ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ - บทที่ 465 จูบแล้วยัง? มีอะไรกันแล้วยัง?
ข้อเท้าของหวันหว่านหายดีแล้ว โอหยางจวิ้นจึงไปส่งเธอที่โรงเรียน
พวกเขาบอกลากันที่ประตูโรงเรียน เขาลูบผมที่อ่อนนุ่มของเธอ “หวันหว่าน รอวันศุกร์ อาจวิ้นจะมารับหนูนะ”
หวันหว่านพยักหน้า ทำท่าทาง “คุณน้ามู่จะมาด้วยไหม?”
“หวันหว่านชอบน้ามู่ไหม?” โอหยางจวิ้นถาม
หวันหว่านพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ชอบค่ะ” คุณน้าคนนี้ดีกว่าคุณน้าคนก่อนเยอะ เป็นมิตรกับเธอ และไม่พูดว่าทำไมเธอถึงพูดไม่ได้
“งั้นถ้าอาจวิ้นคบกับเธอ หวันหว่านยินยอมไหม?” โอหยางจวิ้นถามอีก
หวันหว่านครุ่นคิด แล้วก็ทำท่าทางตอบ “ดีค่ะ แบบนี้พวกเราก็จะได้ออกไปเที่ยวด้วยกันแล้ว!”
โอหยางจวิ้นพยักหน้า “ตกลง งั้นอาจวิ้นจะบอกปู่ของหนูเดี๋ยวนี้!”
ดังนั้นทุก ๆ สุดสัปดาห์ มีคนมาเล่นเป็นเพื่อนหวันหว่านเพิ่มอีกคน
หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินรู้ถึงการมีตัวตนของมู่ยวี๋ฮั่นหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน
ตอนที่โทรวิดีโอ เธอยั่วแหย่โอหยางจวิ้น “ในที่สุดก็สละโสดแล้วเหรอ?”
โอหยางจวิ้นหัวเราะแล้วพูด “อันที่จริงผมรู้สึกเหมือนว่าเพื่อที่จะหาเพื่อนให้หวันหว่าน! ก่อนที่ผมจะตอบรับ ยังขอคำแนะนำจากเธอเลย”
หลานเสี่ยวถางไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “งั้นคุณชอบคุณมู่ไหม?”
โอหยางจวิ้นครุ่นคิด ภายใต้ดวงตารู้สึกสับสน “อันที่จริง ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกคุณพูดว่ารู้สึกชอบคืออะไร แค่รู้สึกว่าทุกคนอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ ผ่านไปไม่นานรู้สึกเหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายปี ไม่มีการยกเว้นต่อกันแค่นั้น”
สือมูเฉินโผล่หน้าเข้ามา พูดแทงใจ “จูบกันแล้วยัง? มีอะไรกันแล้วยัง?”
หลานเสี่ยวถางได้ยินก็ยื่นมือออกไปตีเขา
อีกด้าน โอหยางจวิ้นส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ยัง รู้สึกเหมือนเพื่อนรักกัน จูบกันค่อนข้างเก้กังนะ?”
สือมูเฉินพูดโดยตรง “งั้นก็แสดงว่าคุณไม่ได้รักเขา”
ขณะที่พูด เขาก็หันมาจูบหลานเสี่ยวถาง แล้วพูดกับโอหยางจวิ้น “เห็นแล้วยัง นี่ถึงเรียกว่าความรัก”
โอหยางจวิ้นไม่ทันได้เตรียมตัวกับการแสดงความรักของทั้งคู่ เขาปวดฟันจี๊ดขึ้นมาทันที เขาโบกมือแล้วพูด “Jarvis ผมว่าพวกเรามาคุยกันต่อถึงเรื่องการร่วมมือกันทางธุรกิจเถอะ ยังมีอีกหลายจุด ที่ต้องปรึกษาหารือกัน…”
หลานเสี่ยวถางหัวเราะ “มูเฉิน คุณดูเขาเหมือนจะอายแล้วนะ”
สือมูเฉินสายตาเหน็บแนมแล้วพูดขึ้น “เขาอายซะที่ไหน เขายังไม่เปิดโลกด้วยซ้ำ แม้แต่อายก็ยังไม่รู้จัก!”
