ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 4.2
วันที่สิบสี่เดือนแปดก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์หนึ่งวัน เจ้าสำนักห้าสำนักใหญ่และสำนักอื่นต้องมารวมตัวกันที่ยอดเขาเส้าหยางเพื่อคัดเลือกด่านสุดท้ายของงานชุมนุมปักบุปผาเหมือนกับทุกปี จับสลากตัดสินคนห้าคนไปจับมารปีศาจในพื้นที่รกร้างมาเป็นด่านสำคัญสุดท้ายของการประลอง
กล่าวถึงงานชุมนุมปักบุปผา ผู้อื่นยังไม่เท่าไร หลิงหลงกลับเป็นคนหนึ่งที่ตื่นเต้นที่สุด ทั้งวันเห็นนางวิ่งเข้าวิ่งออก ติดตามท่านพ่อท่านแม่นางไปทุกแห่ง เพราะงานชุมนุมปักบุปผาห้าปีจัดครั้งหนึ่ง ทั้งสำนักเส้าหยาง รวมถึงศิษย์จงหมิ่นเหยียนที่อายุน้อยที่สุดก็เคยเห็นมา ดังนั้นแม้ว่าตื่นเต้นแต่ก็ยังระงับไว้ได้ หลิงหลงกลับเป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานประลองนี้ ห้าปีก่อนนางอายุเพียงหกขวบ ภาพงานประลองตอนนั้นนางไหนเลยจดจำได้ เพียงแต่ในความนตื่นเต้นก็ยังแอบรู้สึกเศร้าใจกับเรื่องเสวียนจี นางถูกขังในถ้ำแสงฉานมืดมิดคนเดียว ไม่ได้เห็นความครึกครื้นในตอนนี้
วันนี้นางประกบติดอยู่กับมารดาแต่เช้า จะขอไปร่วมดูการจับสลากบนยอดเขาด้วย เหอตันผิงใช้ขนมดอกกุ้ยปลอบใจนางอยู่ก็นาน ผู้ใดจะรู้ว่านางเพิ่งออกไป หลิงหลงก็รบเร้าให้จงหมิ่นเหยียนเป็นเพื่อนนางขึ้นยอดเขาด้วยกันทันที
“ไม่ได้ ข้าต้องไปส่งอาหารให้เสวียนจีแล้ว จะว่าไปอาจารย์หญิงก็บอกแล้วว่าเด็กน้อยอย่าได้ไปร่วมครึกครื้น ที่นั่นมีแต่อาวุโสที่สำเร็จผล ไม่ระวังอาจเดินชนเอาได้ ผู้ใดไปล้วนไม่เป็นการดี”
จงหมิ่นเหยียนปฏิเสธคำขอร้องนาง
หลิงหลงรีบกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าส่งอาหารแล้วค่อยไปกัน! พวกเราขึ้นไปดูนิดเดียวแล้วก็ลงมาดีไหม ข้ารับรองว่าจะเชื่อฟังยิ่ง จะไม่ก่อเรื่องเด็ดขาด”
จงหมิ่นเหยียนหยิบอาหารลงตะกร้าไปก็กล่าวไปว่า “ส่งอาหารเสร็จข้าก็ต้องกลับมาฝึกวิชาอีก เจ้าอย่าใจร้อนเลย อีกครึ่งเดือนก็มีเรื่องสนุกเจ้าชมจนพอใจ ไม่มีผู้ใดขวางเจ้าอีก”
หลิงหลงไหนเลยจะทนได้ ดึงแขนเสื้อเขา เรียกพี่ชายที่แสนดี หมิ่นเหยียนตัวบิดแทบจะเป็นขนมเกลียวทอดแล้ว
“เป็นเพื่อนข้าไปดูหน่อยน้า! ดูจับสลากกันน้า! พี่หมิ่นเหยียน! พี่ชายแสนดี! ขอร้องท่านแล้ว พาข้าไปน้า!”
