ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption - ตอนที่ 20
“เจ้าเล่นลูกไม้อะไรอีกเนี่ย!” จงหมิ่นเหยียนคว้าอกเสื้อหลิ่วอี้ฮวน ตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยมือแน่แล้ว คนผู้นี้เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกเช่นนี้ หากปล่อยมือคงต้องหนีเอาตัวรอดไปก่อนแน่นอน ก่อนหน้าเห็นอวี่ซือเฟิ่งให้ความเคารพเขา จิ้งจอกม่วงกลัวเขา ยังคิดว่าเป็นคนน่านับถือ ผู้ใดจะคิดว่าพวกเหลวไหลอย่างไรก็เหลวไหล เขาไม่ได้มองผิดไปเลยสักนิด!
“เอาน่าๆ…” หลิ่วอี้ฮวนเห็นเขาโมโห ก็ตบบ่าเขายิ้มกล่าวว่า “ระงับโทสะหน่อยๆ ข้าไม่หนี ปล่อยมือก่อน”
“ไม่ปล่อย” จงหมิ่นเหยียนดื้อดึงขึ้นมา วัวแก่ยังดื้อสู้เขาไม่ได้
เขาลากตัวหลิ่วอี้ฮวนเดินตรงไปหน้าประตูกล่าวว่า “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร วันนี้ไม่ช่วยคนออกมา เจ้าก็อย่าได้คิดหนี!”
หลิ่วอี้ฮวนถอนใจกล่าวว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นเซียนหรือ ปีศาจใหญ่เช่นนี้ เมื่อครู่เจ้าก็เห็น กำลังลอกคราบอยู่ยังร้ายกาจเช่นนั้น จะช่วยได้อย่างไร”
“ก็ช่วยเช่นนี้แหละ!” จงหมิ่นเหยียนหัวร้อนแทบระเบิด พ่นออกมาทันที “บุกเข้าไป…แล้วก็ช่วยคนออกมา!”
หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาใส่เขาแทบจะระเบิด กล่าวว่า “เจ้าบุกสิๆ! อย่ามาลากข้าไปด้วย…ข้ายังไม่อยากรีบตายเช่นนั้น!”
“เช่นนั้นจะเอาอย่างไร?! รอหรือ? รอพวกเขาสองคนถูกกินหรือ?!”
หลิ่วอี้ฮวนถอนหายใจ “นิสัยวู่วามโวยวายเช่นเจ้านี่นะ อ้อ…หรือว่ารอกำลังเสริม? รอเด็กผู้หญิงนั้นมา ก็ปลอดภัยไร้กังวล ตอนนี้เจ้าร้อนใจอันใด”
เด็กผู้หญิง? พูดถึงเสวียนจี? จงหมิ่นเหยียนค้อนเขาขวับ “เจ้าเห็นเสวียนจีเป็นเซียน? นางไหนเลยจะสังหารปีศาจนั่นได้กัน!”
หลิ่วอี้ฮวนกล่าวอย่างแปลกใจว่า “นางไม่ได้ได้อย่างไร! เห็นๆ ว่านาง…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงด้านหลังมีคนวิ่งมาอย่างรีบร้อน เป็นพวกอวี่ซือเฟิ่ง จงหมิ่นเหยียนเห็นในอ้อมแขนอวี่ซือเฟิ่งอุ้มเสวียนจีไว้ สองตานางปิดสนิท ราวกับเป็นหมดสติไป ในใจก็อดตกใจไม่ได้ ร้อนใจกล่าวว่า “อย่างไร? มีคนซุ่มโจมตี?!”
อวี่ซือเฟิ่งเองก็นึกเสียใจภายหลังอย่างที่สุด เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด สุดท้ายกล่าวว่า “สถานการณ์ที่นี่เป็นอย่างไร ข้าเห็นพวกเจ้าเป่าเขามังกร มีเหตุไม่คาดคิดหรือ?”
