ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 10
หลิงหลงในใจเสวียนจี แต่ไรมาเป็นพี่สาวแสนดี แม้ว่ามักเสียงดังใส่นาง มักจะแย่งเอาชนะ แต่จริงๆ แล้วนางเป็นเช่นนี้ไม่น่ารังเกียจสักนิด นางชอบท่าทางมีชีวิตชีวาของหลิงหลงมากที่สุด
แต่ไรมานางไม่เคยคิดว่า จะมีวันที่หลิงหลงกลายเป็นตุ๊กตาไม้เช่นนี้ ถูกคนจูงเดินอย่างว่านอนสอนง่าย นั่งนิ่งไม่ขยับอยู่กับที่อย่างเชื่อฟังเช่นนี้ ไม่ว่าพูดอันใดกับนาง สายตานางล้วนไม่เปลี่ยนแปลง เจ้าหุบเขาหรงกล่าวว่า สองจิตหกญาณที่ถูกดึงออกไป จริงๆ แล้วไม่ต่างอันใดกับคนตาย
เสวียนจีไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง นางเองไม่รู้ว่าจะเชื่อได้อย่างไร หลิงหลงยังมีชีวิต หายใจได้ นอนเงียบๆ อยู่บนเตียง ตายังกะพริบอยู่ ราวกับจะโดดขึ้นมาตะโกนเรียกชื่อนางได้ตลอดเวลา จากนั้นก็จะกอดนางไว้แน่นเป็นก้อนม้วนกลมๆ ถามนางว่าหลายวันนี้ไปไหนมา เหตุใดไม่ไปหานาง
“ข้า…ข้าหาแล้ว…” นางพึมพำ คิดลูบแก้มแดงของหลิงหลง แต่คนเบื้องหน้าสลายไปราวกับหมอกควัน นั่นเป็นภาพมายา หลิงหลงตัวจริงยังคงนอนอยู่ที่เดิม เปลือกตาไม่ขยับแม้แต่น้อย
ดวงตาเสวียนจีร้อนผ่าว น้ำตาอดหลั่งรินออกมาไม่ได้ หยดลงบนใบหน้าซีดขาวของหลิงหลง นางใช้นิ้วมือค่อยๆ ปาดออก กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หลิงหลง…เจ้าอย่าตายนะ…ข้าจะต้องช่วยชีวิตเจ้า…”
นอกหน้าต่างเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อน คืนอันแสนเจ็บปวดใจผ่านไป ในที่สุดนางก็ค่อยๆ เดินเข้าไป เสวียนจีจ้องมองใบหน้าราวหยกขาวของหลิงหลงท่ามกลางแสงยามเช้า ในที่สุดก็ยกมือเช็ดน้ำตาที่นองหน้าจนแห้งสนิท สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ลุกขึ้นผลักประตู ไม่ว่าพวกท่านพ่อกล่าวอย่างไร นางก็จะต้องไปเขาปู้โจวซานนำจิตญาณของหลิงหลงกลับมา
ศิษย์เกาะฝูอวี้สี่คนเต็มหน้าประตู เห็นนางผลักประตูออกมา ก็มีสีหน้าลำบากใจ ประสานมือคำนับ คนหนึ่งในนั้นกล่าวว่า “คุณหนูฉู่จะไปไหน พวกเรานำทางให้ท่านได้”
เสวียนจีถลึงตากลมที่ร้องไห้จนแดงใส่ราวกับกระต่ายน้อย รู้สึกงุนงง “ข้า…ข้าจำทางได้ เหตุใดต้องนำทาง”
ศิษย์เหล่านั้นท่าทางลำบากใจอยู่บ้าง ได้แต่เพียงยิ้มกล่าวว่า “เจ้าสำนักมีคำสั่งว่า สองสามวันนี้ไม่ว่าคุณหนูฉู่จะไปที่ใด พวกเราต้องไปเป็นเพื่อน ยามนี้ก็ใกล้ยามเหม่า[1]แล้ว คุณหนูฉู่จะไปรับอาหารเช้าใช่ไหม”
เสวียนจีไม่ใช่คนโง่ ยามนี้หากยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองก็คงเป็นคนโง่แล้ว นางหน้าแดงจัดกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “นี่มันอะไรกัน มาคุมข้าหรือ ข้าเป็นนักโทษ?”
