ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 34
ทั้งสามกำลังแย่งกันไม่หยุด พลันได้ยินทางแยกด้านขวามีเสียงดังแว่วมา เป็นเสียงผู้หญิง พากันอดสะดุ้งในใจไม่ได้
จิ้งจอกม่วง?! นางไล่ตามมาแล้ว?
“…มารปีศาจที่ถูกจองจำไว้คือตนใดกันแน่ ไยทุกคนล้วนคิดไปช่วยเขา?”
เสียงสตรีผู้นั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ น่าจะใกล้เลี้ยวมาแล้ว
“เหมือนกับมนุษย์ ชื่อเสียงข้างนอกยากที่จะมีเรื่องจริงเท็จมากมาย ก่อนหน้านี้ต้องการเพื่อช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์ใจเพียงอย่างเดียว ต่อมาค่อยๆ กลายเป็นอยากช่วยเพื่อสร้างชื่อเสียง หลายพันปีมานี้ ไม่เคยมีผู้ใดช่วยเขาได้สำเร็จ ดังนั้นผู้ใดช่วยออกมาได้ ไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียงโด่งดังหรือ”
น้ำเสียงผู้ชายแหบพร่า ท่วงทำนองวาจาฟังประหลาด
“หึๆ อันนี้ข้ารู้ หลายคนคิดสร้างชื่อเสียง แต่ถิงหนู เจ้ายังไม่ได้บอกข้า แท้จริงแล้วคือปีศาจใดกันแน่…”
น้ำเสียงพลันสะดุดลงทันที ดรุณีน้อยชุดขาวผู้นั้นเลี้ยวออกมา ยามนั้นเองชายหนุ่มสามคนตรงหน้าก็เบิกตาโตจ้องมองเขม็ง
“ซือเฟิ่ง! ศิษย์พี่หก! หรูอี้!” ในที่สุดเสวียนจีก็พบพวกเขา อดระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ ปรี่เข้ามา ถามติดๆ กัน “เป็นอย่างไรบ้าง จิ้งจอกนั่นทำร้ายพวกเจ้าไหม”
ทั้งสามยังไม่ทันตั้งสติได้ เอาแต่มองจ้องนางนิ่งงัน มองไปด้านหลังอีกที เห็นชายในชุดแดงบนเก้าอี้เข็น สุดท้ายเห็นจิ้งจอกม่วงที่กำลังสลบอยู่ในอ้อมกอดชายผู้นั้น
อวี่ซือเฟิ่งพึมพำกล่าวว่า “เสวียนจี…เจ้าเจอเรื่องประหลาดอันใดอีกหรือ…ผู้นี้คือใคร จิ้งจอกนั่น…”
เสวียนจีตื่นเต้นมาก พรั่งพรูเรื่องราวว่าตนเองได้พบกับเงือกได้อย่างไร ไปหอไท่จี๋หาร่างจริงจิ้งจอกม่วงพบได้อย่างไร และทำจิ้งจอกม่วงบาดเจ็บอย่างไร สุดท้ายจบเรื่องราวที่ออกมาหาพวกเขาพร้อมกับเงือก ทั้งสามฟังจนอ้าปากค้าง
หรูอี้ชี้ไปที่จิ้งจอกตัวนั้น ตกใจกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าทำนางสลบ?!” ความตื่นตกใจไม่น้อยไปกว่าเห็นสุกรบินได้
จริงๆ แล้วเสวียนจีเองก็งงไม่น้อย แต่เด็กน้อยมักจะมีภาคภูมิในชัยชนะ อะไรที่ดีก็จะลากเข้าหาตนเอง ยามนั้นจึงยิ้มกล่าวว่า “ใช่สิ! ข้าใช้ไฟเผานาง ปรากฏว่านางสลบไปเลย”
หรูอี้แอบส่ายหน้า ยังคงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ จงหมิ่นเหยียนราวกับคิดถึงเรื่องราวความหลังอันใดขึ้นมาได้ เม้มปากไม่กล่าวอันใด ดังนั้นอวี่ซือเฟิ่งจึงก้าวเข้าไปปัดฝุ่นบนหัวไหล่นาง กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ครั้งหน้าอย่าได้วู่วามเช่นนี้ เข้าใจไหม”
เสวียนจีพยักหน้าอย่างว่าง่าย พลันเห็นเข็มขัดและสาบเสื้อตรงหน้าอกเขาหลุดลุ่ย เผยเสื้อตัวในสีขาว แอบมองเห็นรอยแดงบนหน้าอก อดตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ได้ ชี้ไปตรงนั้น ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าบาดเจ็บหรือ?! จิ้งจอกนั่นไหนบอกว่าไม่ได้ทำร้ายคน! ข้า…ข้าจะสังหารนางทิ้งตอนนี้เลย!”
