ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 38
“หลิงหลง น้องเจ้าเพิ่งฟื้นมา อย่าเอาแต่พูดนั่นนี่กับนาง” เหอตันผิงเห็นสีหน้าเสวียนจีผิดปกติ ร้อนใจดันตัวบุตรสาวคนโตออกเบาๆ ตนเองลงนั่งข้างเตียง มือถือชามยาไว้ กล่าวอ่อนโยนว่า “มา ดื่มยาก่อน ดื่มแล้วนอนพักสักงีบก็ไม่เป็นไรแล้ว”
เสวียนจีไม่มีแรงจะคิดว่าตนเองเอาแรงขนาดนั้นมาจากที่ไหน โยนเศษไม้ในมือทิ้ง คว้ามือมารดาไว้ ดื่มยาไปอึกหนึ่ง
“ท่านแม่ ขมจัง…” นางขมวดคิ้วออดอ้อน
หลิงหลงยิ้มตาหยี ยัดบ๊วยหวานหลายเม็ดที่ห่อกระดาษเรียบร้อยใส่มือนาง “รู้ว่าเจ้าต้องร้องว่าขม มา กินบ๊วยสักเม็ด เด็กน้อยจริง”
นางโยนเข้าปากนางเม็ดหนึ่ง ยันตัวอยู่บนเตียง ยิ้มถาม “เป็นอย่างไร หวานไหม ข้าทำเองเลยนะ”
เสวียนจีพยักหน้า “หวาน…อืม แต่หวานไปหน่อย…”
นางรีบดื่มยาให้หมดในอึดใจเดียว จะได้ประหยัดบ๊วยหลิงหลง ไม่รู้ว่านางทำบ๊วยหวานพวกนี้ ใส่น้ำตาลลงไปเท่าไร หวานจะตาย
“ตอนนี้นอนได้แล้ว อะไรก็ไม่ต้องคิด” หลิงหลงทำตัวราวผู้ใหญ่ ประคองนางเอนตัวลงนอน ยังช่วยนางห่มผ้าห่มจัดหมอน พร่ำบ่นไม่หยุด ราวกับมารดาชรา
เสวียนจีอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “หลิงหลง เจ้าเหมือนท่านแม่ขึ้นทุกวันแล้วนะ”
หลิงหลงถลึงตาใส่ “ข้าเป็นพี่สาวเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องฟังข้า เด็กดี รีบนอน พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าหน่อย”
เสวียนจีเพิ่งตื่นมา ไม่อาจนอนหลับได้ในทันที เห็นมารดายกยาออกไป นางจึงดึงมือหลิงหลงไว้ กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม คนผู้นั้น…ไม่ได้ทำร้ายเจ้า?”
หลิงหลงตาแดง ยู่ปากกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร อยู่ๆ เจ้าวิ่งออกมาทำไมกัน! จริงๆ เลย…เจ้าทำข้าตกใจเกือบตาย…”
นางขยี้ตา น้ำตาไหลกลับคืนไป กล่าวอีกว่า “ข้าแข็งแรงกว่าเจ้ามาก ถูกกระบี่แทงเป็นอะไรที่ไหนกัน เจ้าอ่อนแอเช่นนี้ ยังแสร้งทำเข้มแข็ง ทุกคนตกใจแทบตาย ข้า…พวกเรายังคิดว่าเจ้าตายแล้ว…”
พูดไปก็อดตกใจน้ำตาร่วงไม่ได้
เสวียนจีไม่กล่าวอันใด ได้แต่ลูบมือนางเบาๆ อยู่นานก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เห็นเขาแทงมาก็พุ่งออกไปเอง เจ้าวางใจ ครั้งหน้าจะไม่ทำแล้ว และข้าเองก็ไม่เป็นไรนี่”
“ยังจะมีครั้งหน้า?!” หลิงหลงถลึงตาใส่นาง “ไม่อนุญาตให้มีครั้งหน้า! ยังบอกไม่เป็นไร เจ้าหลับไปห้าหกวัน! ไม่เป็นไรไยหลับไปนานเช่นนั้น? ท่านแม่ร้องไห้ทุกวัน พวกท่านอาหงก็มาเยี่ยมเจ้าทุกวัน ล้วนเป็นห่วงกันแทบตาย”
“อา ข้าหลับไปห้าหกวัน?” เสวียนจีอดจตกใจไม่ได้ นางคิดเพียงว่าแค่ช่วงเวลาฝันไปเท่านั้น ครั้งก่อนที่เขาลู่ไถซานก็ใช่ พวกเขาบอกว่านางหลับไปหลายวัน แต่นางไม่รู้สึกตัวสักนิด
“เช่นนั้น…งานชุมนุมปักบุปผาจบแล้ว?”
