ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 446 เห็นรอยแผลของเขาในตำแหน่งที่เดียวกัน
ผ่านไปนานสักพัก ชายคนนั้นก็เริ่มเอ่ยปาก : “ ผมเคยเห็นแม่ของคุณ แล้วก็เจอผ่านพี่ฮั่ว ในตอนที่เห็นแวบแรก ผมก็รู้สึกว่าสวยจนน่าตกใจ ดังนั้นมันเลยทำให้รู้สึกประทับใจมาก ”
“ ในตอนนั้น แม่ของคุณและพี่ฮั่วเป็นเพื่อนกัน ทั้งสองคนมีความคิดเห็นที่เหมือนกันไม่ใช่น้อย พวกเรารู้สึกว่าพวกเขาดูเหมาะสมกันมากๆ ”
“ จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่พี่ฮั่วมาทำงานที่หนิงเฉิง พวกน้องชายดื่มค่อนข้างหนัก ก็เลยถามพี่ฮั่วว่ามีใจให้แม่ของคุณใช่หรือเปล่า ”
“ ในตอนนั้น เขาพยักหน้าในทันที แล้วก็บอกว่าถ้าไม่มีใจจะหาโอกาสบ่อยๆมาที่หนิงเฉิงทำไมกัน ? แต่แม่ของคุณนั้นหัวแข็งมาก ตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าพี่ฮั่วมีครอบครัวมีลูกแล้ว เธอก็บอกว่าหลังจากนี้ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก ดังนั้น พี่ฮั่วจึงทำได้แค่บอกว่า อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ที่เขาบอกใบ้กับเธอนั้นเป็นเพียงแค่คำพูดตอนเมา แล้วก็สัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่พูดถึงมันอีก หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้คืนความสัมพันธ์และติดต่อกันเป็นครั้งเป็นคราว ”
“ แต่ต่อมาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย พวกเราถามพี่ฮั่ว แต่เขาก็ไม่บอก ”
“ ต่อมาภายหลัง ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ฮั่วกับภรรยาของเจาก็ยิ่งอยู่ยิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็แทบจะแยกกันอยู่อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว จากนั้น พวกเราต่างก็คิดว่าเขาสามารถจัดการเรื่องครอบครัวได้เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเขากลับหาแม่ของคุณอีกครั้ง มันก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น !”
เมื่อหันจื่ออี้ได้ฟังถึงจุดนี้ เขาก็มองไปยังชายคนนั้น : “ ไอ้อุบัติเหตุที่คุณพูดถึง มันเกิดจากคนที่คุณเรียกว่าเพื่อนไง ! เขาส่งคนไปทำให้พ่อของผมตกหลุมพราง เพื่อที่อยากจะบังคับให้แม่ของผมนั้นจนตรอกและจำใจต้องตกเป็นคนรักของเขา แต่ในระหว่างที่โต้เถียงกันก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น แม่ของผมได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ในระหว่างที่นำตัวส่งโรงพยาบาลนั้น มันก็สายเกินไปแล้ว……”
ชายคนนั้นถอยหลังไปสองก้าว : “ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน ? มิน่าหล่ะ ในตอนนั้นเขาเมาหนักไปตั้งสามวัน พอตื่นขึ้นมา ก็มาร้องไห้และพูดกับผมว่า ทั้งชีวิตนี้ของเขาไม่มีหน้าที่จะไปเจอกับแม่ของคุณแล้ว ก็เลยให้ผมนำช่อดอกกุหลาบมาวางไว้ในทุกๆปีของวันนี้ !”
หันจื่ออี้มองไปยังดอกกุหลาบที่วางไว้หน้าหลุมฝังศพ รู้สึกเพียงแค่ว่าสีดำของป้ายหลุมศพและสีแดงสดของดอกกุหลาบนั้น มันดูเหมือนจะแสบตายจนรู้สึกปวดตา
แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้เขารับไม่ได้มากที่สุดก็คือ คิดไม่ถึงเลยว่าแม่ของเขาจะเคยชอบฮั่วเฉิงเลี่ยงคนที่ทำให้เธอต้องตาย !
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุ แต่มันก็เป็นที่คร่าชีวิตแม่ไป ! ทำลายความหวังของแม่ทั้งหมด ! ตั้งแต่นั้นมามันทำให้โชคชะตาของเขาโค่นล้มลงมาอย่างถึงที่สุด !
