย์ที่ตงฟางชิงฉีแห่งเกาะฝูอวี้ภูมิใจ ตั้งแต่หกขวบก็บำเพ็ญเพียรกระบี่หยกประสาน มาถึงตอนนี้ยี่สิบกว่า กินอยู่ไปไหนมาไหนแทบจะตัวติดกัน แม้แต่นิสัยยังแทบเหมือนกัน ดังนั้นจึงได้ใจสื่อถึงใจ นำพากระบี่หยกประสานได้เข้าถึงแก่นประสานแท้
ก่อนหน้านี้เสวียนจีเพียงเคยได้ยินแค่ชื่อทั้งสอง เพิ่งได้เห็นระยะใกล้เช่นนี้เป็นครั้งแรก
ชุดขาวนั่นก็คืออวี้หนิง ร่างเตี้ยกว่าหน่อย ผมยาวม้วนมวยผม ประสายตาเยือกเย็น รูปโฉมงดงาม ที่น่าแปลกก็คือกระบี่เล่มนั้นในมือนาง มันยาวเพียงสามฉื่อกว่า ทั้งด้ามทั้งฝักกระบี่เป็นสีขาวดุจหิมะ ไม่รู้ว่าทำขึ้นจากวัสดุอะไร
แต่ไรมาเสวียนจีก็รู้สึกว่าสตรีสวมชุดขาวงามที่สุด ไม่เพียงดูสะอาดกระจ่างตา ยังดูบางเบาลอยละล่อง ยามนี้เห็นอวี้หนิงยืนบนเวที แขนเสื้อยาวต้องลมพลิ้วไสว เป็นความรู้สึกอิสระเสรีอย่างบอกไม่ถูก ในใจก็อดอิจฉาอยู่สักหน่อยไม่ได้
เพียนเพียนก็คือชายผอมสูงในชุดแดงทั้งชุดข้างๆ ผู้นั้น แม้ว่าหน้าตาไม่เท่าไร แต่ดวงตาดำขลับทั้งสองดูมีชีวิตชีวา เพิ่มความหล่อเหลาให้เขาอีกหน่อย กอปรกับชุดแดงผมดำ ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายชายรูปงาม กระบี่ในมือเขาหนากว่าสักหน่อย แบบเหมือนกับของอวี้หนิงเพียงแต่สีแดงสดทั้งเล่ม ราวกับเพิ่งออกมาจากเตาหลอม
“ข้าคิดว่าจะงามสักเท่าไรกัน…” หลิงหลงจ้องมองเพียนเพียนอยู่นานก็หันกลับไปกระซิบใส่หูจงหมิ่นเหยียน “ที่แท้ยังสู้เจ้าหกเราไม่ได้! เจ้าหก วันหน้าสวมชุดแดง ปลอกกระบี่ก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ย่อมงามกว่าเขามาก”
จงหมิ่นเหยียนหลุดหัวเราะ พยักหน้าทำหน้าจริงจัง “เช่นนั้นเจ้าก็สวมชุดขาวกระบี่ขาว เราสองคนมาร่วมกระบี่หยกประสาน เป็นเพียนเพียนกับอวี้หนิงแห่งสำนักเส้าหยาง”
หลิงหลงหัวเราะ ตีเขาไปหลายที “เจ้าเป็นกระบี่หยกประสานอันใด! คนอื่นเขาฝึกแต่เล็ก!”
วาจากล่าวจบก็พลันได้ยินเสียงร้องตะโกนเฮดัง เป็นคู่ต่อสู้เพียนเพียนกับอวี้หนิงในรอบนี้ขึ้นเวทีมา
“อา! ศิษย์พี่ตวนเจิ้ง!” หลิงหลงชี้ไปยังชายหนุ่มหน้าตาใสซื่อผู้นั้นพลางตะโกนเรียกเสียงดัง “ศิษย์พี่ตวนเจิ้ง! ที่แท้ร้ายกาจเพียงนี้!”
ในที่นั้นทุกคนไม่สนใจจะถกเรื่องเพียนเพียนกับอวี้หนิงงามไม่งามแล้ว แต่ละคนโห่ร้องตะโกนดังเต็มเสียง ตวนเจิ้งราวกับได้ยินเสียงศิษย์ร่วมสำนัก หันกลับไปยิ้มเล็กน้อย ทำให้เสียงร้องยิ่งดังกระหึ่ม
“สำนักเส้าหยางของพวกเรา นอกจากเขาแล้วยังเหลือใคร” หลิงหลงถาม
ตู้หมิ่นหังคิดไปคิดมา “ครั้งนี้บรรดาศิษย์พี่รุ่นอักษรตวนเข้าร่วม การประลองสามรอบแรกคัดออกเกินครึ่ง ยังมีศิษย์พี่ตวนฮุ่ยเมื่อวานกินผิดสำแดง เข้าร่วมประลองต่อไม่ได้ ที่เหลือก็มีแค่ตวนเจิ้งและตวนหมิง สองศิษย์พี่นี้แล้ว”
หลิงหลงพอได้ยินว่าเหลือสองคน อดยู่ปากไม่ได้ กล่าวว่า “ศิษย์พี่พวกนี้ไม่ไหว เหลือแค่สองคนรึ!”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยยิ้มแทรกขึ้น “ศิษย์น้องเล็ก ไม่อาจกล่าวเช่นนี้ ก่อนหน้าที่เจ้าเห็นว่ามีศิษย์เข้าร่วมหกสิบ ศิษย์สำนักเซวียนหยวนคัดออกหมด เกาะฝูอวี้ก็เหลือแค่เพียนเพียนกับอวี้หนิง พวกเราสำนักเส้าหยางเหลือสองคนได้ ก็เรียกได้ว่าไม่เลวแล้ว! นับประสาอันใดกับศิษย์พี่ตวนหมิง เมื่อครู่ชนะศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิง เป็นหนึ่งในสี่คนที่เก่งที่สุดแล้ว!”