อวี่ซือเฟิ่งดึงแขนเสื้อนางไว้ ใบหูแดงก่ำราวกับโมราแดงแกะสลักงดงาม เป็นนานกว่าจะกระซิบว่า “ไม่ใช่บาดเจ็บ! ข้าไม่เป็นไร…นางไม่ได้ทำร้ายพวกข้าจริง อย่าได้สังหารส่งเดช”
เสวียนจียังคิดกล่าวต่อ เขากลับเดินไปหน้าถิงหนู ก้มหน้าลงมองอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้า…ยังจำพวกเราได้ไหม”
ถิงหนูมองเขานิ่งเงียบ เป็นนานกว่าจะพยักหน้า “จำได้…แต่ตอนนั้น เจ้าไม่ได้สวมหน้ากากนี้นี่ เกิดอันใดขึ้น”
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบ
ถิงหนูจ้องมองเขาพักหนึ่ง สายตาค่อยๆ เผยสีหน้าสงสารเห็นใจ
“อา เจ้าเป็นเงือกครั้งนั้น! เจ้าพูดได้?” ในที่สุดจงหมิ่นเหยียนก็ค่อยๆ พบว่าชายชุดแดงที่นั่งอยู่บนรถเข็นนี้ก็คือตัวละครหลักที่ทุกคนช่วยในปฏิบัติการไข่มุกเมื่อสี่ปีก่อน อดระงับความตื่นเต้นไม่ได้ ปรี่เข้าไปมองเขาตั้งแต่บนลงล่าง
ถิงหนูยิ้มเล็กน้อย แววตาเห็นใจสงสารพลันมลายหายไป กลางเป็นความอ่อนโยนราวสายลมวสันต์ กล่าวเบาๆ ว่า “ข้ายังไม่ได้ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยชีวิต ถิงหนูได้รับบุญคุณใหญ่นี้ ไม่กล้าลืมเลือนชั่วชีวิต”
“บุญคุณอันใด อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย!” จงหมิ่นเหยียนโบกมือ พลันคิดถึงอันใดได้ กล่าวอีกว่า “ใช่แล้ว ต่อมามีคนตำหนักหลีเจ๋อมารับเจ้าไหม ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่”
ถิงหนูลังเลครู่หนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “ตอนคนตำหนักหลีเจ๋อไปถึง เจ้าไม่อยู่ในทะเลสาบนั้นแล้ว มีคนอื่นมาพาเจ้าไปใช่ไหม”
เขาส่ายหน้า “ข้าถูกจิ้งจอกม่วงพาตัวมาที่นี่ นางอยากรู้เรื่องบางอย่าง บีบให้ข้าบอกนาง แต่จริงๆ แล้วข้าเองก็ไม่รู้ นางไม่เชื่อ จึงขังข้าไว้ที่บ่อน้ำพุใต้ดิน”
“มารปีศาจจิ้งจอกควรตายนี่น่ารังเกียจจริง!” จงหมิ่นเหยียนคิดถึงเมื่อครู่ที่ถูกข่มให้หวาดกลัวแล้วก็อดกล่าวเคียดแค้นขึ้นไม่ได้ แทบอยากจะกระชากจิ้งจอกจากอ้อมกอดเขามาตบสักสองสามฉาด
เสวียนจีกว่าจะหาจังหวะแทรกขึ้นก็ไม่ง่าย ได้ทีก็รีบกล่าวว่า “ถิงหนูบอกว่าจิ้งจอกม่วงแม้ว่าจับคนได้ แต่เพราะขี้ขลาด แต่ไรมาไม่เคยทำร้ายคน คนที่ถูกนางจับตัวมาก่อนหน้าล้วนนำไปเลี้ยงดูอยู่ที่สวนอี๋ซิน สอนพวกเขาฝึกลมปราณหายใจ ข้ากำลังคิดว่าจะไปดูหลังเขา ทุกคนไปด้วยกันนะ”
นางไม่ทำร้ายคนสิแปลก! จงหมิ่นเหยียนดื้อดึงไม่อยากจะเชื่อ แต่เพราะอวี่ซือเฟิ่งกับหรูอี้ล้วนพยักหน้ารับคำ เขาได้แต่ต้องไปด้วยกัน ไปหลังเขาดูความจริงกัน
ยามนั้นทุกคนออกจากค่ายกลเก้าตำหนัก ด้านนอกเป็นป่ารกครึ้มผืนติดๆ กัน ก็ไม่รู้ว่าเขาเกาซื่อซานอยู่ที่ใด
ถิงหนูชี้ไปทางตะวันออก กล่าวว่า “สวนอี๋ซินน่าจะไปทางนี้”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “หากถึงที่นั่น พบว่าความจริงไม่เป็นดังที่เจ้าว่าไว้ จะว่าอย่างไร”
ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ย่อมไม่ จิ้งจอกม่วงไม่เคยทำร้ายคน ข้ารู้”
ไยเจ้าจึงมั่นใจเช่นนี้ จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้วแน่น “ข้าไม่สนใจ หากพบว่านางใช้วิชาดูดพลังหยางเสริมพลังหยินทำร้ายชายเหล่านั้น ข้าต้องไม่ปล่อยนางแน่!”
