ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 23
ศาลบรรพชนตระกูลเกาตั้งอยู่ที่ริมทะเลสาบหงเจ๋อ เชิงเขาเกาซื่อซาน
แม้ว่ายังไม่ถึงพิธีบวงสรวงเดือนสอง แต่หน้าศาลบรรพชนก็เต็มไปด้วยผู้คน แม้แต่เรือสำราญเล็กในทะเลสาบก็ลอยกันเต็มท้องทะเลสาบ บนฝั่งยังเบียดเสียดแน่นจนไม่มีแม้แต่ทางจะเดิน
รถม้าจอดอยู่ริมฝั่งไกลออกไปอีกด้าน ทุกคนลงจากรถ มองไปเห็นเพียงหองดงามตระการตาตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่ง เป็นหอสูงราวสองถึงสามชั้น ด้านหน้ามีหกเสา ด้านบนแขวนโคมไฟผูกผ้าแพรปลิวไสว เปล่งรัศมีสูงศักดิ์เหนือสามัญ ตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไปยังมิอาจเผยรัศมีเช่นนี้ได้
จงหมิ่นเหยียนเห็นหัวคนขวักไขว่มากมายที่ฝั่งตรงข้ามก็ขมวดคิ้ว อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ว่า “ทำไมคนจึงมากมายเช่นนี้ ยังไม่ถึงงานบวงสรวงไม่ใช่หรือ”
ฟางอี้เจินยิ้มกล่าวว่า “จอมยุทธ์จงอาจไม่ทราบ หลายวันนี้ท่านเซียนหญิงเกาอาจจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ ในศาลบรรพชนมีสมุดรายชื่อตั้งไว้สำหรับให้ท่านเซียนหญิงคัดเลือกคนไปรับใช้บนเขาในปีนี้ ดังนั้นทุกคนจึงมารวมตัวกันรออยู่ที่นี่ หวังเพียงได้เป็นผู้ที่ท่านเซียนหญิงเลือก จะได้เสวยวาสนาเซียน”
ทุกคนได้ฟังก็เงียบกริบ แต่เล็กพวกเขาก็บำเพ็ญเพียรเพื่อเข้าสู่วิถีเซียน แต่โบราณมาถึงปัจจุบัน ห้าสำนักใหญ่ตั้งแต่ระดับสูงถึงระดับล่าง ผู้ที่ได้เป็นเซียนจริง หรือที่ได้พบเซียน น้อยยิ่งกว่าน้อย ไหนเลยจะรู้ว่าที่เขาเกาซื่อซานแห่งนี้ ถึงกับมีเซียนจริงพำนักอยู่ ทุกปียังออกมาคัดเลือกชายหนุ่มไปปรนนิบัติรับใช้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ
เกรงแต่ว่าที่นี่มีอันใดแอบแผง หรือนั่นอาจไม่ใช่เซียนอันใด แต่เป็นปีศาจ…หรือบางทีเป็นเทพนิยายที่ล่ำลือพกลมกันไปเอง แต่ทุกผู้ทุกคนในเมืองจงหลี ไม่ว่าเด็กสตรีคนชรา ชายหรือหญิงล้วนให้ความเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง วาจาสงสัยกล่าวออกไปเกรงว่าจะขัดหู เกิดไปทำให้ทุกคนโมโหขึ้นมา ก็คงไม่สนุกยิ่ง
ยามนั้นอวี่ซือเฟิ่งอมยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อช่วงนี้ท่านเซียนหญิงกำลังคัดเลือกผู้มีวาสนา เหตุใดคุณชายฟางไม่ไปร่วมด้วยเล่า”
เดิมข้าก็จะไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่ามาเจออันธพาลเช่นพวกเจ้าเข้า…ฟางอี้เจินแอบบ่นในใจไม่หยุด แต่สีหน้ากลับแสดงอาการกลัดกลุ้มกล่าวว่า “บิดาข้าอายุมากแล้ว ข้าไม่กล้าไปไหนไกล” คนปัญญาอ่อนยังฟังออกว่าวาจานี้ของเขานั้นเป็นวาจาพกลม เห็นท่าทางเขาก็รู้ว่าเขาย่อมคิดไปร่วมคัดเลือกด้วย
“พูดมากกันเช่นนี้ทำไม! ในเมื่อมาดูเรื่องสนุกกัน เหตุใดไม่เข้าไปดู!” หลิงหลงสะบัดเปียไปด้านหลัง ลากมือเสวียนจีเดินไปทันที
จงหมิ่นเหยียนเห็นความวุ่นวายของฝั่งตรงข้าม เกรงว่าหากเบียดเข้าไปจะเสียเวลา รีบดึงหลิงหลงไว้ หันกลับไปยิ้มกล่าวว่า “คุณชายฟาง ยามนี้วาสนาเซียนมาถึงแล้ว คิดต้านทานก็ไม่อาจต้านทานได้ ผู้ใดให้ท่านมาพบกับพวกเราเข้า เพื่อตอบแทนที่ท่านกรุณานำทางให้เรา พวกเราก็จะส่งท่านเข้าไปเอง!”