ผู้ใดจะรู้ว่าไม่มีผู้ใดสนใจเขา จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้วมองเสวียนจี หลิ่วอี้ฮวนเขยิบเข้าใกล้พลางร้องเสียดายไม่หยุด “เฟิ่งหวงน้อยช่างวู่วาม! อา! ข้ารู้แล้ว นางยังไม่รู้อะไรเลย! เจ้าทำให้นางได้เห็นนั่น…ย่อมถูกกระทบกระเทือนแน่! ตอนนี้แย่แล้ว! พวกเราได้แต่รอดูจิ้งจอกม่วงกับเงือกนั่นตายแล้ว!”
รั่วอวี้ร้อนใจกล่าวว่า “ทำไม? จิ้งจอกม่วงก็ถูกจับไปด้วย?”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “ล้วนเป็นเพราะเจ้าหมอนี่! แล้วยังคิดหนี! ไร้คุณธรรมสิ้นดี!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พี่หลิ่ว ปีศาจงูนั่นหลบกลับเข้าไปหรือ ตามความเห็นท่าน ยามนี้ควรทำเช่นไร?”
หลิ่วอี้ฮวนแตะหน้าผากเสวียนจี นิ่งเงียบเป็นนาน ได้แต่ถอนใจกล่าวว่า “ไม่มีทางแล้ว ถอยก่อน หากยังรอต่อไปกลับจะทำให้คนจวนตระกูลโจวแตกตื่น เช่นนั้นย่อมไม่ได้การแล้ว”
ทุกคนเห็นประตูปิดสนิท ที่พื้นยังทิ้งร่องรอยการต่อสู้ไว้ รู้ว่าปีศาจงูครั้งนี้รับมือยาก แล้วเสวียนจียังมาหมดสติไปอย่างน่าประหลาดเช่นนี้อีก ที่นี่ไม่อาจอยู่นาน ได้แต่กลับไปก่อน
จงหมิ่นเหยียนยังคงไม่ยอม หันกลับไปมอง ผู้ใดจะรู้ว่ามองไปแวบหนึ่งเช่นนั้นจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ ได้ยินเสียงสตรีในห้องหัวเราะกล่าวว่า “คิดหนีไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ ฝันไปเถอะ! ทิ้งเจ้าหนุ่มที่ทำข้าบาดเจ็บไว้!”
ทุกคนล้วนตกใจมาก ยังไม่ทันได้หันกลับไป รู้สึกเพียงแค่ลมปีศาจวูบพัดมา ท้องฟ้าพลันมืดดับลง หมอกดำงูยักษ์นั่นสูงร้อยกว่าจ้างม้วนออกมาจากในห้อง ครั้งนี้มุ่งตรงไปยังจงหมิ่นเหยียน เขาถึงกับไม่กลัว หากควักยันต์จากอกเสื้อมาประทับรอยนิ้วก่อนจะกล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “เดิมข้าก็ไม่คิดหนี!”
เขาโยนยันต์นั่นออกไป พริบตาก็กลายเป็นแสงสายฟ้าเสียงดังหลายสาย กระหน่ำโจมตีหมอกดำก้อนนั้น หลิ่วอี้ฮวนตะโกนดุดันว่า “อย่าใช้สายฟ้า!” แต่สายไปเสียแล้ว แสงสายฟ้าฟาดลงบนหมอกดำ ไม่เพียงไม่ทำให้นางบาดเจ็บ หากเงาร่างยังยิ่งม้วนตัวขยายขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น เขาได้แต่ร้อนใจกระทืบเท้า รีบวิ่งเข้าไปคว้าหลังคอจงหมิ่นเหยียนไว้ โมโหผลักเขาไปด้านหลัง กล่าวน้ำเสียงเข้มว่า “นางเป็นปีศาจเฒ่าจำพวกสายฟ้า! เจ้าใช้สายฟ้าเท่ากับเสริมพลังวัตรนาง!”