หลิงหลงพยักหน้า “จบนานแล้ว เจ้าชั่วอูถงนั่นแทงเจ้าหนึ่งกระบี่ก็หนีไป เจ้าหุบเขาเตี่ยนจิงรู้สึกเสียหน้า ดังนั้นศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงจึงถอนตัวจากการประลอง สุดท้ายศิษย์พี่ตวนเจิ้งสำนักเราชนะ วันก่อนสู้กับสุนัขฟ้าตัวนั้น เขาชนะ เจ้าเกาะตงฟางปักดอกโบตั๋นให้เขาด้วยตนเองเลยนะ”
เสวียนจีถอนหายใจเบาๆ “คิดแล้วต้องเป็นภาพที่ยอดเยี่ยม…ข้ากลับไม่ได้เห็น”
“ผู้ใดมีกระจิตกระใจชมเล่า ข้าเองก็ไม่ได้เห็น ล้วนอยู่ที่นี่ดูแลเจ้า!” หลิงหลงลูบศีรษะนาง
“พวกซือเฟิ่ง…ล้วนไปแล้ว?” เสวียนจีถามอีก
“เพิ่งไปเมื่อวาน เขาก็มาเยี่ยมเจ้าทุกวัน เพียงแต่ไม่ได้เข้ามา มองเจ้าอยู่นอกประตู…เจ้าก็ไม่ยอมฟื้นสักที สุดท้ายเขาทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กลับไป” หลิงหลงนิ่งไปครู่ก่อนกล่าวอีกว่า “ซือเฟิ่งเป็นห่วงเจ้ามาก ก่อนไปยังกำชับพวกเรา พอเจ้าหายดีแล้วต้องอย่าลืมเขียนจดหมายบอกเขา”
เสวียนจีหลับตาลง ในใจรู้สึกเศร้าขึ้นมาหน่อยหนึ่ง นางยังไม่ทันได้อำลาเขา คิดว่าตอนเขาจากไปก็คงเศร้าเสียใจเช่นกัน ก็ไม่รู้จะได้พบกันอีกเมื่อใด
หนุ่มน้อยที่มีดวงตางดงามคู่หนึ่ง ทั้งยังทระนงและจิตใจดี พบกันครั้งหน้าจะเป็นเช่นไรหนอ
หลิงหลงเห็นนางหลับตาก็คิดว่านางเหนื่อยแล้ว จึงลุกขึ้นยืนอย่างเบาที่สุด คิดจะออกไป
เสวียนจีพลันดึงแขนเสื้อนางไว้ กล่าวเสียงอ่อนว่า “หลิงหลง เป็นเพื่อนคุยข้าอีกหน่อยได้ไหม ข้านอนไปเยอะแล้ว ตอนนี้นอนไม่หลับ”
หลิงหลงกลับลงนั่งที่เดิม ลูบหน้าผากนางไปมา ถอนใจกล่าวว่า “เป็นเพื่อนคุยเจ้าย่อมได้ แต่เจ้าต้องพักผ่อนมากๆ เช่นนี้แผลจึงจะหายเร็ว”
นางส่ายหน้า “ข้าตอนนี้ไม่เจ็บเลย รู้สึกเพียงแค่ชาๆ ขยับไม่ได้ หลิงหลง พวกท่านพ่อ…ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางใดกับพวกหุบเขาเตี่ยนจิงกระมัง”
ตอนนี้เอ่ยถึงหุบเขาเตี่ยนจิงหลิงหลงก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน กล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “บาดหมางใดเล่า! ท่านพ่อยังคงคุยแย้มยิ้มกับพวกเขาอยู่เลย! ไม่รู้จริงๆ ว่าท่านพ่อคิดอย่างไร! หากเป็นข้าละก็ จะแทงไหล่พวกเขาทุกคนให้เป็นรูไปเลย ให้พวกเขาได้ลิ้มลองดูบ้างว่าเป็นอย่างไร!”
