ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 422 ครั้งเดียวก็ได้เป็นพ่อของลูก ๆ ทั้งสองคนแล้ว!
เดิมในวันจันทร์หันจื่ออี้ก็จะสามารถออกมาจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่ทว่า เป็นเพราะว่าบาดแผลอักเสบติดเชื้อ ดังนั้นจึงยังคงต้องรอดูอาการอีกสิบวันก่อนถึงจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้
ก่อนที่จะไปนั้นเอง เขาหันไปมองฮั่วชิงชิงที่กำลังหลับอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้น หันไปทักทายพยาบาลอีกครั้ง จากนั้นก็จากไปแล้ว
งานของเขา ตอนนี้กองเอาไว้เยอะมาก ในเมื่อตอนนี้ร่างกายยังคงอ่อนแออยู่เล็กน้อย แต่ทว่ากลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องออกจากโรงพยาบาลไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ในตอนที่หันจื่ออี้กำลังจะออกจากโรงพยาบาลนั้นเอง ฮั่วชิงชิงที่กำลังหลับลึก จู่ ๆ ก็ตื่นขึ้นมาจากห้วงแห่งความฝันทันที
เธอลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะว่าตื่นมาโดยเร็วมาก หัวใจจึงยังคงเต้นไปมาอย่างรุนแรง
เธอสูดอากาศหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จนกระทั่งความรู้สึกของตนเองนั้นกลับคืนสู่ความเป็นปกติแล้ว ถึงให้พยาบาลช่วยเธอลุกขึ้นนั่งจากบนเตียง
เธอเอนกายพิงเข้ากับหมอนที่หัวเตียง ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ทางด้านข้างของเตียงขึ้นมา อ่านต่อจากครั้งที่แล้ว
แต่ทว่า ไม่รู้ว่าทำไม วันนี้กลับอ่านไม่เข้าหัวนิดหน่อย
เธออดไม่ได้ที่จะเบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง
เป็นเพราะว่าเธอชอบอาบแดด บวกเข้ากับช่วงกลางหน้าหนาวแล้ว แสงแดดสาดส่องมาไม่ได้แยงตา กลับกันกลับรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ดังนั้นแล้ว ก่อนหน้านี้เธอจึงให้พยาบาลจัดเตียงของเธอไปที่ด้านทิศใต้ของหน้าต่างแทน
วันนี้ อากาศที่ด้านนอกนั้นเป็นสีฟ้าสดใสทั้งหมด เดิมก็ไม่มีเมฆเลยแม้แต่ก้อนเดียว ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าคนที่อยู่ที่พื้นด้านล่างหน้าด่างที่กำลังสวมใส่เสื้อกันหนาวขนสัตว์หนา ๆ เกรงว่าก็คงจะให้ความรู้สึกเข้าใจผิดว่ามันคือฤดูร้อนแทนแล้ว
ฮั่วชิงชิงสบตามองไปอย่างเนิ่นนาน จู่ ๆ กลับมองเห็นรถยนต์ที่คุ้นตาคันหนึ่งเข้าให้เสียแล้ว!
นัยน์ตาของเธอหดเกร็งตัวในทันที
รถยนต์คันนั้น เป็นรถของหันจื่ออี้!
รถที่เขาซื้อนั้นเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก บวกเข้ากับตัวรถที่เป็นสีครามอมเขียว มองดูแล้วมีสไตล์เป็นอย่างมาก
อีกอย่างหนึ่ง รถยนต์คันนั้นแทบจะพึ่งขับออกจากโรงพยาบาลไปเมื่อครู่นี้เอง หลังจากนั้น ก็มุ่งตรงออกไปทางด้านนอกแล้ว!
เขามาหาหรือ?
จู่ ๆ เธอก็ค้นพบว่าหัวใจของตนเองนั้น มันกลับเต้นระรัวอย่างรุนแรงขึ้นมาอีกแล้ว ก่อนจะกระทบดังตึงตังเข้ากับทรวงอก
สายตาของเธอ สบตามองรถยนต์คันนั้นอยู่ตลอด จนกระทั่งมันหายไปแล้ว เธอถึงค่อย ๆ มีสติกลับคืนมา
เขามาเยี่ยมเธอหรือเปล่านะ?