ดังคาด หางยาวของปีศาจงูนั่นขยับเลื้อยเข้ามาโอบล้อม ฟาดใส่ร่างเขา ในยามนั้นหลิ่วอี้ฮวนถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป ร่วงลงพื้นไม่รู้เป็นหรือตาย
จงหมิ่นเหยียนร้อนใจดังไฟแผดเผา ใช้สายฟ้าไม่ได้ ใช้กระบี่ฟันก็ไม่ได้ เช่นนั้นเขาได้แต่นั่งรอความตายหรือ?! เงยหน้ามองไปยังหางงูที่วาดมาทางตนเอง เขารีบหลบทันที แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง ถูกหางงูรัดขาไว้ ล้มคะมำคว่ำลงทันที
เหนือศีรษะเขาพลันเย็นเยียบ แสงสีเขียววาบขึ้น เขารู้ว่างูนั่นกำลังจะพ่นไฟแล้ว ก็กลิ้งไปกับพื้น ดังคาด พื้นหญ้าตรงที่ตนอยู่เมื่อครู่ถูกเผาทันที ก่อนจะกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งไปทุกอณู
อวี่ซือเฟิ่งกับรั่วอวี้เองก็ไม่อาจดูแลเสวียนจีได้แล้ว พากันขยับมือเตรียมใช้วิชาเซียนเข้าช่วย หลิ่วอี้ฮวนตะกายขึ้นจากพื้น ส่งเสียงไอขึ้นสองเสียง ก่อนจะฝืนกล่าวว่า “อย่า…อย่าใช้วิชาเซียน! เจ้าหนุ่มหน้าโง่ รีบพาเด็กนั่นหนีไป! เฟิ่งหวงน้อย…พวกเจ้าสองคนอยู่ต่อ!”
จงหมิ่นเหยียนโต้กลับทันที “ข้าจะอยู่ต่อ! ให้ซือเฟิ่งพาเสวียนจีไป”
หลิ่วอี้ฮวนกล่าวเฉียบขาดว่า “เจ้าอยู่ต่อก็ได้แต่รนหาที่ตายเอง! เจ้าข่มวิชานางไม่ได้! รีบไสหัวไป! ขวางมือขวางเท้าจริง!”
จงหมิ่นเหยียนเดิมคิดโต้กลับ พลันปลายตาเห็นแสงสีเงินวาบส่องประกาย ในใจเขาพลันกระตุกวูบ รีบหันกลับไปมอง เห็นเพียงเสวียนจีนอนตะแคงตัวอยู่ที่พื้น เหมือนกับคืนนั้นเมื่อสี่กว่าปีก่อน มือขวายกสูง ฝ่ามือมีแสงสีเงินราวกับมีดาวดาวหนึ่งซ่อนอยู่ในนั้น
เขาฮึดสูดลมหายใจเข้าลึกหันกลับไปมองคนอื่นตามสัญชาตญาณ หากพบกว่าทุกคนไม่ได้สนใจ จึงกัดฟันกระชากเสื้อตัวนอกออก โยนคลุมศีรษะเสวียนจีไว้ ก้มลงอุ้มนางขึ้นหันไปกล่าวอย่างร้อนใจว่า “ข้ากลับโรงเตี๊ยมไปรอพวกเจ้า!”
กล่าวจบพริบตาก็หายตัวไปอย่างไร้เงา
หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ตัวขวางทางในที่สุดก็ไปแล้ว เจ้าปีศาจเฒ่า ดีๆ ไม่ชอบ ชอบแรงๆ คนตำหนักหลีเจ๋อ เจ้ากล้าหาเรื่องหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งเห็นมุมปากเขามีเลือดสดไหลออกมา ก็ร้อนใจกล่าวว่า “พี่หลิ่ว! ข้ากับรั่วอวี้กันไว้ ท่านหนีไปก่อน!”