หันจื่ออี้ไม่รู้ว่าตัวเองออกจากสุสานได้อย่างไร และเขาก็ได้ขับรถไปตามท้องถนนของ
หนิงเฉิงอย่างไร้จุดหมาย ในหัวสมองของเขายังคงปรากฏรูปถ่ายที่แม่ของเขาถ่ายคู่กับฮั่วเฉิงเลี่ยงอย่างไม่หยุดยั้ง !
เขาไม่สามารถที่จะรับได้ ในเวลานี้ ไม่รู้เลยว่าเขาควรที่จะไปเกลียดใครดี
จนกระทั่ง เขาขับรถด้วยความเร็วเข้าสู่บริเวณบาร์เหล้า เขาก็ค่อยๆจอดรถอย่างช้าๆ พอเจอบาร์เหล้าร้านหนึ่ง เขาก็ได้เดินเข้าไป
เป็นเวลาสองปีแล้วที่เขาไม่ดื่มเหล้าเลยเป็นเพราะว่าห่วงสุขภาพ
แต่ทว่าในเวลานี้เขาคิดเพียงแค่อยากจะดื่มให้เมามากๆ
ในตอนที่หันจื่ออี้เดินเข้าไป เวลานี้ยังค่อนข้างเช้า ลูกค้าในร้านก็เลยยังมีไม่มากนัก
เขานั่งบริเวณใกล้หน้าต่าง แล้วก็สั่งไวน์อะไรก็ได้มาสองสามขวด
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ไวน์แดง แต่ทว่า เมื่อกลิ่นแอลกอฮอล์นั้นเตะจมูก มันก็ยังคงให้ความรู้สึกที่เมากริ่มเล็กน้อย อีกทั้งยังทำให้การตอบสนองของสมองคนนั้นเริ่มค่อยๆเลอะเลือน
อย่างไรก็ตาม เมื่อดื่มไวน์ลงท้องไปครึ่งขวด สมองก็เลอะเลือน จากนั้นภาพตรงหน้าค่อยๆมีภาพของรูปถ่ายใบนั้นปรากฏขึ้นมา
สภาพจิตใจของเขาก็เริ่มแปรปรวนขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นก็เลยดื่มต่อ……
และผู้ช่วยหวังก็ได้เริ่มตามหาหันจื่ออี้ตั้งแต่หกโมงเย็น แต่ก็ไม่หาเจอ พอโทรไปก็ไม่มีคนรับ เมื่อไปที่โรงแรม ฟรอนของโรงแรมก็บอกไม่เคยกลับมาเลย และโทรไปถามที่บริษัทก็ไม่อยู่อีก
ดังนั้น เขาก็เลยติดต่อเซียวหลินไป แต่เซียวหลินกลับบอกว่าหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จหันจื่ออี้ก็บอกว่าไม่ว่างมีธุระที่ต้องไปทำ
ในใจของผู้ช่วยหวังรู้สึกว่าคาดเดาไม่ได้เลย ดังนั้นก็เลยทำให้ลังเลใจครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เลยโทรไปหาฮั่วชิงชิงน่าจะดีกว่า
เมื่อฮั่วชิงชิงได้รับสายของผู้ช่วยหวัง ในใจก็รู้สึกหน่วงๆ
เป็นไปได้ไหมว่า หันจื่ออี้จะให้เขามาเร่งเรื่องสมุดทะเบียนบ้าน ?
รอไปประมาณหลายวินาทีกว่าเธอจะรับสาย : “ สวัสดีค่ะ——”
“ ผมเองครับ หวังเฉา ” ผู้ช่วยหวังก็พูดว่า : “ คุณฮั่วครับ ประธานหันอยู่กับคุณหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าอยู่ รบกวนบอกให้เขาช่วยรับโทรศัพท์ผมทีครับ ผมมีเรื่องงานจะคุยเขาครับ ”
ฮั่วชิงชิงก็รู้สึกตกใจ : “ ทำไมหรอคะ จื่ออี้หายไปหรอ ? เขาไม่เคยมาหาฉันเลย ฉันไม่รู้นะ !”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ชัดเจนของฮั่วชิงชิงว่าไม่ได้โกหก ผู้ช่วยหวังก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย : “ แล้ววันนี้เขาได้ติดต่อไปหาคุณบ้างไหมครับ ? ตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนหน้านี้ผมก็หาเขาไม่เจอเลย !”