จงหมิ่นเหยียนแต่ไรมาหากใช้วิธีแข็งบังคับล้วนไร้ประโยชน์ ได้แต่ถอนหายใจกล่าวว่า “บรรพชนข้าเจ้าปล่อยมือก่อน หากให้บรรดาศิษย์พี่เห็นเข้า หนังข้าคงรักษาไว้ไม่ได้ ต้องถูกอาจารย์ถลกแน่ ข้าเอาอาหารไปส่งศิษย์น้องเสวียนจีก่อน กลับมาค่อยไป ดีไหม”
หลิงหลงเห็นเขารับปากแล้ว ในใจอดดีใจไม่ได้ กล่าวอีกว่า “พวกเราขึ้นไปดูก่อน เดี๋ยวเดียวก็ลงมา จากนั้นค่อยไปส่งอาหารให้เสวียนจี! ไปดูเดี๋ยวเดียว จะได้ไม่ต้องกลัวใครพบเข้า!”
จงหมิ่นเหยียนไร้หนทางปฏิเสธ ได้แต่วางตะกร้าลง ปล่อยให้นางลากตนวิ่งไปทางยอดเขา
ยอดเขาเส้าหยางเป็นเรือนโส่วหยางถังในความดูแลของเจ้าสำนักฉู่เหล่ย เป็นโถงใหญ่ที่ไว้ต้อนรับผู้มาเยือน ต้องการขึ้นไปมีเพียงสองเส้นทาง ใช้แผ่นหยกขาวฉางกุยที่แขวนอยู่ริมหน้าผาเหินขึ้นไป หรือไม่ก็เดินขึ้นบันไดไปแต่โดยดี ค่อยๆ หมุนวนขึ้นไปทีละรอบ อย่างน้อยต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยาม
นี่เป็นความทรนงในเกียรติแห่งสำนักเส้าหยาง ไม่ยอมต้อนรับผู้ไร้ความสามารถโดยง่าย เจ้าไม่ยอมกลับไปแต่โดยดี เจ้าก็ต้องค่อยๆ เดินขึ้นไป ยอดเขาเส้าหยางสูงตระหง่านเสียดเมฆา รูปร่างแปลกประหลาด คนปกติส่วนใหญ่มองแล้วย่อมกลัวเกรง
“เดินขึ้นไป?” จงหมิ่นเหยียนสีหน้าราวกับกินมะระขม มองไปยังขั้นบันไดที่ส่วนใหญ่หลบซ่อนตัวอยู่ในเมฆหมอก ขาเขาก็สั่นระริก
“แน่นอนว่าเหินขึ้นไป!” หลิงหลงเบ้ปาก “ข้าไม่ปีนบันไดแน่! ต้องเสียเวลานาน!”
“ผู้ใดเหิน? เจ้าเรียกของวิเศษเหินเป็น?”
หลิงหลงยิ้มร่า ชี้ไปทางปลายจมูกเขากล่าวว่า “อย่าแสร้งทำเลย! แน่นอนย่อมเป็นเจ้า! คิดว่าข้าไม่เคยเห็นหรือ! วันนั้นผู้ใดแอบเหินกระบี่ไปยังด้านหลังเขา? ข้ายังไม่ได้ซักถามเจ้าเลย! หากเจ้ายังเสแสร้งอีก ข้าจะไปบอกท่านพ่อ!”
จงหมิ่นเหยียนหน้าแดง “ในเมื่อถูกเจ้าพบเห็นเข้าแล้ว…อย่าบอกอาจารย์! ศิษย์น้องเชื่อฟังข้า อย่าบอกผู้ใด รู้ไหม”
หลิงหลงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดไม่อยากให้ท่านพ่อรู้ เจ้าเรียกของวิเศษเหินเป็นแล้ว เทียบกับพวกศิษย์พี่สี่คนแล้วร้ายกาจกว่ามาก ท่านพ่อได้ยินต้องดีใจเป็นแน่!”
จงหมิ่นเหยียนหน้าตาจริงจังกล่าวว่า “ได้หน้าสร้างประโยชน์ได้ไม่มาก โทษกลับมีมาก อาจารย์ย่อมดีใจแน่ แต่บรรดาศิษย์พี่ที่เหลือที่ยังเรียนเรียกของวิเศษเหินไม่เป็น คงได้ถูกดุด่ายกใหญ่ พวกเขาถูกด่ามา ความโมโหก็ย่อมมาลงที่หัวข้าสิ?”