เสวียนจีคว้ามือนางไว้ กล่าวว่า “หลิงหลง เจ้ามักจะวู่วามเช่นนี้ ฟังข้านะ อูถงนั่น หนีก็หนีไปแล้ว วันหน้าแม้ได้พบกันอีก เจ้าก็อย่าไปหาเรื่องเขา ข้าว่าคนผู้นี้จิตใจคับแคบ ไม่ใช่คนดี ครั้งนี้ข้าถูกเขาแทงไปกระบี่หนึ่ง ครั้งหน้าไม่แน่อาจจะสังหารพวกเรา พวกเราไม่ควรมีเรื่องกับคนเช่นนี้”
หลิงหลงแค้นใจกล่าวว่า “ไม่ได้! หรือว่าปล่อยเขาไป?! ข้าจะบำเพ็ญเพียรให้ดี วันหน้าหากได้พบเขา จะต้องแทงไหล่สักที แก้แค้นให้เจ้า!”
เสวียนจีถอนหายใจ นิสัยหลิงหลงเป็นเช่นนี้ มุทะลุโกรธง่าย ปกติเอานางไม่อยู่ นางจึงเงียบไม่พูดดีกว่า ได้แต่กล่าวว่า “สรุปคือ…เจ้าระวังหน่อย”
ทั้งสองพูดจากันอีกครู่หนึ่ง เหอตันผิงก็กลับมาจากห้องยา เห็นนางสองคนยังคงคุยไม่หยุดก็ยิ้มมาตั้งแต่นอกประตู กล่าวว่า “หลิงหลง น้องเจ้าบาดเจ็บร่างกายอ่อนแอ อย่าพูดคุยกับนางมากให้เสียกำลัง ออกไปได้แล้ว ให้นางได้หลับสักครู่”
หลิงหลงรับคำ รวบผมเสวียนจีข้างแก้มไปไว้อีกทางหนึ่ง กล่าวอ่อนโยนว่า “เสวียนจี เจ้าพักผ่อนให้ดีๆ อีกสองสามวันบรรดาศิษย์พี่ก็จะมาเยี่ยมเจ้าแล้ว พวกเขาเองก็ร้อนใจแทบตาย”
เสวียนจีพยักหน้า ในที่สุดก็รู้สึกเหนื่อยล้าเหมือนกัน ค่อยๆ ผล็อยหลับไป
ผ่านไปหลายวัน อาการบาดเจ็บของนางหายไปอย่างรวดเร็ว
ตอนฉู่อิ่งหงมาเปลี่ยนยาและผ้าพันแผลให้นาง รู้สึกว่ารูบาดแผลที่ไหล่นางมีผิวหนังใหม่ชั้นหนึ่งขึ้นมาปิดสนิท อดยิ้มกล่าวขึ้นไม่ได้ว่า “เจ้าหนูนี่ แม้ว่าร่างกายอ่อนแอสักหน่อย แต่บาดแผลหายเร็วจริง คนปกติบาดเจ็บเช่นนี้ อย่างน้อยต้องนอนบนเตียงเดือนกว่าเลยนะ”
เสวียนจีลองขยับแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บ รู้สึกเพียงแค่นิ้วมือไม่คล่องเท่าไร ในใจก็ตกใจ กล่าวว่า “ท่านอาหง ข้า…มือข้าราวกับ…ถูกหลอมไว้ ใช่บาดเจ็บถึงเส้นเอ็นหรือไม่”
ฉู่อิ่งหงรีบกล่าวว่า “เปล่า กระบี่นั่นแทงได้ดี ถึงกับไม่ได้ทำกระดูกหรือเส้นเอ็นบาดเจ็บ ดวงเจ้าดีไม่เลว ตอนนี้ยังไม่ฟื้นคืนเต็มที่ พอหายดีก็ไม่มีปัญหาแล้ว อย่าคิดมาก”
เสวียนจีพยักหน้า กำลังจะกล่าว กลับได้ยินด้านนอกมีเสียงหลิงหลงหัวเราะแว่วเข้ามา กล่าวว่า “ท่านอาหง พวกเราเข้าไปเยี่ยมเสวียนจีได้ไหม ทุกคนมากันหมด!”