ฮั่วชิงชิงก็อดไม่ได้ที่จะกังวลใจขึ้นมา : “ เขาไม่เคยติดต่อฉันมานะคะ ? สถานที่ที่เขาชอบไปคุณเคยไปหาหรือยังคะ ?”
“ ไม่ว่าจะบริษัทโรงแรมผมไปหาหมดแล้วครับ ” ผู้ช่วยหวังพูด : “ แล้วคุณคิดว่าเขาอาจจะไปไหนอีกบ้างไหมครับ ?”
ฮั่วชิงชิงคิดไปคิดมา แล้วก็มองไปยังปฏิทิน และดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นวันพิเศษอะไรของคุณพ่อคุณแม่ของหันจื่ออี้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงลังเลอยู่สักแป๊บแล้วก็พูดว่า : “ แล้วที่สุสานของคุณพ่อคุณแม่ของเขาคุณเคยไปมาแล้วหรือยัง ?”
ผู้ช่วยหวังก็รู้สึกดีใจขึ้นมา : “ โอเคครับ ผมรู้แล้ว ผมจะไปหาเขาตอนนี้เลย !”
ของฮั่วชิงชิงที่รู้สึกกังวลใจก็ได้ลุกขึ้นพร้อมกับพูดว่า : “ ฉันจะลองออกไปหาที่อื่นดูเผื่อโชคดี ยังไงพวกเราก็ต้องติดต่อกันตลอดนะคะ !”
“ ได้ครับ ” จนถึงตอนนี้ ผู้ช่วยหวังก็จำใจต้องละทิ้งความอคติไป
ฮั่วชิงชิงก็ออกมาและโบกรถตรงใต้ตึกพร้อมพูดกับคนขับว่า : “ ขับรถวนไปเรื่อยๆเลยค่ะ ”
เมื่อคนขับได้ยินว่าน้ำเสียงของฮั่วชิงชิงไม่ใช่สำเนียงท้องถิ่น ก็เลยคิดว่าเธอเป็นนักท่องเที่ยว ดังนั้นก็เลยพาเธอไปยังวนในสถานที่ที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในเมือง
เพียงแต่ว่าไปมาแล้วหลายที่แต่ก็ยังไม่เจอหันจื่ออี้
เมื่อคนขับเห็นว่าด้านหน้าของสองข้างทางเป็นบาร์เหล้า ดังนั้นก็เลยขับห่านไปและแนะนำให้ฮั่วชิงชิง : “ ค็อกเทลของทางนี้ค่อนข้างจะเป็นที่ขึ้นชื่อ ลูกชายผมก็ได้เปิดร้านอยู่ตรงนั้น เขาเป็นบาร์เทนเดอร์……”
ฮั่วชิงชิงคิด เห็นได้ชัดเลยว่านี่เขากำลังหาลูกค้าให้กับลูกชายของเขา ?
แต่ทว่า เมื่อเธอเผลอมองไปด้านนอก ก็กลับเห็นเงาของคนที่คุ้นเคย !
“ จอดค่ะ !” ฮั่วชิงชิงพูดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
เธอก็จ่ายค่าโดยสารด้วยแล้วก็ลงจากรถด้วยความรีบร้อน แต่ในขณะที่เดินเข้าไปหาหันจื่ออี้ก็ได้ชะลอฝีเท้าในการเดินลง
เขากำลังพิงอยู่ตรงหน้าต่าง ในมือก็ถือขวดไวน์ที่แทบจะว่างเปล่าอยู่พร้อมกับดวงตาที่ตาสะลึมสะลือ แล้วก็ได้ยับยั้งอารมณ์ทั้งหมดที่มี แต่ถึงอย่างไรมันก็มีความหนักใจอย่างหนึ่งที่มันยากจะอธิบาย แผ่กระจายออกมาจากตัวของเขา
หัวใจของฮั่วชิงชิงก็บีบรัดแน่นขึ้น และรู้สึกเพียงแค่เริ่มหายใจลำบากขึ้นในชั่วขณะ
เธอไม่เคยที่จะเห็นว่าหันจื่ออี้จะมีอาการที่หนักใจแบบนี้ ? ราวกับว่ากำลังปล่อยให้ตัวเองนั้นตกต่ำและกำลังเกลียดตัวเองอยู่ !
เธอค่อยๆเดินไปตรงหน้าของเขา แต่เขากลับไม่มีท่าทีโต้ตอบเลย ดังนั้นก็เลยหยุดไปชั่วขณะก่อนที่จะเอ่ยปากพูดว่า : “ จื่ออี้ ?”