ความสงสัยนี้ เธอนั้นอยากที่จะทราบเป็นอย่างมาก แต่ทว่า บางทีกลับอาจจะไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะรับรู้เลยก็เป็นได้
จู่ ๆ ฮั่วชิงชิงก็รู้สึกว่าแก้มและใบหน้าเย็นขึ้นเล็กน้อย ยื่นมือออกไปสัมผัสดู ถึงจะค้นพบว่า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเช่นนี้แล้ว
เขา ท้ายที่สุดแล้วก็เดินออกจากชีวิตเธอไปแล้วสินะ
เธอเบิกตากว้างแล้วสบตามองตนเองที่ผลักเขาออกไปไกล ระยะห่างที่ไกลไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว อีกทั้งกลับยังไร้เรี่ยวแรงที่จะตามไปถึงด้วย!
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ในที่สุดร่างกายของฮั่วชิงชิงก็บำรุงรักษาอย่างดีขึ้น และออกจากโรงพยาบาลแล้ว หมอให้ยากับเธอมาเป็นจำนวนไม่น้อยเลย อีกทั้งยังต้องการที่อยู่ในการจัดส่งของเธอด้วย บอกว่าเธอถึงแม้ว่าจะกลับมาแข็งแรงแล้ว แต่ทว่ายังคงต้องรับประทานยาต้านเอาไว้ไปตลอดชีวิต
เป็นเพราะว่ากล่องของตัวยาที่ด้านบนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ฮั่วชิงชิงจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เดิมก็ไม่ได้สงสัยอะไรเลย ยานั้นอันที่จริงแล้วเป็นยาสำหรับการต้านอาหารต่อต้านปฏิเสธสำหรับการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่
หลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ถือกุญแจที่เลขาธิการของหันจื่ออี้ส่งมันมาให้เธอ ก่อนจะมายังคอนโดมิเนียมที่เธอเคยอาศัยอยู่เมื่อหลานเดือนก่อน
ภายในตัวห้อง ไม่มีข้าวของอื่นใดของหันจื่ออี้ตั้งนานแล้ว ห้องพักถูกทำความสะอาดอย่างหมดจด เป็นเพราะว่าเหลือเพียงแค่เธอ ดังนั้นแล้ว บรรยากาศจึงว่างเปล่าเย็นยะเยือกอย่างเห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก
เดิมฮั่วชิงชิงเองก็ไม่คิดอยากที่จะได้ห้องห้องนี้เลย แต่ทว่า ผู้ช่วยหวังบอกความต้องการของหันจื่ออี้เอาไว้ว่า ถ้าเธอไม่รับไป เขาเองก็จะไม่เซ็นหย่าให้ ดังนั้นแล้ว เธอจำเป็นที่จะต้องเซ็นชื่อไป
ตอนกลางคืน เธออยู่ในห้องนั้นคนเดียวทั้งคืน รอจนกระทั่งถึงวันที่สอง ถึงนำกระเป๋าเดินทางมาด้วยสองสามใบ แล้วบินกลับไปที่เมืองไห่หลิน
ในตอนที่เข้าไปในตัวเครื่องบินแล้วนั้นเอง จู๋ ๆ เธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ในตอนที่เธอตื่นขึ้นมาจากการหลับลึก ถึงได้รับรู้ว่ามันผ่านไปเก้าปีแล้ว ข้างกายของฟู่สีเกอก็มีคนอื่นไปแล้ว ในตอนนั้น หัวใจของเธอรู้สึกทุกข์ทรมาน หันจื่ออี้กลับนั่งอยู่ข้างกายของเธอ เล่าเรื่องราวของเขาให้ฟังและปลอบประโลมเธอ
แต่ทว่าตอนนี้……
ฮั่วชิงชิงสบตามองคนแปลกหน้าทางด้านข้างอยู่หนหนึ่ง ลมหายใจติดขัด เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงเบนสายตามองตกลงไปทางนอกหน้าต่าง