ถิงหนูลูบขนจิ้งจอกม่วง กล่าวเบาๆ ว่า “ได้ แต่หากไม่ได้ทำร้ายคน ก็ขอให้จอมยุทธ์ทุกท่านปล่อยจิ้งจอกม่วงไป ปีศาจบำเพ็ญจนมีร่างมนุษย์ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าได้ตัดสิ้นหนทางพวกเขา”
น่าแปลก ไม่ใช่ว่าจิ้งจอกม่วงนั่นก็จับตัวเขามาหรือ เงือกนี่เหตุใดไม่รู้แยกแยะถูกผิด กลับช่วยนางพูดอีก จงหมิ่นเหยียนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
อวี่ซือเฟิ่งเข็นถิงหนูเดินรั้งท้าย ครู่หนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “…เมื่อครู่บอกว่านางต้องการถามเจ้าเรื่องหนึ่ง คือเรื่องใด”
ถิงหนูยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “ว่ากันว่ามีมารปีศาจร้ายกาจตนหนึ่งถูกโซ่หมุดทะเลแปดทิศจองจำไว้ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาถูกจองจำอยู่ที่ใด ก่อนหน้านี้จิ้งจอกม่วงเคยไปมาหาสู่กับมารปีศาจนั่นอยู่บ้าง ดังนั้นหลายปีมานี้จึงพยายามบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก หวังจะช่วยเขาออกมา นางจับข้ามา เพราะข้าเป็นพวกเผ่าน้ำ นางคิดว่ามารปีศาจนั่นถูกจองจำอยู่ใต้ทะเล ดังนั้นจึงบีบให้ข้าบอกว่าอยู่ที่ใด”
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบเป็นนาน พลันกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้จริง?”
ถิงหนูสะดุ้งในใจ แต่สีหน้ากลับยังคงอ่อนโยน ยิ้มกล่าวว่า “ไม่รู้จริง ไยต้องลำบากโกหก”
อวี่ซือเฟิ่งมองเขาครู่หนึ่ง ค่อยๆ กล่าวเนิบนาบว่า “จริงๆ แล้วพวกเราได้เจอมารปีศาจอาละวาดที่เขาไห่หวั่น ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไหม”
เสวียนจีหูดี ได้ยินเขาสองคนคุยจุ๊กจิ๊กเรื่องมารปีศาจนั่นอยู่ด้านหลัง จึงปรี่เข้ามาใกล้ กล่าวว่า “ถิงหนูว่าพวกที่เขาไห่หวั่นก็เป็นเพราะคิดช่วยมารปีศาจนั่น โซ่หมุดทะเลเรียงตามลำดับช่องของแผนภูมิสวรรค์ปฐพี เขาไห่หวั่นอยู่ตะวันออกเฉียงใต้ เขาเกาซื่อซานอยู่ตะวันออก เมื่อครู่ข้าอยู่หอไท่จี๋มองเห็นโซ่หมุดทะเลแล้ว ยาวมากๆ…เป็นไปได้ว่าเขาไห่หวั่นก็ฝังอยู่เส้นหนึ่ง”
อวี่ซือเฟิ่งเห็นหน้าตาไร้เดียงสาของนางเข้ามาคุยจ้อถึงสิ่งที่รู้มาก็อดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะลูบศีรษะนางเบาๆ
ถิงหนูกล่าวอีกว่า “ยามนี้ไม่ใช่เวลามาไล่เรียงความผิดจิ้งจอกม่วง อีกเรื่องที่ว่ายังมีปีศาจอีกกลุ่มกำลังร่วมกันช่วยมารปีศาจนั่น คิดว่าพวกที่เขาไห่หวั่นเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขา ไม่แน่ตอนนี้พวกเขาอยู่กันที่เขาเกาซื่อซานแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าโดนฝ่ามือดับพลังหยางของจิ้งจอกม่วง อย่างน้อยต้องสามวันจึงจะฟื้นคืนพลังวัตร หากเจอพวกเขาเข้าคงมีแต่ตายสถานเดียว ตามความเห็นข้า ไปสวนอี๋ซินแล้วก็จะมีเส้นทางลัดหลังเขาหนีออกไปได้ หากรู้สึกยอมไม่ได้ ก็รอให้พลังวัตรฟื้นคืนก่อนค่อยกลับมาค้นหาดูก็ไม่สาย”
อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกว่าเขากล่าวได้มีเหตุผล อดพยักหน้าเล็กน้อยไม่ได้ จงหมิ่นเหยียนเองก็เข้ามาร่วมวง ยิ้มกล่าวว่า “อย่างไรจิ้งจอกม่วงก็ไม่ไหวแล้ว พวกเราไม่สู้ช่วยคนในสวนอี๋ซินออกไปด้วย! พาพวกเขากลับบ้าน ไปอยู่พร้อมหน้าครอบครัว”
หรูอี้เองก็เขยิบเข้ามาใกล้ “ไม่เลว ความคิดดี ตกลงตามนี้”