เขาก็ไม่ได้มีท่าทีโต้ตอบ
ดังนั้นเธอก็ได้เพิ่มเสียงให้ดังขึ้นเล็กน้อยและเรียกชื่อของเขาอีกรอบ
เขาก็ขยับตัวเล็กน้อย แต่ทว่าจุดโฟกัสของสายตาไม่ได้อยู่บนตัวเธอเลย
ฮั่วชิงชิงมองไปยังขวดไวน์ ซึ่งที่นั่นได้มีขวดไวน์แดงวางอยู่สามขวด ถึงแม้จะมีเพียงแค่สิบเจ็ดองศา แต่มันก็ถือว่าปริมาณของผู้ชายปกติ และในบางทีก็อาจจะเมาไปนานแล้ว
และเขาก็ได้บริจาคไตข้างหนึ่งให้กับเธอ แล้วปกติเขาเลิกเหล้าไปแล้ว แต่ในตอนนี้กลับมาดื่มเยอะขนาดนี้ !
เธอไม่กล้าคิดต่อไปเลย ดังนั้น เธอก็เลยรีบเรียกหาพนักงานของบาร์เหล้าพร้อมกับพูดว่า : “ คุณผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนของฉันเอง ฉันจะเช็คบิลของเขาในตอนนี้ คุณช่วยดูเขาไว้สักแป๊บนะคะ ฉันเรียกรถพยาบาล !”
ในขณะที่พูด ฮั่วชิงชิงก็ได้โทรหา 120 จากนั้นก็ยืนรออยู่หน้าร้านบาร์เหล้าด้วยความวิตกกังวล
ในไม่ช้า รถพยาบาลก็มาถึง เธอรีบพาคุณหมอเข้าไป จากนั้น หันจื่ออี้ที่ยังพอมีสติเล็กน้อยก็ถูกพยุงขึ้นไปบนเปลหาม
บางที 120อาจจะเจอกับเคสที่มีอาการและสภาพหนักกว่านี้ก็เป็นได้ เพราะเขาบอกว่าหันจื่ออี้เพียงแค่ดื่มมากไปเท่านั้น พอไปถึงโรงพยาบาลก็ได้ทำการตรวจ เขาก็บอกไตไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไร และร่างกายก็ไม่ได้มีภาวะแทรกซ้อนอะไร หลังจากที่ให้น้ำเกลือไป ก็แนะนำให้ฮั่วชิงชิงไปทำเรื่องให้เรื่องหันจื่ออี้ออกจากโรงพยาบาล
แต่ทว่าหันจื่ออี้ยังคงอยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยได้สติ ฮั่วชิงชิงก็เลยทำได้แค่ขอให้ผู้ช่วยพยาบาลมาช่วยประคองเขาขึ้นรถ จากนั้นก็เรียกรถและพาหันจื่ออี้กลับไปที่โรงแรมของเขา
เธอก็ได้แจ้งให้ผู้ช่วยหวังนั้นสบายใจ แล้วก็ประคองหันจื่ออี้ขึ้นไปนอนบนเตียง และช่วยเขาถอดรอบเท้าและเสื้อเสื้อนอก แล้วก็ห่มผ้าให้เขา
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว เธอถึงได้กล้ามองเขา
วันนั้น ถึงแม้ว่าจะใกล้มาก แต่เธอไม่สามารถที่จะทำตามอำเภอใจและคาดหวังในตัวเขาเหมือนกับวันนี้ได้อีก
ในเวลานี้ เธอนั่งอยู่ตรงขอบเตียง สายตาของเธอมองไปยังบนใบหน้าของเขา แล้วก็ไล่ไปตามดวงตาและคิ้วของเขา และมองจมูกที่สูงโด่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองไปที่ริมฝีปากบางๆ และคางกลมที่ชัดเจน
มือของเธออดไม่ได้ที่จะแตะเบาๆไปบนริมฝีปากของเขา
ในความรู้สึกที่อบอุ่นและยืดหยุ่นนั้น ฮั่วชิงชิงก็ดูคล้ายกับไฟช็อต ก็ได้รีบเก็บมือกลับมาในทันที
หัวใจของเธอเต้นเร็วมาก และแก้มก็เต็มไปด้วยความร้อนผ่าว
โชคดีที่ว่าเขาหลับลึกมากได้อย่างสบายโดยที่ไม่รู้สัมผัสของเธอเลยแม้แต่นิด
ลมหายใจของเขาหนักและคงที่มาก ดูเหมือนว่าจะจมดิ่งไปกับนอนหลับ ความใจกล้าอย่างหนึ่งก็ได้ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของฮั่วชิงชิง เธออยากจะเห็นบาดแผลที่อยู่ตรงเอวด้านหลังของเขา !