กล่าวจบเขาก็หันไปขยิบตาให้หรูอี้ หรูอี้เข้าใจในทันที เผยรอยยิ้มบาง ยกตัวฟางอี้เจินที่ยังคงงุนงงขึ้น ตวัดมือคว้าเสื้อแขนสั้นตัวนอกเขาก่อนจะโดดไปทางทะเลสาบ
“เดี๋ยว…เดี๋ยวๆ! จอมยุทธ์! จอมยุทธ์…ท่านผู้กล้า! พี่ชาย! ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว!” ฟางอี้เจินคิดว่าพวกเขาจะโยนตนลงน้ำ ตกใจส่งเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกดัง น้ำสีเขียวมรกตในทะเลสาบตรงหน้าพลันขยายวงกว้าง เขาหลับตาลงทันทีด้วยสัญชาตญาณ กลับไม่รู้สึกว่าตกลงไปในน้ำ ทั้งตัวเบาหวิว ถึงกับเหินขึ้นไป
เขาเบิกตาโตอย่างตกใจ เห็นตนถูกคนยกขึ้น สองขาเหยียบมั่นอยู่บนกระบี่เล่มหนึ่ง คลื่นน้ำในทะเลสาบใต้ฝ่าเท้ากระเพื่อมไหว ถึงกับกำลังเหินอยู่จริงๆ! บินข้ามทะเลสาบหงเจ๋อ!
เหนือศีรษะมีเสียงหัวเราะเบาๆ “คุณชายฟาง เช่นนี้แม้ว่าเสียมารยาทและวู่วามไปบ้าง แต่ก็สนุกกว่านั่งรถม้ามากกระมัง”
เขาพยักหน้างุนงง พลันยังไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นความจริง
พวกเขาบินได้…หรือว่าพวกเขาก็เป็นเทพเซียน?
คนหน้าศาลบรรพชนพากันเบิกตาโตจ้องมองอ้าปากค้าง มองเห็นหมอกควันเหนือผิวน้ำในทะเลสาบ มีคนบินมากันหลายคน ราวภูตผีปีศาจมาวนอยู่หน้าประตูศาลบรรพชนไม่นาน จากนั้นก็ลอยตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ไปหยุดบนชายคาศาลบรรพชน
หรูอี้ปล่อยฟางอี้เจินลงเบาๆ สองขาเขาอ่อนยวบ หย่อนก้นลงนั่งแปะบนมังกรเฉาเฟิงด้านหลัง ประสบการณ์นี้ช่างน่าตื่นเต้นจริง เขากล่าวอันใดไม่ออกสักคำ
พวกจงหมิ่นเหยียนห้าคนเองก็นั่งลงบนชายคา มองสังเกตรอบด้าน ยิ้มกล่าวว่า “ที่นี่ทิวทัศน์ไม่เลวจริงๆ ด้านหน้าเป็นน้ำ ด้านหลังเป็นภูเขา เซียนหญิงเกาช่างเลือกสถานที่จริง”
คนที่เบียดกันอยู่หน้าประตูศาลบรรพชนพวกนั้นพากันส่งเสียงโหวกเหวก นั่งอยู่บนชายคาศาลบรรพชนก็คือการไม่ให้ความเคารพ แต่เมื่อครู่คนพวกนี้บินมา มองแล้วทุกคนดูท่าทางไม่เลว แม้ดูประหลาดไปบ้าง แต่อาจจะเป็นผีสางเทวดาอันใดก็เป็นได้ ดังนั้นผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยตำหนิออกมา ได้แต่พากันวิพากษ์วิจารณ์กันไป
“คือ…จอมยุทธ์ทุกท่าน…ที่นี่ไม่อาจนั่ง อา…” ฟางอี้เจินสีหน้าซีดเผือด กล่าวเสียงสั่น “แต่ไรมาไม่มีผู้ใดกล้านั่งบนชายคาศาลบรรพชน…” กล่าวจบ เขาเองก็ยืนขึ้น แต่ศาลบรรพชนสูงถึงสองสามชั้นได้ ชายคายังลาดเอียง พอเขาเพิ่งยืนขึ้นก็รู้สึกวิงเวียน ช่างขี้ขลาด ได้แต่กลับไปยองตัวลงนั่งกอดศีรษะมังกรเฉาเฟิงไว้แน่น
จงหมิ่นเหยียนหัวเราะดังลั่น ตบบ่าเขา กล่าวเสียงดังกังวานว่า “คุณชายฟาง ท่านรู้ไหมว่าใต้หล้ากว้างใหญ่ ฟ้าเป็นผ้าห่ม ดินเป็นเตียงนอน ใต้หล้าไหนเลยมีที่ไม่อาจนั่งได้กัน”