“เฮ้ พวกคุณทำแบบนี้ ไม่กลัวจะทำให้ผมโมโห แล้วรังแกหวันหว่านเหรอ?” โอหยางจวิ้นไม่พอใจ
ด้านหลัง หวันหว่านที่อั้นฉี่จนตื่นในตอนดึก ขยี้ตาแล้วเปิดประตูห้องของโอหยางจวิ้น คำพูดเมื่อครู่ เธอได้ยินคร่าว ๆ แล้ว
จึงทำท่าทางน้อยใจใส่โอหยางจวิ้น “อาจวิ้นจะรังแกหวันหว่านเหรอ?”
โอหยางจวิ้นหันหน้ามา ก็ประสานสายตาที่แทบจะร้องไห้ออกมาของหวันหว่าน จึงยอมจำนนในทันที “หวันหว่าน อาจวิ้นล้อเล่นนะ! รักหนูแทบจะไม่ทัน! รีบมานี่เร็ว ทักทายปะป๊ามะม๊า!”
หวันหว่านดีใจในทันที รีบโบกมือให้หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉิน ทำท่าทางหนึ่งบอกว่า “หนูคิดถึงพวกคุณ”
“หวันหว่าน แม่ก็คิดถึงหนูแล้ว” หลานเสี่ยวถางพูด “แม่กับพ่อรอให้หนูปิดเทอม ก็ไปอยู่ที่อเมริกาสักสองสัปดาห์ อยู่เล่นกับหนูดีไหม?”
สาวน้อยได้ยิน ก็ดีใจในทันที เธอปรบมือ ไม่รู้จะแสดงออกยังไง จึงกระโดดโลดเต้นอยู่ในห้อง
เวลามักจะผ่านไปไว พริบตาเดียวก็ผ่านไปสองปีแล้ว
หวันหว่านจะจบช่วงเวลาของการเรียนอนุบาล แล้วเตรียมตัวเข้าโรงเรียนประถมภายใต้การบริหารของเพอร์เซลล์ส่วนโอหยางจวิ้นก็ตัดสินใจหมั้นกับมู่ยวี๋ฮั่น
วันนั้น โรงเรียนอนุบาลจัดงานเลี้ยงบัณฑิต หวันหว่านขึ้นไปเต้นรำเพลงหนึ่ง ส่วนเฉียวซือร้องเพลงประกอบอยู่ด้านข้าง เพื่อนร่วมชั้นใช้เครื่องดนตรีที่ตัวเองเล่นเป็นประกอบจังหวะ
ถึงแม้ทุกคนแสดงร่วมกันจะยุ่งเหยิงนิดหน่อย แต่ว่ายังไงซะก็เป็นการแสดงของพวกเด็ก ๆ ทุกคนดีใจเป็นอย่างมาก
ในตอนที่งานเลี้ยงเลิกรา เตรียมตัวจะนอนในวันที่สองก็ต้องอำลาโรงเรียนอนุบาลอย่างแท้จริง จู่ ๆ กลับเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่องหนึ่ง
พ่อของเฉียวซือเกณฑ์ทหารอยู่ในกองทัพ ในวันที่เขาออกไปทำภารกิจ ก็ได้เสียชีวิตในหน้าที่การงานแล้ว
ส่วนแม่ของเขา ในตอนที่เขาสองขวบก็ได้หย่ากับพ่อของเขา แล้วแต่งงานกับคนอิตาลี สองปีมานี้ไม่เคยติดต่อมาเลย
ทางด้านโรงเรียนอนุบาลเพิ่งจะรู้ข่าวนี้ในตอนกลางคืน ตอนนี้เฉียวซือได้หลับไปแล้ว ดังนั้นคุณครูยังไม่บอกฝันร้ายนี้กับเขา
เช้าวันต่อมา โอหยางจวิ้นมารับหวันหว่านแต่เช้า
เขาเห็นหวันหว่านกับเฉียวซือออกมาด้วยกัน ทั้งสองโบกมือลากัน จู่ ๆ ก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงหันมาพูดเสียงเบากับหวันหว่าน “หวันหว่าน พ่อของเฉียวซือเพื่อนสนิทของหนูเสียชีวิตในหน้าที่การงานแล้ว ในครอบครัวเหลือเขาเพียงคนเดียวแล้ว กองทัพอาจจะมารับเลี้ยงเขา”
หวันหว่านตะลึง ตอบสนองอยู่หลายวินาที ถึงได้ถามขึ้น “ไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่เลยเหรอคะ?”