ศิษย์เหล่านั้นเห็นนางท่าทางเหมือนโมโห รีบยิ้มกล่าวว่า “คุณหนูฉู่กล่าวหนักไปแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อวานบนเกาะมีไส้ศึกปะปนเข้ามา ทำร้ายศิษย์ที่เฝ้าคุกใต้ดินบาดเจ็บ ยังสังหารนักโทษ ตอนนี้ยังกำลังตรวจสอบว่าแท้จริงเป็นการกระทำของผู้ใด คุณหนูฉู่เป็นแขกมาจากแดนไกล ดังนั้นเจ้าสำนักจึงสั่งให้พวกเรามาดูแล…”
เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้ออ้างทั้งนั้น ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบ ต้องการดูแลอันใด ข้าไปที่ไหนมีคนติดตามด้านหลังสี่คน สนุกหรือ เช่นนั้นข้าไปห้องน้ำ พวกเจ้าก็ตามไปด้วย?”
ในศิษย์สี่คนนั้นมีศิษย์ชาย ได้ยินนางโต้เช่นนี้เก็พลันหน้าแดง แต่คำสั่งเจ้าสำนัก พวกเขาไม่อาจฝ่าฝืน เห็นเสวียนจีก้าวออกจากห้องไป แม้ว่าไปห้องน้ำ พวกเขาก็ไม่อาจไม่ตาม
เสวียนจีเห็นพวกเขาตามติดหนึบราวกับขนมน้ำตาลเหนียว ในใจทั้งโมโหทั้งอึดอัด คิดถึงสิ่งที่พวกเขากล่าวว่าเมื่อวานมีไส้ศึกปลอมตัวปะปนเข้าไปสังหารนักโทษ นางก็คิดโยงไปทันที พวกจงหมิ่นเหยียนที่ว่า ‘บาดแผลฉีก’ มิน่าเมื่อคืนวานซือเฟิ่งจึงได้พูดจาไม่กระจ่าง ที่แท้เป็นพวกเขาลงมือ ถึงกับสังหารพี่โอวหยาง…เช่นนี้ อันใดพวกเขาก็ล้วนรู้หมดแล้ว มีแต่ตนเองที่ถูกปิดตาอยู่ รสชาติถูกผู้อื่นกันให้อยู่นอกวงนี้ หลายปีก่อนนางก็เคยลิ้มรสแล้ว ยากทนรับไหวอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงตอนนี้ยังต้องมาลิ้มรสอีกครั้ง
นางพลันหยุดฝีเท้า ศิษย์เกาะฝูอวี้ด้านหลังก็หยุดตาม เสวียนจีหันกลับไปถลึงตาใส่พวกเขา รู้สึกโมโหอย่างมาก อยากจะชักกระบี่ไล่พวกเขาไป
กำลังคิดจนไอสังหารพลุ่งพล่าน ด้านหลังพลันมีคนเรียกนางไว้ “เสวียนจี เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
ที่แท้เป็นพวกจงหมิ่นเหยียน เสวียนจีกำลังจะเข้าไปฟ้องอวี่ซือเฟิ่ง ก็เห็นพวกเขาแต่ละคนมีศิษย์เกาะฝูอวี้ตามอยู่ทุกคน ทุกคนจ้องมองกันไปมาด้วยท่าทางอึดอัด ไม่รู้ควรกล่าวอันใด
“ที่แท้…เจ้าเองก็…” จงหมิ่นเหยียนนวดขมับอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงเหมือนขึ้นจมูกหนักมาก ฟังแล้วอ่อนล้าอย่างที่สุด เขาเองก็คงไม่ได้นอนทั้งคืน ในดวงตามีเส้นเลือดแดงอยู่เต็ม ไม่รู้ว่าได้แอบร้องไห้หรือไม่
อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจ “น่าจะกลัวว่าพวกเราจะหุนหันไปเขาปู้โจวซาน ถึงกับส่งคนมาคุม…คิดไม่ถึงจริงๆ”
รั่วอวี้เห็นกลุ่มคนกองกันอยู่ตรงนั้นก็คิดว่าไม่ได้การ จึงกล่าวว่า “พวกเราเข้าไปดูหลิงหลง ได้ไหม”
เสวียนจีผลักประตูเงียบๆ จงหมิ่นเหยียนอึ้งอยู่หน้าประตูเป็นนาน ในที่สุดก็ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไป เขาทั้งสามล้วนคิดเหมือนกัน ดึงประตูปิดลง ทั้งสามยืนอยู่ที่นอกประตูถลึงตาจ้องมองไปยังศิษย์ด้านนอกที่จ้องมองมา
สองวันนี้จงหมิ่นเหยียนประสบเรื่องราวมามากมาย เทียบกับที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้วมากกว่ามาก เขาเหมือนไม่อาจทนรับไหว สองบ่าราวกับถูกคนเพิ่มน้ำหนักลงไปชั้นแล้วชั้นเล่า กดทับจนเขาหายใจแทบไม่ออก
ความเชื่อมั่นแต่ไรมาที่เขาภาคภูมิอยู่ลึกๆ ถูกตีแตกกระจายเป็นชิ้นในคืนนั้น แต่ไรมาคนเขาแอบรักอยู่ลึกๆ ดังของมีค่าที่ไม่อาจตัดใจทำร้ายให้เสียใจ อยู่ๆ ต้องมาสูญเสียไปอย่างไม่ตั้งใจ
ตอนนี้เขาราวกับสูญเสียไปทุกสิ่ง ไม่เหลือสักอย่าง การมีอยู่ของตนเองราวกับกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย
ในห้องมีเพียงความหนาวเหน็บ บนเตียงมีดรุณีน้อยชุดแดงนอนอยู่ ผ้าห่มแพรคลุมบนตัวนางไว้ครึ่งตัว ผมดำขลับแผ่อยู่บนเตียง สะท้อนแสงอาทิตย์วิบวับ
จงหมิ่นเหยียนค่อยๆ เดินเข้าไป จ้องมองนางจนตะลึงไป ในใจราวกับถูกคนใช้มีดปาดไปมาอย่างโหดร้าย เจ็บปวดจนเขาต้องค่อยๆ คุกเข่าลง กุมมือนางไว้แน่น ราวกับทำเช่นนี้จะทำให้ได้รับความกล้าหาญอยู่บ้าง
เป็นนาน น้ำเสียงแหบพร่าของเขาก็ดังขึ้นท่ามกลางห้องที่เงียบสงัด “หลิงหลง…ล้วนเป็นความผิดข้าเอง…”
เขาไม่ควรทิ้งนางไว้ที่เขาเกาซื่อซานคนเดียว สุดท้ายยิ่งไม่ควรละทิ้งการค้นหาแล้วมายังเกาะฝูอวี้
ดรุณีน้อยราวบุปผาในความทรงจำ ดวงตาดำขลับมองเข้าอย่างเบิกบานยินดี ใบหน้าแดงพลันปรากฎขึ้น ส่งเสียงรอดไรฟันออกมาว่า “จงหมิ่นเหยียน เจ้าต้องให้มีคำตอบให้ข้า!”