ข้าเป็นพลเมืองดี ไหนเลยควรเอามาเทียบกับอันธพาลเช่นพวกเจ้า! ฟางอี้เจินด่าในใจ ใกล้ปะทุออกมาแล้ว หากสีหน้ายังคงไม่กล้าแสดงอาการออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย ได้แต่กล่าวอย่างขลาดกลัวว่า “วาจาแม้กล่าวเช่นนี้ แต่หากปะทะท่านเซียนหญิง ข้าน้อยเองไม่อาจแบกรับได้จริงๆ…”
น่าเสียดายไม่มีผู้ใดสนใจเขา เสวียนจีกับหลิงหลงเอาขนมและผลไม้แห้งในรถม้าออกมาด้วย แบ่งให้ทุกคน ถึงกับเริ่มนั่งกินไปเคี้ยวไปบนชายคาศาลบรรพชน
ที่นี่อยู่สูง ด้านหน้ามองไปเห็นน้ำในทะเลสาบสุดลูกหูลูกตา เสียดายเพียงแค่อยู่ในช่วงเดือนสิบสองซึ่งเป็นฤดูหนาว ไม่มีทิวทัศน์งามอันใดให้ชม มีแต่ลมเหนือที่พัดหวีดหวิวมา ทำเอาเสื้อผ้าและผมของทุกคนปลิวไสว และก็ทำเอาฟางอี้เจินหนาวจนตัวสั่นไม่หยุด
“เซียนหญิงจะมาตอนไหน” เสวียนจียัดขนมเข้าปาก ถามเสียงอู้อี้
ทุกคนมองไปยังฟางอี้เจิน มีแต่เขาที่รู้ สีหน้าเขาเขียวคล้ำ ก็ไม่รู้ว่าหนาวหรือว่าโมโห กล่าวเสียงสั่นว่า “ข้า…ข้าไม่รู้ จอมยุทธ์ทุกท่าน พวกเรา…ลงไปกันข้างกันเถอะ เกิดท่านเซียนหญิงมา คือ คือ เป็นการไม่ให้ความเคารพยิ่ง…”
“กลัวอันใด มีพวกเราอยู่” หลิงหลงค้อนใส่เขา นางดูแคลนที่สุดก็คือชายที่ขี้ขลาดกลัวๆ กล้าๆ เช่นนี้
“จะว่าไป นางจะมาคัดเลือกคนจากรายชื่อ นางรู้ได้อย่างไรว่าใครชื่ออะไร” เสวียนจีถามอีก
จงหมิ่นเหยียนนิ่งเงียบกล่าวว่า “หากนางเป็นเซียนจริง ย่อมรู้ทุกเรื่อง”
หรือว่าเซียนต้องรู้ทุกเรื่อง? เสวียนจีเบิกตากลมโตจ้องมอง ในใจพลันรู้สึกว่าไม่น่าใช่ แต่ด้วยเหตุใดไม่ใช่นั้น นางเองก็ไม่กระจ่างนัก
“น่าจะเพราะทุกวันยามว่าง นางก็คงไปเดินเล่นตามดูแต่ละบ้านในเมืองกระมัง!” หลิงหลงกัดผลหลีคำหนึ่ง “เทพเซียนอย่างไรก็ไม่มีงานทำ มีก็แต่งานบ้านจิปาถะ! เวลาว่างก็จะไปเยี่ยมบ้านนี้ ไปเคาะประตูบ้านนั้น นานวันเข้า แน่นอนย่อมรู้”
ที่แท้เป็นเช่นนี้! เสวียนจีพลันระลึกได้
ฟางอี้เจินได้ยินพวกเขากล่าวเหลวไหลก็ทนไม่ไหว กล่าวเสียงดังว่า “ท่านเซียนหญิงบรรลุเซียนแล้ว ใต้หล้าจะมีเรื่องใดที่นางไม่รู้! ย่อมศักดิ์สิทธิ์รู้ทุกอย่าง! พวกเจ้าอันใดก็ไม่รู้…อย่ามากล่าววาจาเหลวไหลที่นี่ได้ไหม”
จงหมิ่นเหยียนเห็นเขาโมโหแล้ว จึงยิ้มกล่าวว่า “คุณชายฟางอย่าได้โมโห กล่าวตามตรง พวกข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียน…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ พลันได้กลิ่นหอมพัดมาวูบหนึ่ง กลิ่นนี้แต่ไรมาก็ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน ราวกับเป็นกลิ่นหอมบุปผาพันชนิดผสมกับกลิ่นหอมเครื่องหอมพันชนิด ผสานกับกลิ่นลมใบไม้ผลิและลมใบไม้ร่วงแสนอ่อนโยน พอได้กลิ่นเข้าไปเล็กน้อย ก็ทำให้ทุกคนราวกับมึนเมาตกอยู่ในห้วงฝัน ในใจพลันปลอดโปร่ง รู้สึกสบายทั่วร่างอย่างบอกไม่ถูก
ฟางอี้เจินสีหน้าเปลี่ยน ร้อนใจกล่าวว่า “ท่านเซียนหญิงมาแล้ว!”