แทบจะเป็นเพราะวันนี้อากาศนั้นถูกควบคุม พวกเขาขึ้นเครื่องบินกันมานานแล้วก็ยังไม่ออกตัวขึ้นบินเสียที ฮั่วชิงชิงได้ยินเสียงพูดคุยวีแชทจากที่นั่งทางด้านข้างโดยตลอด ดังนั้นแล้ว เธอเองก็เปิดวีแชทในโทรศัพท์ขึ้นมาบ้าง
เธอเลื่อนดูโมเมนต์ในวีแชท ก่อนจะมองเห็นข่าวดีของฟู่สีเกอ
เป็นเพราะว่ายิ่งหลายเดือนเข้าท้องของเฉียวโยวโยวนั้นก็ยิ่งใหญ่มากขึ้น เป็นเพราะว่าภายในท้องของเธอมีเจ้าตัวน้อยสองคนอยู่ ดังนั้นแล้ว จึงดูบวมเป่งมากกว่าเดิมอย่างชัดเจนแล้ว
ร่างกายรองรับน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นหลายกิโล เท้าทั้งสองข้างมักปูดบวมเป็นประจำ แต่ทว่ายังดีที่ฟู่สีเกอนั้นเชิญคนให้มาช่วยเธอนวดกดจุดเป็นประจำ อีกทั้งยังซื้อรองเท้านุ่มนิ่มเอาไว้มากมายอีกด้วย ในทุก ๆ วันตอนเช้าค่ำล้วนแล้วแต่จะต้องไปเดินทอดน่อง ดังนั้นแล้วทุกอย่างจึงผ่านไปด้วยดี
วันนี้ เธอพึงจะกลับมาจากการเดินเล่นในตอนเช้า เมื่อไปเข้าห้องน้ำแล้ว กลับค้นพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“สีเย็น แย่แล้วค่ะ เจ้าตัวน้อยอาจจะออกมาแล้ว……” เฉียวโยวโยวร้องตะโกนเสียงดังออกมาจากในห้องน้ำ
เมื่อฟู่สีเกอได้ยินแล้ว ดังนั้นจึงรีบกุลีกุจอวิ่งเข้าไปหาทันที เมื่อเห็นท่าทางของเฉียวโยวโยวที่นั่งตื่นตะลึงอยู่บนชักโครกแล้ว จู๋ ๆ หัวใจก็หนักอึ้งในทันที “คุณโยวคนโง่ เป็นอะไรไปครับ? เจ้าตัวน้อยจะไม่ตกลงไปในชักโครกใช่ไหม?!”
ในตอนที่ตั้งแต่เฉียวโยวโยวนั้นใกล้จะถึงสัปดาห์คลอดไม่ถึงเดือนแล้ว คุณหญิงเมิ่งซินหรุ่ยก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยแล้ว
เสียงตื่นตะลึงของเฉียวโยวโยวนั้นเมิ่งซินหรุ่ยเองก็ได้ยินแล้ว แต่ทว่าความเร็วนั้นไม่เร็วเท่ากับฟู่สีเกอ ดังนั้นแล้ว ในตอนที่เธอตามมาถึง ก็ได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ที่ฟู่สีเกอพึ่งจะเอ่ยจบไป
ดวงตาของเธอเบิกกว้างกลมโตในทันที “ตกลงไปแล้วจริง ๆ หรือ?! ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้าหนูตัวน้อยอยู่ในน้ำว่ายน้ำเป็น ดังนั้นแล้วดึงขึ้นมาก็โอเคแล้วล่ะ!”
แต่ทว่า เฉียวโยวโยวที่นั่งอยู่บนชักโครกกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ เจ้าตัวน้อยยังไม่ออกมาค่ะ เป็นน้ำคร่ำที่ไหลออกมาเยอะมากต่างหาก! อั้นก็อั้นไม่ไหวแล้วค่ะ!”
ในเมื่อเมิ่งซินหรุ่ยเองก็เป็นคนที่เคยผ่านมันมาก่อน เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วก็เข้าใจได้ในทันที หลังจากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับฟู่สีเกอว่า “เสี่ยวสีเย็น โยโย่น้ำคร่ำแตกก่อนกำหนดแล้ว แกรับไปอุ้มเธอขึ้นมาเร็ว ต้องให้เอนราบเอาไว้นะ!”