เขาหัวเราะดังลั่น ปาดคราบเลือดที่มุมปากออก ท่าทางราวกับเริ่มคลั่งเล็กน้อยแล้ว “หนีบ้าหนีบออันใด! ไม่ให้นางกินของแข็งเสียบ้าง คงไม่รู้จักข้าหลิ่วอี้ฮวน! นี่ พวกเจ้าสองคน ไปหลบด้านหลังก่อน! อย่าเงยหน้า!”
เขาเองเดินก้าวขึ้นหน้าสองก้าวท่าทางราววีรบุรุษ ท่าทางกล้าหาญผดุงคุณธรรม ผู้ใดจะรู้ว่าเดินไปได้สองก้าวก็เข่าอ่อน ท่าทางวีรบุรุษพังครืน สะดุดล้ม
อวี่ซือเฟิ่งรีบเข้าไปประคองเขาไว้ ถอนใจกล่าวว่า “พี่ใหญ่อย่าฝืน รีบหนีไปเร็ว!”
เขาผลักอวี่ซือเฟิ่งออก พลันยกมือกระชากด้ายแดงเข้มที่เย็บปิดดวงตาสวรรค์ไว้ออก ปากมีเลือดไหลออกมา แสยะยิ้มมองดูแล้วเหมือนกำลังบ้าคลั่ง กล่าวน้ำเสียงเข้มว่า “เจ้าเป็นคนที่สามที่ได้ลิ้มรสดวงตาสวรรค์ ควรนับว่าเป็นเกียรติยิ่งแล้ว!”
อวี่ซือเฟิ่งกับรั่วอวี้รู้สึกเพียงแค่รอบๆ พลันมีแสงสว่างวาบอย่างยิ่ง ราวกับมีดวงอาทิตย์ตกมาจากขอบฟ้า แสบตาจนปวดแสบไปหมด ได้แต่หลับตาลง แต่แสงสีแดงสว่างเบื้องหน้ายังคงอยู่ พวกเขารีบใช้แขนเสื้อบังหน้าไว้ ข้างหูพลันได้ยินปีศาจงูนั่นราวกับส่งเสียงร้องเบาๆ ก่อนจะเงียบกริบไปทั่วบริเวณ เหลือเพียงลมค่ำคืนสะอื้นพัดมาหวีดหวิว
เป็นนาน บ่าพลันหนักอึ้ง มีคนตัวอ่อนยวบทิ้งตัวลงมา อวี่ซือเฟิ่งใช้มือหนึ่งคว้าไว้ทันที ลืมตามองเห็นหลิ่วอี้ฮวนเหงื่อเต็มหน้า สีหน้าซีดขาว ฝืนยิ้มกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ตอนนี้…กลับได้แล้ว เฟิ่งหวงน้อย…เจ้าติดค้างข้าอีกหนึ่งแล้วนะ”
เขาพยักหน้า ขอบตาร้อนผ่าว
****
จงหมิ่นเหยียนวิ่งมาอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง เสวียนจีบนบ่าราวกับหยุดท่าทางประหลาดพวกนั้นแล้ว เริ่มสงบลงแล้ว ร่างอ่อนยวบพับอยู่บนหลังแผ่นเขา
ในที่สุดเขาก็อดเลิกเสื้อออกมองไม่ได้ เห็นนางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ฝันอะไรอยู่ เมื่อครู่มือขวาที่ยกขึ้นก็ปล่อยลงแล้ว แสงเงินยวงวูบไหวนั่นก็หายไปหมดแล้ว
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกโล่งอก เมื่อครู่เห็นท่าทางนางเช่นนั้นก็คิดทันทีว่าไม่ควรปล่อยให้ผู้ใดได้เห็น ใช่แล้ว เสวียนจีในสายตาทุกคนเป็นเพียงเด็กผู้หญิงที่ดูงุนงงสับสนและไม่ใส่ใจสิ่งใด เขาเองก็พยายามฝืนคิดเช่นนี้มาโดยตลอด เขาไม่อยากให้นางถูกมองเป็นปีศาจหรือสิ่งน่ากลัวอื่นใดในสายตาผู้อื่น
เขาต้องจิตใจดีมากแน่นอน จงหมิ่นเหยียนยิ้มเฝื่อน
ดรุณีน้อยบนบ่าพลันขยับเหมือนว่าฟื้นแล้ว เขาดึงเสื้อกลับมา หันกลับไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ตื่นแล้ว?”