ทุกคนได้ยินเสียงหยกห้อยติดตัวดังขึ้นด้านหลัง ราวกับมีคนค่อยๆ ย่างเข้ามา ทุกคนพากันหันกลับไปมอง ไม่เห็นผู้ใดแม้ครึ่งร่างเงา เห็นเพียงกลุ่มควันสีม่วงจางๆ ลอยมา รัศมีมงคลปกคลุม กลิ่นอายมงคลเกาะกลุ่มเป็นก้อน นิ่งอยู่บนชายคาครู่หนึ่ง ก่อนจะมลายหายไปในพริบตา
ค่อยๆ ปรากฏแถบสีม่วงจางๆ กลางนภามาหยุดลงที่ชายคาพอดี จงหมิ่นเหยียนเก็บขึ้นมา เห็นเพียงกระบอกไม้ไผ่ท่อนเล็กนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องหอมชั้นสูง ส่งกลิ่นตลบอบอวลละมุนละไม อักษรบนกระบอกไม้ไผ่บรรจงเป็นระเบียบ เขียนรายชื่อคนสี่คน เดาว่านางน่าจะคัดเลือกรายชื่อคนแล้ว
คนด้านล่างของศาลบรรพชนพากันส่งเสียงโหวกเหวกยิ่งดัง ในที่สุดก็มีคนอดไม่ได้ร้องตะโกนว่า “บนกระดาษเขียนชื่อผู้ใด?! รีบอ่าน!”
วาจานี้กล่าวออกไป คนด้านล่างก็พากันตะโกนตามๆ กัน จงหมิ่นเหยียนกระแอมไอในลำคอก่อนจะกล่าวนุ่มนวลลื่นไหล “เช่นนั้นข้าอ่านละนะ! หรงเหลียงอวี้ จวีเจ้าเหยียน จางจิ่ง…ฟางอี้เจิน…”
ทุกคนล้วนตกใจ คิดไม่ถึง ในนั้นถึงกับมีชื่อฟางอี้เจิน จนกระทั่งคนด้านล่างของศาลบรรพชนได้ยินชื่อที่เซียนหญิงทิ้งไว้ ก็พากันลงคุกเข่าโขกศีรษะ พวกที่ถูกเลือก บางคนก็มาเอง บางคนก็มีคนในครอบครัวมิตรสหายมา ทุกคนล้วนยินดีจนน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา รีบกลับบ้านไปแจ้งข่าว
ฟางอี้เจินเองก็ไม่สนใจว่าตนเองอยู่บนชายคา ดีใจออกนอกหน้า กล่าวติดๆ กันว่า “ถึงกับมีข้า! มีข้าจริงๆ! โอ สวรรค์…นี่มัน…”
ทางด้านนี้ทุกคนกำลังส่งเสียงดังเอะอะ อวี่ซือเฟิ่งอีกทางพลันเห็นเสวียนจียืนขึ้นมองไปยังทิศทางที่ ‘เซียนหญิง’ ผู้นั้นมาอย่างตะลึงงัน คิ้วขมวดเล็กน้อย ราวกับกำลังคิดอันใด
“เป็นอะไรไป” เขาถาม
เสวียนจีส่ายหน้า ยกมือแสดงท่าคว้าท้องฟ้า ราวกับจะคว้าปลายลมไว้มาอังที่จมูก ค่อยๆ ดม
“กลิ่นอายปีศาจ” นางกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ข้าได้กลิ่นอายปีศาจ”