พูดไป เธอก็หันไปเอ่ยกับฟู่ซื่อหนิงที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่กล้าเข้ามาว่า “เหล่าฟู่ รีบไปสตาร์ทรถเร็วเข้า พวกเราจะไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ฟู่สีเกอจึงอุ้มเฉียวโยวโยวให้นอนราบขึ้นมาอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก ก่อนจะออกจากห้องน้ำแล้วตรงไปขึ้นรถที่ด้านนอก กระวนกระวายจนร่างทั้งร่างเหงื่อออกมาหมดแล้ว
เฉียวโยวโยวถูกจับให้นอนราบอยู่ที่เบาะทางด้านหลัง ฟู่สีเกอนั่งอยู่ที่ทางด้านข้างของเธอ เอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวายว่า “คุณโยวคนโง่ คุณไม่ต้องตื่นตระหนกไปนะครับ พวกเราถึงโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยคลอดนะ คุณให้เจ้าตัวน้อยรอก่อนนะครับ!”
เฉียวโยวโยวเองก็อึมครึมจะตายอยู่แล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ากำหนดคลอดนั้นยังเหลือเวลาอีกตั้งสองสัปดาห์ กลับมาก่อนเวลามากขนาดนี้ เธอนั้นไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลย อีกทั้งก่อนหน้านี้ที่หนังสือสอนเอาไว้ก็ล้วนแล้วแต่ลืมเลือนไปทั้งหมดแล้ว!
ทางด้านหน้า ฟู่ซื่อหนิงขับรถอย่างตั้งใจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา แต่ทว่ามือที่จับพวงมาลัยนั้นกลับบีบกำเข้าหากันแน่นเป็นอย่างมาก ดูท่าทางราวกับตื่นเต้น
ส่วนเมิ่งซินหรุ่ย ในช่วงเวลาสำคัญ จู่ ๆ กลับนึกแสดงไหวพริบปฏิภาณออกมาได้ในทันที
เธอเอ่ยปากขึ้นมาว่า “เสี่ยวสีเย็น รีบติดต่อพ่อแม่ของโยโย่เร็วเข้า บอกว่าเธอจะคลอดก่อนกำหนดแล้ว หลังจากนั้น คนที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ก็เรียกมากันให้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนยุ่งมากเกินไป”
“ครับ ได้ครับ!” ฟู่สีเกอรีบพยักหน้าในทันที ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดโทรออกโดยที่มือไม้พันกันมั่วไปหมด
โทรศัพท์ไปทั้งหมดแล้วรอบหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว
ฟู่สีเกออุ้มเฉียวโยวโยวแล้วสาวเท้าไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะมุ่งตรงไปยังแผนกสูตินรีเวช
เขารู้จักหมอที่อยู่ในโรงพยาบาล ดังนั้นแล้ว จึงอุ้มเฉียวโยวโยวแล้วพุ่งเข้าไปหา “หมอครับ น้ำคร่ำแตกแล้วทำอย่างไรดีครับ?”
หมอนั้นเห็นมาจนเคยชินเป็นประจำอยู่แล้ว เมื่อได้ยินฟู่สีเกอเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้แล้ว ก็รับจัดแจงให้พยาบาลนำฟู่สีเกอไปที่เตียงผู้ป่วยในทันที ก่อนจะให้เขาวางเฉียวโยวโยวลง หลังจากนั้นก็หันไปเอ่ยถามกับเฉียวโยวโยวว่า “มดลูกบีบตัวหรือเปล่าครับ?”
“ไม่ค่ะ” เฉียวโยวโยวคิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบเอ่ยถามออกมาว่า “จริงสิคะ ก่อนหน้านี้บอกว่ามีสายสะดือพันเอาไว้อยู่หนึ่งรอบค่ะ”
หมอรีบทำการอัลตร้าซาวด์ในทันที หลังจากที่ตรวจสอบดูแล้วก็พบว่าสายสะดือพันคอจริง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงหันไปเอ่ยกับฟู่สีเกอว่า “ภรรยาของคุณน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด อีกทั้งยังมีสายสะดือพันคอด้วย พวกเราแนะนำให้ทำการคลอดโดยการผ่าตัดครับ มิฉะนั้นแล้ว อาจจะเกิดอันตรายจากการขาดอากาศหายใจในครรภ์ได้”
เมื่อฟู่สีเกอได้ยินดังนั้นแล้ว จึงตกใจจนสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย ก่อนจะรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ครับผม ถ้าอย่างนั้นก็ผ่าเลยครับ! ผ่าแล้วจะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”
“การผ่าตัดล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงครับ” หมอเอ่ย “แต่ทว่าถือเสียว่าในฐานะเพื่อน ผมสามารถรับประกันกับคุณได้ จะต้องไม่เป็นไรแน่นอนครับ แต่ทว่า จำเป็นที่จะต้องเซ็นชื่อเพื่อยืนยันการเข้ารับการผ่าตัดก่อนนะ”
ฟู่สีเกอพุ่งเข้าไปอ่านหนังสือยืนยันครู่หนึ่ง รู้สึกเพียงแค่ว่าร่างทั้งร่างนั้นอ่อนระทวยไปแล้วเล็กน้อย แต่ทว่า ก็ยังคงเซ็นชื่อไปทั้ง ๆ ที่มือสั่นไปแล้ว “หมอหลู่ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไหว้วานคุณแล้วละนะ!”