หลิงหลงเหมือนจะกล่าวอันใด หากพยักหน้ากล่าวว่า “เจ้าพูดได้ถูกต้อง…แต่เรื่องพวกนี้ก็ซับซ้อนมาก…พวกผู้ใหญ่ปกติล้วนคิดมากกันหรือ”
จงหมิ่นเหยียนอดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า “คิดกันมากกว่านี้อีกมากเลยเชียวแหละ! มา อย่ากล่าวเสียเวลา ไม่ใช่ว่าจะขึ้นไปดูเรื่องสนุกหรือ ยังไม่ไปอีกก็ไม่ทันส่งอาหารให้เสวียนจีแล้ว”
เขาเดินไปยังริมหน้าผา ตามคาด ที่นั่นมีแผ่นหยกขาวฉางกุยเรียงอยู่ เขาหยิบอันกลางเก่ากลางใหม่มาก่อนจะใช้เท้าซ้ายกดลงเบาๆ ฉางกุยก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะยกร่างเขาลอยขึ้น ราวกับยังไม่อาจสั่งการเหินได้ตามใจต้องการนัก เขาลองบินสองรอบ ก่อนจะกลับมาเรียกหลิงหลงเบาๆ ยื่นมือไปยิ้มกล่าวว่า “ขึ้นมาได้ บรรพชนข้า! ขึ้นมาแล้วอย่าได้ส่งเสียงพูดนั่นนี่เด็ดขาด”
หลิงหลงดีใจที่สุด ไม่เช่นนั้นเหตุใดนางจึงชอบเล่นกับจงหมิ่นเหยียน เพราะศิษย์พี่หกดีที่สุด อันใดก็ตามใจนาง วาจายังไพเราะ
ตอนเขาเหินขึ้นไป หลิงหลงพลันคิดบางอย่างได้ คว้าแขนเสื้อเขาไว้กล่าวด้วยอารมณ์เด็กน้อยว่า “เจ้าหก เจ้าอย่าได้เหมือนศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่ห้าเมื่อก่อน ทนลำบากไม่ไหวก็แอบหนีลงเขากลับบ้านไปนะ”
จงหมิ่นเหยียนเกือบหัวปักร่วงจากฉางกุย กว่าจะบังคับตัวให้นิ่งได้ก็นาน เขายิ้มเฝื่อน “ตาข้างไหนเจ้ามองเห็นว่าข้าบ่นลำบากจะกลับบ้านกัน จะว่าไป บ้านข้า…ข้าไม่มีบ้านให้กลับแล้ว พ่อแม่ข้าตายเพราะโรคระบาดไปหมดแล้ว เส้าหยางก็คือบ้านข้าแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเราเกี่ยวก้อยกัน” หลิงหลงยื่นนิ้วก้อยไป กะพริบตาโตดำขลับ กล่าวว่า “เจ้าหกต้องอยู่กับพวกเราตลอดไป พวกเราไม่แยกจากกันตลอดไป”
จงหมิ่นเหยียนกลับอดยิ้มไม่ได้ กล่าวเบาๆ ว่า “ล้วนเป็นเรื่องละเล่นของบรรดาเด็กผู้หญิง ผู้ชายอย่างพวกข้าพูดแล้วไม่คืนคำ แม้ไม่เกี่ยวก้อยก็ทำได้”
หลิงหลงรับไม่ได้ที่สุดที่ผู้อื่นโต้แย้งตนเอง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไม่สน! จะเกี่ยวก้อย!”
จงหมิ่นเหยียนยื่นแขนออกไป “อะ เกี่ยวแขนละกัน เกี่ยวก้อยเป็นพฤติกรรมเด็กผู้หญิง ข้าไม่ทำ”
หลิงหลงหัวเราะเริงร่า ใช้แขนเกี่ยวกับแขนเขา สองคนราวกับเด็กน้อย กล่าวว่า “หากวันหน้าไม่ทำตามคำสาบานแอบลงเขาไป ขอให้เจ้าหกฟันร่วงหมดปาก เป็นตาแก่ไร้ฟัน!”