หลิงหลงจึงได้รู้สึกสบายขึ้นหน่อย
การประลองครั้งนี้ คนตัดสินก็คือรองเจ้าตำหนักหลีเจ๋อ เขายังเหมือนครั้งก่อนที่เจอกัน พิงเก้าอี้ท่าทางเกียจคร้านราวกับไร้กระดูก ทุกคนล้วนจ้องมองพัดขนนกในมือเขา รอให้เขาโบก การประลองก็จะเริ่ม
เห็นเขาไม่รีบไม่ร้อน พัดไปมาก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “การประลองยังไม่เริ่ม อย่าได้ชี้ดาบใส่กันเช่นนี้ จดจำไว้ว่าหยุดเมื่อต้องตัว หากใช้วิชาเซียนหรือยันต์คาถาเกินกว่าที่อนุญาต ข้าจะโมโหมากนะ!”
พอกล่าวจบ พัดก็โบกลง ทุกคนยังไม่ทันได้สติคืนมา แม้แต่เพียนเพียนกับอวี้หนิง ยังมีตวนเจิ้งที่อึ้งไป ก่อนจะประสานมือให้กัน เริ่มตั้งกระบวนท่า
จงหมิ่นเหยียนเห็นศิษย์พี่ตวนเจิ้งตั้งกระบวนท่าเริ่มต้นของวิชาหมัดเสวียนหมิง อดถามไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ตวนเจิ้งไม่มีอาวุธหรือ มือเปล่ารับมือสองกระบี่ เสียเปรียบมากนะ!”
ตู้หมิ่นหังส่ายหน้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าตวนเจิ้งใช้อาวุธใด
หลิงหลงข้างๆ พลันร้องขึ้นอย่างตกใจ “อา! ดูเร็ว!”
ทุกคนมองไปพร้อมกัน เห็นเพียนเพียนกับอวี้หนิงสองคนชักกระบี่ออกมาถือไว้ สองกระบี่ประสานกันเป็นกากบาท เขาสองคนหันหน้าเข้าหากัน หนึ่งแดงหนึ่งขาว เสื้อผ้าโบกพลิ้วไสว งดงามอย่างยิ่ง
สามคนสองทาง หันหน้าเข้าหากัน ไม่เคลื่อนไหวอยู่นาน
หลิงหลงรอเป็นนาน ไม่เห็นพวกเขาออกกระบวนท่า จึงกระซิบว่า “พวกเขาเหตุใดไม่เคลื่อนไหว”
ตู้หมิ่นหังได้แต่ส่ายหน้า เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน
ผ่านไปอีกไม่รู้นานเท่าไร พวกเขายังคงนิ่ง ผู้ชมด้านล่างเวทีเริ่มร้อนใจ พากันส่งเสียงด้วยความแปลกใจ รองเจ้าตำหนักผู้นั้นโบกพัดไปมา ยิ้มกล่าวว่า “อย่าใจร้อนๆ เงียบๆ”
พอเสียงเงียบลงก็เห็นทั้งสามขยับพร้อมกัน ราวกับสายฟ้าสามสายพุ่งออกไปพร้อมกัน ปะทะกันกลางอากาศ ปะทะกันแล้วก็ถอยกลับ ผู้ใดก็มองไม่ชัดว่าพวกเขาแท้จริงเคลื่อนไหวอย่างไร แต่เห็นแขนเสื้อของตวนเจิ้งถูกตัดขาด ชายเสื้อของอวี้หนิงมีรอยเท้าประทับเพิ่มรอยหนึ่ง
“โอ้ นั่นอะไรน่ะ!” หลิงหลงตะโกนดัง “มองไม่ชัด!”