ใช่แล้ว เขายังไม่ได้บอกนาง ตนเองชอบนางเพียงใด เมื่อก่อนนานมาแล้วเขาก็มีภาพในฝัน วันหน้าทั้งชีวิตจะอยู่ร่วมกับนาง เขาควรจะบอกนางนานแล้ว ควรกุมมือนางไว้ ไม่ว่านางดิ้นรนเพียงใด ก็จะใช้น้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่นบอกให้นางฟังว่าเขาชอบนาง ชีวิตนี้จะไม่จากนางไปไหน วันหน้าแต่งงานกัน พวกเขาก็จะมีลูกมากมาย เขาชอบเด็กผู้หญิง ต้องเติบโตเหมือนนาง
นิ้วมือเรียววาดผ่านโครงหน้าดรุณีน้อยที่ราวท่อนไม้ มีน้ำหลายหยดหยดลงบนเสื้อผ้านางเบาๆ ไม่นานก็ค่อยๆ แผ่วงกว้างอย่างรวดเร็ว
“หลิงหลง เจ้ารอข้า พวกเราจะได้พบกันอีกโดยเร็ว”
จงหมิ่นเหยียนสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ลุกขึ้นดึงประตูออก พวกเสวียนจีทั้งสามยังรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งใจว่าจะไม่ไปไหน
“เข้าไปคุยกัน” เขากล่าวเบาๆ เงยหน้ามองไปยังศิษย์เกาะฝูอวี้พวกนั้น
ทั้งสี่เข้าไปในห้อง ปิดประตูลง อวี่ซือเฟิ่งเห็นใบหน้าเขายังมีคราบน้ำตา ก็ตบบ่าเขาหากไม่กล่าวอันใด ไม่รู้ควรกล่าวอันใดดี
จงหมิ่นเหยียนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เช่นนี้ไม่ได้ ทั้งวันมีคนมาตามแบบนี้จนกว่าจะไปจากเกาะฝูอวี้ คิดว่าอาจารย์ก็คงไม่ยอมให้พวกเราไปฝึกฝนตนต่อแล้ว ต้องคุมตัวกลับเส้าหยางด้วยกันแน่ พวกเราต้องหาทางสลัดคนพวกนี้ให้หลุด”
เสวียนจีสะกดไฟโมโหในใจไว้นานแล้ว รีบกล่าวว่า “บุกฝ่าออกไปละกัน!”
อวี่ซือเฟิ่งกดตัวนางไว้ “ใจเย็นหน่อย ยามนี้ไม่อาจใจร้อน ไม่ว่าอย่างไร เหล่านี้ก็ล้วนเป็นความปรารถนาดีของเหล่าเจ้าสำนัก กลัวพวกเราไปตายเปล่า แตกหักกันไปกลับไม่ดี ข้าคิดว่า คนพวกนี้ไม่อาจตามพวกเราได้ทั้งวัน อย่างไรก็ต้องมีเปลี่ยนกะพลั้งเผลอบ้าง พวกเรารอถึงยามดึกคืนนี้คนน้อยลง พวกเขาก็คงเหนื่อยแล้ว ค่อยลอบออกจากเกาะกัน”
“เช่นนั้นหากพวกเขาไม่พลั้งเผลอล่ะ พวกเราก็ต้องคอยไปเรื่อยๆ?” ระยะนี้เสวียนจีถูกเรื่องพวกนี้ทำเอาอารมณ์เสียมาก กลับกลายเป็นคนวู่วามไม่สนใจอันใดแบบหลิงหลงนั่นขึ้นมาได้
“เสวียนจี” อวี่ซือเฟิ่งเรียกนาง ไม่กล่าวอันใด เพียงมองนางนิ่งเงียบ
นางก้มหน้าลง เป็นนานจึงได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้า…ข้ารู้แล้วน่า ข้าอดทนก็แล้วกัน”
อวี่ซือเฟิ่งอดลูบศีรษะนางไม่ได้ “เด็กดี หลายเรื่องใจร้อนไปกลับไม่ดี พวกเราอยู่ในห้องนานไปแล้ว พวกเขาย่อมเตรียมเสริมการป้องกัน ไม่สู้ออกไปเดินเล่นกัน”
