ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 18
จงหมิ่นเหยียนจะปล่อยเขาหนีไปได้อย่างไร ตวัดกระบี่ในมือขึ้น ส่งลำแสงพุ่งออกไปปะทะก้อนหินหน้าเงาดำ คนผู้นั้นหยุดนิ่งกับที่ แต่ไม่ลังเลแม้วินาที กระโดดทะยานเข้าไปยังหลังภูเขาต่อในทันที
ในชั่วขณะนั้นทั้งสองมองเห็นโครงร่างเขาชัดเจน รู้สึกว่าร่างเล็กหลังค่อม เหมือนไม่ใช่คน คล้ายลิงอยู่หลายส่วน ใช้ทั้งมือและเท้า ลิงยังไม่ว่องไวเท่าเขา กระโดดลอยตัวท่ามกลางควันลอยคละคลุ้ง ลัดนิ้วมือเดียวก็โดดข้ามก้อนหินไป
“หรูอี้!” จงหมิ่นเหยียนตะโกนเสียงดังขึ้น รีบไล่ตามไปพร้อมกับหลิงหลง หวังว่าทั้งสองที่เฝ้าอยู่ด้านหลังจะรั้งคนผู้นั้นไว้ได้
หรูอี้กับลู่เยียนหรานตั้งกระบวนท่ารออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นเงาดำหนีมาทางนี้ หรูอี้รีบสาดกระสุนเหล็กออกไปกำหนึ่งด้วยพลังเต็มที่ทันที สาดออกไปหมด คนผู้นั้นได้ยินเสียงลมปะทะด้านหน้า รู้ว่ามีพลังร้ายกาจ ไม่กล้าเข้าปะทะ ได้แต่ทิ้งความคิดจะลงไปถ้ำด้านล่าง คิดหันกายหนีไปทางซ้ายต่อ ขาเพิ่งขยับ ก็ได้ยินเสียง ปึก ปึก ดังขึ้นหลายเสียง กระสุนเหล็กกำนั้น ถึงกับไม่ได้ยิงสาดออกมาโดยไร้เป้า ทั้งหมดยิงทะลุผาหินแข็งแกร่ง
คนผู้นั้นรู้ว่าวันนี้ได้เจอคู่ต่อสู้ที่ยากรับมือแล้ว เกรงว่าในยามร้อนใจเช่นนี้คงหนีไม่พ้น จึงหยุดลง หันไปส่งสายตาแผดเผามองพวกเขา
จงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงตามมาถึงพอดี สองฝ่ายรวมตัวกัน เห็นคนผู้นั้นปีนไปอยู่บนก้อนหิน ไม่ขยับอีก อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “อย่างไร จับเขาได้?”
หรูอี้ส่ายหน้า “รอบคอบ! เกรงว่ามีกับดัก!”
ขณะที่พูดควันสีเขียวก็สลายลง เห็นโฉมหน้าคนผู้นั้นชัดภายใต้แสงจันทร์ เห็นหน้าผากยื่นนูนคางหลุบเข้า ดวงตาทั้งสองโตราวกระดิ่งลม สีดำน้อยสีขาวมาก ทั้งใบหน้าราวกับยังมีแผลเป็นเต็มไปหมด จ้องมองมาอย่างดุดันเช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับภูตผีปีศาจ โดยเฉพาะตอนนี้ที่กำลังเป็นยามดึกดื่น ใบหน้าเขาเพียงพอที่จะทำให้สองดรุณีน้อยอย่างหลิงหลงและลู่เยียนหรานถึงกับตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน
ในใจจงหมิ่นเหยียนก็สะดุ้ง กำกระบี่แน่น ชี้ไปทางเขา กล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “เจ้าคือใคร?! เหตุใดต้องมาควบคุมให้มารปีศาจอาละวาดทำร้ายชาวบ้านละแวกนี้?!”