ไม่มีคนตอบนาง เพราะทุกคนล้วนมองไม่ชัดเหมือนนาง
ดังนั้นเสวียนจีจึงอธิบายอย่างใจดี “ก็คือว่า ศิษย์พี่ตวนเจิ้งเดิมคิดอาศัยจังหวะแย่งกระบี่ในมืออวี้หนิง กลับถูกเพียนเพียนขวางไว้ กระบี่หนึ่งแทงมาทางศีรษะ เพื่อหลบเลี่ยง เขาเลยใช้แขนเสื้อพันไว้ ดังนั้นแขนเสื้อเขาจึงถูกตัดขาด อวี้หนิงตามเข้ามาจะแทงเขา กลับถูกเขาใช้กระบวนท่าหลบหลีก ยังถูกเตะเข้าทีหนึ่ง”
กล่าวจบนางก็กะพริบตาปริบ เห็นทุกคนจ้องมองตน จึงกล่าวว่า “ก็เป็นเช่นนี้”
หลิงหลงติดอ่างกล่าวว่า “สะ เสวียนจี จะ…เจ้าเห็นกระจ่าง?”
นางพยักหน้า “ใช่สิ เคลื่อนไหวไม่เร็วนี่”
หลิงหลงเงียบอึ้งไป
จงหมิ่นเหยียน “ชิ” คำหนึ่ง “อย่าฟังเด็กน้อยพูดมั่ว นางไหนเลยจะเห็นกระจ่าง! แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่เห็น!”
ข้าเห็นกระจ่างจริงๆ นะ อา…เสวียนจีแอบแก้ตัวในใจ แต่นางขี้เกียจกล่าวออกไป
การประมือกันครั้งแรก สองฝ่ายเริ่มเข้าใจกำลังของอีกฝ่าย พอจะรู้ว่าตวนเจิ้งที่เป็นคู่ต่อสู้ที่เมื่อก่อนเคยเอาชนะได้ง่ายดายนั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว เพียนเพียนกับอวี้หนิงเริ่มมีสีหน้าหนักใจขึ้นมา พลันดึงกระบี่กลับ พลิกกายพร้อมเพรียง ฝึกฝนมาอย่างดี พอปลายเท้าแตะพื้น ก็ถอยหลังหลายก้าวพร้อมกัน
ตวนเจิ้งกลับไม่ปล่อยให้พวกเขาได้หายใจ พุ่งเข้าไปราวลูกธนู เอียงกายหลบกระบี่ที่เพียนเพียนแทงมา ตามด้วยยกแขนขึ้น ถึงกับยังแย่งกระบี่อวี้หนิงได้ ครั้งนี้นางเตรียมไว้ก่อน ไหนเลยให้เข้าประชิดตัวได้ จึงถอยกลับหลบฝ่ามือ กระบี่เพียนเพียนส่งมาตรงหน้าจากอีกทาง บีบให้เขาไม่อาจไม่ถอย
ทุกคนด้านล่างเวทีไหนเลยมองกระจ่างว่าพวกเขาแท้จริงใช้กระบวนท่าอันใด เห็นแต่เงาดำของตวนเจิ้งหมุนเข้าปะทะเงาแดงดำราวกับนกนางแอ่น พอเข้าแตะก็ถอยกลับทันที เงาร่างแดงว่องไวกล้าแกร่ง ราวกับปีศาจค่ำคืน อันตรายมักแทรกเข้ามาท่ามกลางความไม่คาดคิด แขนเสื้อยกขึ้น แสงกระบี่ซ่อนเร้น เข็มในฝ้าย ดอกไม้กลางทะเล ราวสิ่งที่มีอยู่อย่างคาดไม่ถึง
เงาร่างขาวลอยละล่อง วิชาตัวเบาสุดยอด หมุนรอบตวนเจิ้ง แสงกระบี่ล้อมรอบตัวดังกรงขัง ราวกับระฆังทองครอบ เฉกเช่นหนามแหลม
หนึ่งแดงหนึ่งดำ รุกถอยมีจังหวะ ซ้ายขวาประสาน บินลอยเบาหวิวราวกับผีเสื้อสองตัว เป็นดังที่คนว่ากันว่างดงามจับตายิ่ง แม้ว่ามองไม่ชัดว่าพวกเขาแท้จริงทำสิ่งใด…เหอะ นับว่าน่าเสียดายอยู่สักหน่อย
“แท้จริงผู้ใดได้เปรียบกัน” หลิงหลงมองการเคลื่อนไหวไม่ชัด ร้อนใจเสียงดังขึ้น
พวกตู้หมิ่นหังเองก็ได้แต่ส่ายหน้าเงียบๆ เสวียนจีกล่าวเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ตวนเจิ้งได้เปรียบ เขาแย่งกระบี่อวี้หนิงมา นั่น”
นางชี้มือไป เห็นเพียงตวนเจิ้งถอยหลังไปหลายก้าว ในมือส่องประกายวาววับ คว้ากระบี่งามสีขาวทั้งเล่มในมือแน่น สองนิ้วคีบกระบี่ไว้มั่น อวี้หนิงที่ตรงหน้ามีสีหน้าประหลาด ข้อมือเป็นสีแดงฉาน คิดว่าบาดเจ็บแล้ว
ทุกคนล้วนแตกตื่น