รั่วอวี้พยักหน้ากล่าวว่า “จริง จะได้ไม่ทำให้พวกเขารู้ตัวว่าพวกเรากำลังหารือหลบหนี ใช่แล้ว พูดไปแล้ว…ผู้ใดจะรู้ว่าทางไปเขาปู้โจวซานอยู่ที่ใด ข้าแค่เคยได้ยิน แต่ไรมาไม่เคยไป”
ทุกคนล้วนส่ายหน้า ดูเหมือนว่าผู้ใดล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงเขาปู้โจวซาน หากแต่ไรมาผู้ใดคิดจะไปที่นั่นกัน
“ข้ามีแผนที่” เสวียนจีรับควักแผนที่ออกมากางบนพื้น ผู้ใดจะรู้ว่าทั้งสี่คนมองดูเป็นนาน มองจนแทบจะกลายเป็นไก่จิกก็หาคำว่าเขาปู้โจวซานบนแผนที่ไม่เจอ
รั่วอวี้ขยี้ขมับถอนใจกล่าวว่า “ตำนานเทพบรรพกาล เทพวารีก้งกงสู้เทพอัคคีจู้หรงไม่ได้ หนีไปชนเขาปู้โจวซานล้ม ดังนั้นโลกมนุษย์จึงเกิดภัยพิบัติน้ำท่วม ในเมื่อเขาปู้โจวซานเป็นเสาค้ำฟ้าได้ คิดว่าต้องเป็นเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่อลังการ ทำไมบนแผนที่ถึงกับไม่มี”
“เจ้า…พูดถึงตำนานเทพ เป็นไปได้ไหม…จริงๆ แล้วไม่มีเขาปู้โจวซาน หรือ…ตอนนี้มันไม่เรียกว่าเขาปู้โจวซานแล้ว” เสวียนจียังคงค้นหาทุกตารางนิ้วบนแผนที่
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบกล่าวว่า “ได้ยินว่าที่นั่นเชื่อมกับแดนปรภพ ยังมีเทพเซินซูกับอวี้ลวี่สององค์เฝ้าอารักษ์ประตู แดนปรภพในตำนานแม้ว่าไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่ก็ย่อมไม่ใช่ไร้ที่มา เมื่อก่อนข้าได้ยินอาจารย์ว่า เขาปู้โจวซานอยู่ในละแวกดินแดนรกร้างทางตะวันตก พวกเราไม่สู้ไปทางตะวันตกกัน ถึงตอนนั้นค่อยสอบถามดูแล้วกัน”
ทุกคนหารือกันเสร็จ ก็เปิดประตูออกไป ศิษย์เกาะฝูอวี้พวกนั้นรอจนแทบทนไม่ไหวนานแล้ว เห็นพวกเขาออกมา ก็รีบตามติดเข้าไปยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่ทุกท่านจะรับอาหารเช้าไหม”
จงหมิ่นเหยียนแค่นขึ้นเสียงหนึ่งด้วยท่าทางเย่อหยิ่งอวดเบ่ง สำทับไปอีกประโยคว่า “โจ๊กข้าวสีม่วงที่กินครั้งก่อนไม่เลว รบกวนพวกศิษย์พี่ไปบอกสักหน่อย อ้อ อีกเรื่อง ผักดองเกาะฝูอวี้อะไรพวกนั้นก็ไม่เลวนะ”
คนเหล่านั้นมองหน้าสบตากัน ในใจคิด หรือว่าพวกเราเป็นคนใช้กันนะ แต่คำสั่งอาจารย์ไม่อาจฝ่าฝืน ได้แต่รับคำไปปฏิบัติ
เสวียนจีเห็นพวกเขาหน้าตาอึดอัด อดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ จงหมิ่นเหยียนระบายอารมณ์ออกไป รู้สึกสบายจนบิดขี้เกียจ อวี่ซือเฟิ่งกับรั่วอวี้ทั้งสองข้างๆ ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน
[1] ตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า