คนผู้นั้นไม่พูด ได้แต่ส่งเสียงหัวเราะเยียบเย็นสองเสียง เสียงแหลมแหบแห้งราวกับนกฮูก
ดรุณีน้อยสองนางได้ยินเสียงหัวเราะก็ตัวสั่น รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา เขาพลันกระโดดขึ้นพุ่งใส่ลู่เยียนหราน! นางเห็นคนประหลาดนี้อยู่ๆ เข้ามาใกล้ แผลเป็นพาดไปมาทั่วใบหน้าบิดเบี้ยว ท่ามกลางแสงจันทร์ก็ยิ่งน่ากลัว อดตกใจจนตัวแข็งทื่อไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่อาจตวัดกระบี่ในมือออกไปได้
คนผู้นั้นกางสองมือ สิบนิ้วดำราวหมึก แต่ละนิ้วยาวราวสองสามนิ้ว ก็ไม่รู้ว่ามีพิษหรือไม่ มุ่งมาคิดคว้านาง หากคว้าได้ ไม่ตายก็ย่อมทำลายโฉมหน้า
ลู่เยียนหรานตกใจตัวแข็งทื่อ จงหมิ่นเหยียนกับหรูอี้อยู่ห่างออกไป ร้อนใจก็ไม่อาจมาทัน ข้างหูพลันได้ยินเสียง ชิ้ง ดังกระทบหู แสงทองส่องประกายเข้าขวางสว่างวาบอยู่เบื้องหน้า เป็นกระบี่หลิงหลงเสียบเข้าใส่ ช่วยนางกันเล็บทั้งสิบแสนน่ากลัวนั่นไว้ได้
“ตอนนี้แล้วยังจะมามัวอึ้งอันใด! เจ้าอยากตายหรือ?!”
นางตวาดดังลั่น พลิกกระบี่ในมือสกัดคนผู้นั้นออกไป พอดีกับจงหมิ่นเหยียนและหรูอี้เร่งมาถึง ร่วมต่อสู้กับเขา คนผู้นั้นร่างกายประหลาด ก็ไม่รู้ใช้วิชาอันใด สังเกตการณ์เคลื่อนไหวก็ดูเหมือนสัตว์ป่าอยู่สักหน่อย ไร้กระบวนท่า แต่แต่ละกระบวนง่ายดายนั้นล้วนมุ่งเอาชีวิต ทั้งสามต่อสู้พันพัว ในเวลานั้นไม่อาจสลัดหลุดได้ หลิงหลงเดิมคิดเข้าช่วย แต่พอหันกลับไปเห็นลู่เยียนหรานสีหน้าซีดขาว เห็นชัดว่ากำลังตกใจอยู่ อดเข้าไปลากนางออกมาให้ไกลหน่อยไม่ได้ จะได้ไม่บาดเจ็บโดยไม่ทันตั้งตัว
“…เจ้า…” ลู่เยียนหรานยังคงเสียขวัญ มองหลิงหลงสีหน้าสับสน เป็นนานกว่าจะกล่าวเสียงแผ่วเบา “ขอบ…ขอบคุณเจ้า”
หลิงหลงโบกมือ “เจ้าอย่าคอยเป็นตัวถ่วงก็พอ ขอบคุณอันใด!”
กล่าวจบ นางก็เหินกระบี่ไล่ตามขึ้นไปร่วมประสานกำลังกับพวกจงหมิ่นเหยียน คุมคนประหลาดนั้นไว้ใต้ลำแสงกระบี่ ไม่ปล่อยให้เขาหนีไป
ลู่เยียนหรานเม้มปาก คิดอยากจะโต้นางคืนด้วยความโมโหเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับพูดไม่ออก นางรู้ว่าตนเองน้ำท่วมปาก ติดค้างหนี้บุญคุณผู้อื่นครั้งหนึ่งเสียอย่างนั้น ยังเป็นหญิงที่นางไม่ชอบที่สุดอีกด้วย จึงเหินกระบี่เข้าร่วมต่อสู้ ปล่อยวางความคิดแย่งชิงก่อนหน้าลง ไม่หาเรื่องอีกแล้ว
คนประหลาดนั่นเห็นทั้งสี่เข้าล้อมรอบ รู้ดีว่าไม่ได้การแล้ว เกรงว่าหากรับมืออีกสองสามกระบวนท่าจะบีบให้พวกเขาปล่อยวิชาพลังเซียนออกมา ถึงตอนนั้นจะพลิกฟ้าแทรกแผ่นดินก็หนีไม่พ้นแล้ว พอดีกับกระบี่ต้วนจินในมือหลิงหลงตวัดออกมา ลำแสงสีทองส่องประกาย สว่างยิ่งกว่าแสงจันทร์ส่อง แต่เป็นแสงมรณะที่สังหารคนไม่เห็นโลหิต
เขาเห็นกระบี่หลิงหลงตวัดขึ้น ใต้วงแขนเปิดช่องโหว่ จึงกัดฟันไม่ถอยหนี สะอึกตัวพุ่งเข้าใส่ทันที ใบหน้าประหลาดเร่งพุ่งเข้าใส่ ทำเอาหลิงหลงตกใจจนกระบี่ในมือแทบร่วง