สาบานเสร็จ สองคนก็หัวเราะดังขึ้น รู้สึกสนุกสนานอย่างมาก เขาสองคน คนหนึ่งสิบสี่ คนหนึ่งเพิ่งสิบเอ็ด ล้วนเป็นอายุที่ยังบริสุทธิ์ไม่เข้าใจโลก ที่เรียกว่าตลอดไปนั้น ในสายตาพวกเขาก็มีเพียงสิ่งราวภาพฝันเท่านั้น ในใจพวกเขาก็เหมือนกับงานชุมนุมปักบุปผาที่กำลังจะจัดขึ้น อยู่ตรงหน้านี้ พริบตาก็พ้นผ่านไป เรื่องเหล่านี้ไม่มีวกวนทนทุกข์ และไม่มีความเศร้า
ยอดเขาที่สองคนหมุนวนผ่านเมฆหมอกขึ้นไป ด้านบนมีแท่นที่ปูลาดด้วยหินหยกมรกตแผ่นใหญ่ ส่องประกายแวววาวฉ่ำ สวยงามยิ่ง ทั้งสองก้มตัวลอดผ่านพุ่มต้นไม้ด้านข้าง ก็มองเห็นรอบบนแท่นเต็มไปด้วยศิษย์พี่สำนักเส้าหยางยืนกันหนาแน่น เห็นชัดว่าเป็นผู้รับหน้าที่เฝ้ารักษาการณ์ หลิงหลงคิดไม่ถึงว่าการจับสลากจะเป็นทางการเช่นนี้ รู้สึกตกใจในทันที กระซิบว่า “นี่แย่แล้ว เฝ้ารักษาการณ์แน่นหนาเช่นนี้ จะแอบดูอย่างไร”
จงหมิ่นเหยียนมองสภาพการณ์แล้ว แอบดูเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดแล้ว เขาก้มหน้าเงียบไปพักหนึ่ง อยู่ๆ พลันคิดแผนได้ บีบมือหลิงหลง บุ้ยใบ้ให้ทำตามเขา ตามเขาไป เขากระแอมไอเสียงหนึ่ง ยืนตรงขึ้นจากต้นไม้ ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าตน เดินตรงไปยังแท่นอย่างไม่เกรงกลัว ในอกหลิงหลงราวกับมีกระต่ายน้อยตัวหนึ่งซ่อนอยู่ อยู่ๆ ก็เต้นไปมารุนแรง นางไม่รู้ว่าจงหมิ่นเหยียนทำบ้าอันใด แต่รู้สึกตื่นเต้น น่าสนุกที่สุด จึงเดินตามด้านหลังเขาไปอย่างว่านอนสอนง่าย
ตามคาด เพียงแค่ก้าวขึ้นบันได ศิษย์พี่สองคนก็เข้ามาขวางไว้ กล่าวว่า “อาจารย์บอกไว้แล้ว ตอนนี้กำลังดำเนินการจับสลากของเจ้าสำนักแต่ละสำนัก ผู้ใดก็ห้ามรบกวน”
จงหมิ่นเหยียนไม่ร้อนไม่รน ยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่ทั้งสองท่านรุ่นอักษรเจินกระมัง พวกเรารับคำสั่งจากอาจารย์อาอิ่งหงหออวี้หยางถัง นำวาจามายังฮูหยินเจ้าสำนัก”
ทั้งสองคนได้ยินอาจารย์อาอิ่งหงสีหน้าก็ลำบากใจ
สำนักเส้าหยางทั้งหมดมีเจ็ดหอ หรือเจ็ดสาขาสำนัก แบ่งกันดูแลหน้าที่ต่างกัน ฉู่อิ่งหงดูแลหออวี้หยางถัง ก็คือดูแลเรื่องการกำหนดกฎระเบียบทางเข้าออก ทั้งวันสวมชุดขาวเข็มขัดเขียวตรวจตราอยู่ในเขาแรกอรุณ พวกที่คอยเฝ้าดูว่าศิษย์ทั้งหลายอยู่ในกฎวินัยหรือไม่ก็คือบรรดาศิษย์หออวี้หยางถัง ฉู่อิ่งหงเป็นดังพยัคฆ์ยิ้ม ใบหน้ายิ้มแต่ในใจดุราวพยัคฆ์ ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องรุ่นเดียวกันนางอายุน้อยสุด ปีนี้ไม่ถึงสามสิบเจ็ด แต่แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังถอยให้นางสามส่วน