“วางใจเถอะครับ ไปรอผลที่หน้าประตูก็พอแล้วล่ะ” หมอหลู่พูดไป ก่อนจะรีบหันไปสั่งการกับพยาบาลทันทีว่า “เตรียมห้องผ่าตัดเอาไว้ให้พร้อมนะครับ จะรีบทำการผ่าคลอดทันที”
ฟู่สีเกอทำตามที่หมอบอก ก่อนจะเข็นเฉียวโยวโยวไปที่หน้าประตูห้องผ่าตัด ในตอนที่เฉียวโยวโยวกำลังจะเข้าไปแล้วนั้นเอง เขาก็บีบมือของเธอเอาไว้จนมือชุ่มเหงื่อ “คุณโยวคนโง่ครับ ไม่ต้องกลัวนะ พวกเราจะรอคุณออกมาอยู่ที่ด้านนอกนะ”
เฉียวโยวโยวพยักหน้าขึ้นลง ประตูห้องผ่าตัดปิดลงแล้ว เธอนั้นยังคงก้มหน้ามองอยู่
ในลำดับต่อมา เธอถูกบล็อกหลัง สติสัมปชัญญะทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ยังคงชัดเจน แต่ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของผิวหนังใด ๆ เลย
ส่วนที่ด้านนอกของห้องผ่าตัด ฟู่สีเกอกระวนกระวายจนใกล้จะเป็นบ้าแล้ว “แม่ครับ แม่ว่าผ่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนออกมาแล้ว แล้วก็เย็บปากแผลอีกครั้ง แต่ทำไมคุณโยวคนโง่เขายังไม่ออกมาอีกละครับ?”
เมิ่งซินหรุ่ยนั้นยังไม่ทันที่จะได้ตอบคำถาม ฟู่สีเกอก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า “อ๋อ ผมรู้แล้วครับ เป็นเพราะว่ามีเจ้าตัวน้อยสองคน ดังนั้นแล้วระยะเวลาก็เลยนานนิดหน่อย ใช่ไหมครับ?”
เขาพูดเองตอบไปอย่างพึมพำ หลังจากนั้นก็มองเห็นว่ามีคนเดินเร็ว ๆ เข้ามาหา เป็นสือมูเฉินกับหลานเสี่ยวถาง
ฟู่สีเกอเห็นทั้งสองคนแล้ว ราวกับว่ามองเห็นผู้ช่วยชีวิต แต่ทว่า กลับหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “เสี่ยวถาง ก่อนหน้านี้ที่คุณคลอดเจ้าตัวเล็ก รู้สึกอย่างไรหรือ? อันตรายหรือเปล่าครับ?”
หลานเสี่ยวถางส่ายหน้า “สีเกอ ดูท่าแล้วคุณตื่นเต้นสินะ! เรื่องนี้น่ะ ตอนนี้การแพทย์นั้นพัฒนาไปมากแล้วนะคะ ในตอนของฉัน ฉันคลอดแบบธรรมชาติค่ะ เจ็บมากเลย แต่ทว่าไม่มีอะไร โยวโยวผ่าคลอด โดยปกติแล้วก็จะยิ่งไม่เป็นอะไรหรอกนะคะ คุณวางใจเถอะค่ะ!”