แม้เป็นเช่นนี้ แสงทองก็ยังคงเข้าตัดแขนขวาคนผู้นั้นพอดี เสียงเนื้อและกระดูกแยกจากกันทำเอาทุกคนกัดฟันร้องเสียวในใจ เลือดสดพุ่งกระเซ็นออกมาราวกับน้ำพุ คนผู้นั้นเองก็ฝืนทนไว้ ไม่ร้องสักแอะ หากพลันเอี้ยวตัวลง อาศัยจังหวะหลิงหลงตื่นตกใจ หาช่องโหว่หนีออกไปได้
“ไม่ได้การ!” หรูอี้รีบตะโกน ยกมือสาดกระสุนเหล็กออกไปอีกสิบกว่าลูก คิดจะขวางหน้าเขา คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ แต่การเคลื่อนไหวกลับยิ่งเร็วขึ้น พลิกตีลังกาบนก้อนหินหลายตลบอย่างรวดเร็ว กระสุนเหล็กได้แต่สาดเข้าใส่ก้อนหินด้านหลังเขา ตามมาด้วยเสียงก้อนหินแตกกระจาย เขาได้โอกาสหลบเข้าถ้ำอย่างรวดเร็ว ไร้เงา
“จะตามไหม” หรูอี้หันกลับไปถามจงหมิ่นเหยียน
เขาขมวดคิ้วมองไปยังถ้ำเล็กใหญ่ละแวกนั้น เกรงแต่ว่าล้วนเชื่อมต่อกัน คนผู้นั้นชำนาญพื้นที่ที่นี่ยิ่งกว่าพวกเขาแน่ ศัตรูอยู่ที่ลับ เราอยู่ที่แจ้ง เกรงแต่ว่ารับมือยาก แต่หากปล่อยไปเช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เท่ากับที่ผ่านมาเสียแรงเปล่า เขากัดฟัน กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ตาม! วันนี้ต้องจับเขาให้ได้!”
ลู่เยียนหรานที่เอาแต่เงียบมาตั้งแต่ถูกหลิงหลงช่วยเอาไว้พลันกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ข้ามีวิธี ทำให้เขาไม่อาจหนีไปทั่ว”
กล่าวจบนางก็ไม่รอให้ทุกคนถาม กลับยกกระบี่ในมือ หลับตาว่าเคล็ดวิชา ท่องยาวไปถึงเวลาครึ่งก้านธูปกว่าจะท่องจบ เห็นกระบี่ส่องแสงวิบวับ ส่งลำแสงสีเขียวงดงามออกมา นางพลิกข้อมือชี้ปลายกระบี่ไปยังปากถ้ำใหญ่น้อยสิบกว่าแห่งรอบๆ ทีละแห่ง ที่ที่ปลายกระบี่นางชี้ไป ปากถ้ำก็มีแสงบางๆ ชั้นหนึ่ง บางเบายิ่ง ไม่รู้ว่าคืออะไร
หรูอี้รู้สึกแปลกใจ “ที่แท้แม่นางลู่ก็เป็นวิชาแหกระบี่! วิชาเกาะฝูอวี้ร้ายกาจจริง!”
ลู่เยียนหรานตั้งแต่ทุ่มกำลังในการวางแหนี้ก็เสียพลังไปมาก เหงื่อผุดเต็มหน้าผากไปหมด ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ในใจพลันรู้สึกภาคภูมิใจ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่อาจเรียกว่าร้ายกาจอันใด ข้าเป็นแค่เล็กน้อยเท่านี้ แต่ก็พอทำให้เขาหากคิดจะออกจากถ้ำ ก็ต้องใช้เวลาสักพัก พวกเราเร่งตามเข้าไปตอนนี้ เล่นจับปูในไหกัน”
ก่อนหน้าหลิงหลงดูแคลนนางอยู่บ้าง คิดว่านางเป็นแค่โต้เถียงเก่ง เอาแต่หลบหลังผู้ชาย เห็นนางมีฝีมือเช่นนี้ก็เลื่อมใสอยู่บ้าง แต่ไรมานางก็เป็นคนนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา ยามนั้นจึงได้ชื่นชมว่า “ฝีมือร้ายกาจมาก! ครั้งหน้าสอนข้าบ้างได้ไหม”
ยามนี้ลู่เยียนหรานจึงได้แสดงท่างดงามหยดย้อยสมดังชื่อเยียนหรานที่แปลว่างามหยดย้อยจริงๆ แค่นเสียงชิเบาๆ กล่าวว่า “ดูท่าทางเจ้าสิ หญิงป่าเถื่อน”
“ชิๆ! เจ้าสิลิงตัวเมีย!”