หนึ่งเพราะสามีนางก็คือผู้อาวุโสเหอหยางแห่งหอเจิ่นเสียถัง ดูแลการลงโทษโดยเฉพาะ สองเพราะตัวนางเองแม้ดูอ่อนโยนนุ่มนวล แต่ความจริงนั้นรับมือยากมาก ผู้ใดหากฝ่าฝืนกฎระเบียบ ก็จะลงโทษโดยไม่ไว้หน้า หากเจ้าเห็นว่านางใจดีเข้าไปขอร้อง สีหน้านางยิ้มแย้มรับปาก แต่พอหันหลังก็ลงโทษหนักขึ้นสิบเท่า
ตอนนั้นเส้าหยางกับสำนักเซวียนหยวนแห่งเขาหนานซานมีเรื่องกัน อาศัยนางออกหน้า สตรีหนึ่งคนทำเอาอาวุโสทุกคนสำนักเซวียนหยวนแห่งเขาหนานซานไร้วาจาจะกล่าว สุดท้ายนักพรตจู้สือเจ้าสำนักเซวียนหยวนต้องมาขอขมากับอดีตเจ้าสำนักเส้าหยางด้วยตนเอง สองสำนักรับปากตกลงสัมพันธ์กันต่อ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันต่อ
สตรีไม่เหมือนผู้ใดเช่นนี้ ทำให้เจ้าสำนักตอนนั้นชมไม่ขาดปาก เสียงเรียกร้องให้นางเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปก็มาก เจ้าสำนักคิดไตร่ตรองหลายรอบ กลับปล่อยนางผู้มีความสามารถเช่นนี้ไป เลือกฉู่เหล่ยที่พูดน้อยหนักแน่นแทน ดีที่นางมิได้คิดเป็นใหญ่ นิยมความอิสระ ยอมเป็นเจ้าสำนักหออวี้หยางถังซึ่งเป็นสำนักสาขาเส้าหยาง แต่มาถึงวันนี้บรรดาศิษย์เก่าแก่ยังกล่าวว่า เพียงนางบอกว่าจะจากไป เส้าหยางอย่างน้อยหนึ่งในสามก็ย่อมเลือกติดตามนางไปด้วย ไม่อาจไม่ยอมรับว่าความสามารถนางนั้นไม่ธรรมดา
ในเมื่ออาจารย์อาอิ่งหงที่ร้ายกาจเช่นนี้มีวาจามา กอปรกับนางก็ไปมาหาสู่สนิทกับฮูหยินเจ้าสำนัก ทั้งสอง ไหนเลยกล้ารั้งไว้ จึงได้ยอมเปิดทางให้แต่โดยดี
หลิงหลงคิดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้พวกนางปลอมปนเจ้าไปง่ายดายเพียงนี้ ยิ่งต้องมองจงหมิ่นเหยียนใหม่ คนผู้นี้กล่าววาจาโกหกหน้าไม่แดง ใจไม่เต้น ราวกับจริง นางเงยหน้าลอบมองจงหมิ่นเหยียน เขายังคงวางท่าปกติ แต่สายตามีแววซุกซน
หลิงหลงบีบแขนเขาที่อยู่ใต้แขนเสื้อ กำลังจะชมว่าเขาทำได้ดี ก็ได้ยินเสียงสองคนวิ่งตามมา เรียกไว้ว่า “ช้าก่อน!”
ในใจเขาสองคนตื่นตระหนก คิดว่าวาจาโกหกถูกเปิดโปงแล้ว หากไม่อาจไม่ปั้นหน้าตายหันกลับมา