เมื่อเมิ่งซินหรุ่ยได้ยินดังนั้นแล้ว ลูกชายของเธอเอ่ยถามถึงการคลอดเจ้าตัวน้อย ไม่ถามตนเอง แต่กลับไปถามคนอื่น ราวกับว่าในตอนแรกไม่ใช่เธอที่คลอดเขาออกมาอย่างไรอย่างนั้น! เธอมุ่ยริมฝีปาก รู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้ามไปแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์นิดหน่อย
เพียงแต่ เดิมฟู่สีเกอนั้นไม่ทราบถึงความเคลื่อนไหวในหัวใจของมารดาของตนเองเลย อีกทั้งยังเอ่ยถามการปลอบประโลมจากหลานเสี่ยวถางทั้งสองคนต่อไป
ทุกคนทั้งหมดกำลังพูดคุยกันอยู่ หยานชิงเจ๋อกับซูสือจิ่นก็มาถึงแล้วเช่นกัน
ซูสือจิ่นในตอนนี้นั้นย้ายห้องทำงานมาสองสามวันแล้ว กำลังเก็บข้าวของอยู่ ในตอนที่รับสายจากฟู่สีเกอก็รีบมาในทันที
เมื่อเห็นว่าฟู่สีเกอเป็นเพราะว่าตื่นตระหนกอยู่ จิกผมจนยุ่งเหยิงไปหมด อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นอย่างสนุกสนานว่า “สีเย็น ไม่กลัวผมเสียทรงหรือไงคะ?”
ในตอนที่กำลังเยาะเย้ยอยู่นั้นเอง ประตูใหญ่ของห้องผ่าตัดก็เปิดออกแล้ว ทันใดนั้นเอง ทุกการพูดคุยหาหรือกันทั้งหมดนั้นหยุดลงในทันที สายตาของทุกคนมองตรงไปยังหมอที่เดินออกมา
หมอแทบจะรู้สึกได้ว่าจู่ ๆ บรรยากาศด้านนอกนั้นปกคลุมไปด้วยคำถามในทันที ทันใดนั้นเองจึงหัวเราะออกมา “คุณฟู่ครับ วางใจเถอะครับ พวกเขาทั้งสามคนปลอดภัยดี! ไม่เลวเลยนะครับ เป็นครรภ์แฝดจริง ๆ!”
ฟู่สีเกอเบิกตากว้าง ชะงักไปหลายวินาที ถึงจะค่อย ๆ หรี่ตาลง “ดูท่าแล้ว จะต้องเชื่อวิทยาศาสตร์จริง ๆ แล้วสินะ!”
ถอนหายใจจบ อีกเอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวายอีกครั้งว่า “ภรรยาของผม ลูกของผมตอนนี้พวกเขาโอเคดีใช่ไหมครับ? ถ้าอย่างนั้นแล้วตอนนี้สามารถเข้าไปได้เลยไหมครับ?”
“รอสักครู่นะครับ พวกเราใกล้จะเข็นพวกเขาออกมากันแล้วล่ะ!” หมอเอ่ย
ฟู่สีเกอพยักหน้าหงึกหงัก หลังจากที่รอหมอเดินเข้าไปแล้ว เขาถึงรู้สึกอะไรได้ตามหลังมาได้แล้ว ก่อนหันไปเอ่ยกับสือมูเฉินและหยานชิงเจ๋อว่า “สหายทุกท่าน พวกนายดูสิ ฉันนั้นยิงปืนนัดเดียวได้เป็นพ่อของเด็กทั้งสองคนในคราวเดียวจริง ๆ เลยนะ! อีกทั้งยังเป็นชายคนหญิงคนอีกด้วย พวกนายไม่มีใช่ไหมล่ะ?”
พูดไป เขาก็ดีใจจนมือไม้เต้นไปหมด เมิ่งซินหรุ่ยเองราวกับว่าเมื่อครู่นี้ก็หลุดออกจากภวังค์เช่นกัน ก่อนจะยืนตื่นเต้นเป็นวงกลมอยู่ที่เดิม “ไอหยา จู่ ๆ ฉันก็มีทั้งหลายชายหลานสาวแล้ว! ฉันต้องไปตุ๋นน้ำแกงให้โยโย่แล้วล่ะ เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนดื่มนมพร้อมกัน เกรงว่าน้ำนมจะไม่พอ……”