เธอค่อยๆเปิดผ้าห่มออก เป็นเพราะหันจื่ออี้นอนราบอยู่ เธอก็เลยทำได้แค่ต้องออกแรงขยับให้เขาหันไปด้านข้างเพื่อที่จะได้เห็นบริเวณที่เป็นบาดแผล
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดเขาก็พลิกตัวและหันด้านหลังให้กับเธอ
ฮั่วชิงชิงพบว่าหัวใจของตัวเองก็ได้เต้นปะทะกับทรวงอกอีกครั้ง ความถี่ในการปะทะแต่ละครั้งมันทำให้ร่างกายและจิตใจของเธอเริ่มมีอาการชา
มือที่สั่นของเธอก็ได้เปิดเสื้อเชิ้ตของหันจื่ออี้ออก
มีรอยแผลเป็นประมาณหกถึงเจ็ดเซนติเมตรที่เด่นชัดเป็นพิเศษอยู่ด้านหลังเอวของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ฮั่วชิงชิงเห็นว่านอกจากรอยแผลเป็นบนร่างกายของเขาแล้ว ก็ยังมีบาดแผลบางส่วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอีกด้วย ซึ่งมันก็จางลงจนเกือบจะเป็นสีเดียวกับผิวหนัง และถ้าไม่ได้สังเกตดีๆก็แทบจะไม่เห็นเลย
จู่ๆเธอก็นึกขึ้นได้ว่า แต่ก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่งในตอนที่เขาปลอบเธอ เขาได้พูดออกมาประโยคหนึ่งว่า อันที่จริงในช่วงวัยเด็กของเขานั้นมันไม่ดีมากๆแล้วก็มักได้รับบาดเจ็บ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วถูกหลานเสี่ยวถางพากลับบ้านไปทำแผลด้วยความระมัดระวัง มันก็เลยทำให้เขาชอบผู้หญิงที่ใจดีคนนั้น และไม่สามารถที่จะตัดใจได้
ที่แท้ สิ่งที่เขาพูดเป็นเพียงแค่ประโยคคร่าวๆในอดีตเท่านั้น แต่กลับแบกเอาไว้ด้วยบาดแผลที่ยาวนาน
พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อน แต่นอกจากคืนแต่งงานที่ได้เปิดใจอย่างตรงไปตรงมาในครั้งนั้นที่เปิดไฟ นอกเหนือจากนั้นก็มืดตลอดเวลา
แต่ในคืนที่แต่งงาน เธออายเลยไม่ได้มองเขา หลังจากที่นอนด้วยกัน ซึ่งเธอก็ไม่เคยสังเกตร่างกายของเขาอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่รู้เลยจริงๆว่าประโยคเดียวที่เขาบอกว่าตอนเด็กไม่ดีเลยนั้น คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะไม่ดีขนาดนี้ !
มือที่สั่นของฮั่วชิงชิงก็ได้ลูบไปยังบาดแผลพวกนั้นของหันจื่ออี้ ราวกับหวังว่าการสัมผัสที่อ่อนโยนเช่นนี้ มันจะสามารถบรรเทาความเจ็บปวดบางส่วนของเขาลงได้
สุดท้าย เธอก็ได้ลูบรอยแผลบริเวณที่ผ่าตัดที่อยู่ตรงเอวด้านหลัง
ในตำแหน่งที่เดียวกัน ฮั่วชิงชิงรู้สึกเพียงแค่ว่าบาดแผลของตัวเองในเวลานี้ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดนั้นจะบางเบา
จากนั้นก็มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเธออย่างมาก เธอพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา : “ จื่ออี้ ขอโทษนะ สองปีแล้ว ที่ฉันใช้ชีวิตที่คุณให้มาอย่างสบายใจ แล้วก็ยังเกลียดคุณอีก ฉันขอโทษ……”
และในเวลานี้ ดูเหมือนว่าหันจื่ออี้จะรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ก็เลยทำให้เขาขยับตัวเล็กน้อย จากนั้น จู่ๆเขาก็พลิกตัว และมืออีกข้างก็ได้ยกขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติแล้วก็กอดฮั่วชิงชิงเอาไว้ !