ฉู่อิ่งหงคลุมเสื้อให้เสวียนจี ก่อนจะกล่าวว่า “เข้ามาได้หมด แต่อย่าเสียงดัง ผีน้อยเช่นพวกเจ้า วันๆ เอาแต่เอะอะโวยวาย”
พอเสียงดังจบลง กลุ่มคนก็กรูกันเข้ามา เซ็งแซ่ไปหมด ศิษย์พี่รุ่นอักษรหมิ่นมากันหมด หลิงหลงเป็นแกนนำ นางดูแจ่มใสที่สุด พุ่งเข้าไปข้างเตียง มองดูเสวียนจี ก่อนกล่าวว่า “รับรองพวกเราไม่เอะอะโวยวาย ไม่ทำให้เสวียนจีต้องเหนื่อยเด็ดขาด”
ฉู่อิ่งหงยกน้ำร้อนและผ้าพันแผลที่เปลี่ยนเตรียมจะออกไป ยิ้มกล่าวว่า “ได้ๆๆ เปิดโอกาสให้ผีน้อยเช่นพวกเจ้า”
ทุกคนพอได้ยิน พลันฮือไปล้อมข้างเตียง มองดูเสวียนจี ส่งเสียงเซ็งแซ่ คนหนึ่งถามว่าเจ็บไหม คนนั้นถามว่ามึนไหม ในห้องก็ครึกครื้นยิ่งในฉับพลัน
แต่เล็กมาเสวียนจีก็ไม่เคยได้รับการดูแลอย่างอบอุ่นคึกคักเช่นนี้มาก่อน ยามนี้จึงไม่รู้ควรทำตัวเช่นไร
ยังมีสีหน้าดุดันของศิษย์พี่ใหญ่ตู้หมิ่นหัง เขารีบกล่าวว่า “เบาๆ หน่อย อย่าทำศิษย์น้องเล็กตกใจ บอกแล้วว่าอย่ามาพร้อมกันในวันเดียว!”
ศิษย์พี่รองเฉินหมิ่นเจวี๋ยยิ้มกล่าวว่า “มาพร้อมกันวันเดียวสิครึกครื้น ศิษย์น้องเล็กอยู่ในห้องคนเดียวเบื่อแย่กระมัง มีอันใดอยากกินอยากเล่นก็บอกศิษย์พี่รอง รับรองว่าช่วยเจ้าจัดการได้เรียบร้อยหมด”
ทุกคนส่งเสียง “เชอะ” ขึ้นเสียงหนึ่ง “ยังมีหน้ามาขี้โม้! นางบาดเจ็บแล้วจะกินอะไรซี้ซั้วได้อีก! จะว่าไป ท่านมีของดีที่ไหนกัน!”
เฉินหมิ่นเจวี๋ยกลับไม่โมโห กล่าวเพียงว่า “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่มีของดี ดูๆ นี่อะไร”
พูดไปก็ควักกล่องหนึ่งออกจากแขนเสื้อ เปิดออกดู ด้านในมีสิ่งของรูปทรงกระบอกแท่งหนึ่ง หัวท้ายมีแผ่นกระจกใสปิด
เขาส่งของนั่นให้เสวียนจี กล่าวว่า “เจ้าลองมองไปด้านในนี่”
เสวียนจีทำตาม เห็นของนี่แม้ว่าเล็ก แต่ด้านในกลับมีลูกเล่นมาก สีสันสดใส แสงส่องประหลาด ทุกครั้งที่หมุน สิ่งของด้านในก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แปลกประหลาดจริงๆ
เฉินหมิ่นเจวี๋ยภูมิใจยิ้มกล่าวว่า “นี่เรียกว่ากระบอกหมื่นบุปผา ตอนข้าลงเขาเมื่อนานมาแล้ว มีตาเฒ่าขายของแปลกขายให้ข้า เป็นอย่างไร สนุกไหมล่ะ”
ทุกคนเห็นเสวียนจีส่องอย่างสนุก ก็พากันหยิบไปส่องบ้าง ล้วนส่งเสียงร้องสนุกสนาน
เฉินหมิ่นเจวี๋ยโคลงศีรษะไปมา ได้ใจอย่างยิ่ง