เสวียนจี “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง พลันขยับตัวบนบ่าเขาราวกับจะลุกนั่ง จงหมิ่นเหยียนรีบวางนางลงบนพื้น กล่าวแทบกระซิบว่า “หากไม่เป็นไร เจ้าก็กลับโรงเตี๊ยมไปเองแล้วกัน ข้ายังต้องกลับไปหาพวกซือเฟิ่ง!”
ผู้ใดจะรู้ว่านางถึงกับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเซ่อซ่าเหมือนเช่นปกติ แต่ขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้กำลังคิดอันใดอยู่ เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ข้า…ข้า เมื่อครู่…”
จงหมิ่นเหยียนรีบกล่าวว่า “เมื่อครู่เจ้าหมดสติไป! ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น!”
เสวียนจีอึ้งอยู่นานก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “ข้า…ข้ารู้สึกตนเองราวกับ…มีอะไรแปลกๆ…”
ในใจจงหมิ่นเหยียนแอบมีความซ่อนเร้น รีบตบบ่านาง “อะไรแปลกไม่แปลก! เป็นคนธรรมดาแท้ๆ! เจ้ารีบกลับโรงเตี๊ยม! คิดมากไปทำไมกัน”
นางพลันเงยหน้า ดวงตากลมโตจ้องมองเขา ในลำคอเขาพลันวูบ ฉับพลันรู้สึกตนเองราวกับกล่าวผิดไป รอคำอธิบาย ราวกับยิ่งระบายสีก็ยิ่งดำ ได้แต่หันหลังหนีแทน “ข้าไปละ! เจ้ารีบกลับไปเถอะ!”
“ศิษย์พี่หก!” นางเรียกเขา จงหมิ่นเหยียนได้แต่หันกลับไป “อะไรอีกล่ะ? ทำไมเจ้าพูดมากมายเช่นนี้!”
เสวียนจีอึ้งมองเขา กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้า…เจ้ารู้อะไรใช่ไหม ข้าแปลกจริงหรือ”
จงหมิ่นเหยียนไร้วาจา เงียบอยู่เป็นนาน พลันตบหน้าผากนางทีหนึ่งเสียงดัง เจ็บจนนางร้อง “อา”ดัง
“ไม่มีอะไรทำ ไม่สู้เจ้าลองคิดว่าจะช่วยหลิงหลงอย่างไร! คิดเหลวไหลทำไมกัน! อะไรแปลกไม่แปลก เจ้าเองเป็นอย่างไร ตนเองย่อมรู้ดี ยังต้องให้คนอื่นบอกอีกหรือ”
เสวียนจีพยักหน้าสีหน้าสับสน
จงหมิ่นเหยียนรีบตีเหล็กเมื่อร้อน “น่าจะเป็นปีศาจงูนั่น กลิ่นอายปีศาจเหม็นมาก รมจนเจ้าเวียนหัวตาลายไปหมดแล้วกระมัง รีบกลับไปนอนเถอะ!”
ดังคาด นางเชื่อฟัง “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง หันกายจากไป
จงหมิ่นเหยียนโล่งอก พลันนึกถึงคืนแสนน่ากลัวนั้นเมื่อสี่ปีก่อน ในใจก็ยังอดหนาวสั่นไม่ได้ เย็นเยียบไปทั้งกายและใจในค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ผลิ