หลิงหลงค้อนใส่นางขวับ จากนั้นทั้งสองก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ต่างรู้สึกอายเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ความเป็นศัตรูของทั้งสองมลายหายไปอย่างไม่ทันรู้ตัว มองอีกฝ่ายก็ไม่รู้สึกขัดตาอีกแล้ว
พวกผู้ชายสองคนเห็นพวกผู้หญิงในที่สุดก็หยุดรบกันแล้วก็ราวกับพระอาทิตย์ออกจากเมฆา พากันลอบถอนใจ
จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “ไปกันเถอะ อย่าให้เขาหนีได้อีก!”
ตอนนั้นทุกคนร่วมใจกันเหินเข้าไปในถ้ำที่คนผู้นั้นเร้นกายเข้าไป ลู่เยียนหรานอยู่ท้ายสุด ปิดปากถ้ำด้วยแหกระบี่แล้วจึงวางใจวิ่งลึกเข้าไปในถ้ำ
ในถ้ำชื้นแฉะและมืดมิด เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มืดจนแม้ยื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าของตนเอง จงหมิ่นเหยียนจุดคบไฟน้ำมันสนแท่งเล็ก อีกมือกำกระบี่แน่น ระวังรอบกาย ค่อยๆ เดินเข้าไป
เดินไปครู่หนึ่ง ลู่เยียนหรานพลันกล่าวเบาๆ ว่า “ช้าก่อน…ฟังสิ! ทางนั้นมีเสียง!”
ทั้งสี่เงียบ มองไปยังทิศทางที่นางชี้ไป นิ่งฟัง รู้สึกว่าที่ไกลออกไปราวกับมีคนกำลังใช้แรงกระแทกกำแพง เสียงดังโครมคราม จากนั้นเสียงก็ค่อยๆ เบาลง หากไม่ใช่ว่าในถ้ำเสียงก้องก็ย่อมไม่ได้ยิน
“อันใด” หลิงหลงไม่ทันได้สติ
ลู่เยียนหรานยิ้มกล่าวว่า “เจ้าลูกเต่าติดกับแล้ว! ตอนนี้เขาต้องคิดจะออกไปจึงชนกับแหกระบี่แน่เลย พวกเรารีบไปกันเร็ว!”
หลิงหลงยังเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ไม่รู้แหกระบี่ของนางนั้นแท้จริงมีอานุภาพเพียงใด เห็นบางๆ อย่างนั้น เกิดถูกฉีกออกก็ไม่ได้การแล้ว
ทั้งสี่รีบวิ่งไปเข้าไปกันต่อ ยิ่งวิ่งเข้าไปก็ยิ่งกว้าง ไม่รู้มีทางแยกเท่าไร โชคดีที่มีลู่เยียนหราน นางรับรู้ถึงแหกระบี่นางที่สร้างได้ วิ่งไปได้ราวเวลาสองก้านธูป ก็รู้สึกในถ้ำมีแสงสว่าง คิดว่าน่าจะใกล้ปากถ้ำแล้ว
จงหมิ่นเหยียนใช้มือบังเปลวไฟไว้แล้วดับลง หูได้ยินเพียงเสียงกระแทกดังโครมครามขึ้นเรื่อยๆ ยังมีเสียงสบถด่าแว่วตามมาด้วย คิดว่าคนผู้นั้นออกจากถ้ำไม่ได้ ร้อนใจจึงร้องสบถด่ามารดา
เขาตวาดดัง “ยังคิดหนี?!” เดินก้าวเข้าไปรวดเร็ว ดังคาด เห็นคนผู้นั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตากระแทกใส่ปากถ้ำ แหกระบี่ไร้รูปร่าง มองแล้วบางเบา ถึงกับแข็งแกร่งยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็กระแทกไม่ขาด
คนผู้นั้นเห็นพวกเขาไล่ตามมาทัน ถ้ำแคบ ตนเองไม่มีทางหนีได้อีกแล้ว ได้แต่พิงกำแพงถ้ำไม่ขยับ