โอหยางจวิ้นพยักหน้า “แม่ของเขาไม่รู้ไปไหนหลายปีแล้ว พ่อของเขาเสียชีวิต จะกลับมามีชีวิตไม่ได้อีกแล้ว”
สาวน้อยน้ำตาคลอเบ้าในทันที เธอหันไปมองเฉียวซือที่ยังยิ้มให้เธออย่างสดใส จู่ ๆ ก็ใจสั่น “อาจวิ้น พวกเราให้เฉียวซือกลับไปที่เพอร์เซลล์พร้อมกับพวกเราได้ไหมคะ? ในกองทัพมีแต่คนที่เขาไม่รู้จัก เขาจะรู้สึกกลัว!”
โอหยางจวิ้นคิดไม่ถึงว่าหวันหว่านจะขอความต้องการแบบนี้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้น “หวันหว่าน หนูจริงจังไหม? ถ้าหากเขาไปที่เพอร์เซลล์ ต่อไปหนูต้องรับผิดชอบชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต พวกเราจะทิ้งเขากลางคันไม่ได้”
หวันหว่านพยักหน้า “เขาคือเพื่อนรักของหนู หนูไม่อยากให้เขาตัวคนเดียว”
“ก็ได้ วั้นหนูรอก่อน อาไปคุยกับคุณครู แล้วค่อยโทรหาผู้รับผิดชอบของฝ่ายทหาร” ขณะที่โอหยางจวิ้นพูด ก็วางหวันหว่านลง
หวันหว่านรีบวิ่งไปด้านหน้าเฉียวซือ อยากจะพูดปลอบใจเขา แต่ว่าเมื่อคิดได้ว่าพ่อแม่ของเขาไม่อยู่แล้ว ตัวเองก็เสียใจก่อนแล้ว น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลออกมา
เฉียวซือเห็นหวันหว่านร้องไห้ จึงรีบพูดปลอบ “หวันหว่าน เป็นอะไรเหรอ?”
ขณะที่พูด เขายื่นมาออกมา จะช่วยเธอเช็ดน้ำตา
หวันหว่านมองดูเฉียวซือที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น น้ำตาไหลออกมาเยอะยิ่งกว่าเดิม
“หวันหว่าน ไม่ร้อง อาของเธอมารับเธอแล้วไม่ใช่เหรอ?” เฉียวซือเห็นหวันหว่านร้องไห้ จึงพูดขึ้น “พวกเราคุยกันไว้แล้ว ว่าจะเป็นเด็กชายเข้มแข็ง ทำไมเธอถึงร้องไห้เหมือนผู้หญิง?”
หวันหว่านสูดจมูกไม่ให้ร้องไห้แล้ว ถึงได้มองเฉียวซือ แล้วทำท่าทางใส่เขา “งั้นนายก็ห้ามร้อง!”
เฉียวซือมองเธออย่างงุนงง “ทำไมฉันต้องร้องไห้ ฉันเข้มแข็งมากนะ!”
ตอนนี้เองโอหยางจวิ้นได้คุยกับคุณครูแล้ว แล้วก็โทรหาฝ่ายทหารเรียบร้อยแล้ว ด้านนู้นบอกว่าเพียงแค่เฉียวซือตกลง ก็ให้เขาไปที่เพอร์เซลล์
เขาจึงเดินเข้ามา พูดกับเฉียวซือ “เฉียวซือ ที่บ้านนายมีเรื่องนิดหน่อย วันนี้ไม่มีคนมารับนายแล้ว ไม่อย่างงั้นไปที่เพอร์เซลล์กับฉันก่อน?”
หวันหว่านได้ยิน ก็รีบทำท่าทาง “เฉียวซือ พวกเราไปเล่นด้วยกันนะ?”
หนุ่มน้อยอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าพูดกับโอหยางจวิ้น “ที่บ้านผมทำไมเหรอครับ? ก่อนหน้านี้พ่อของผมบอกไว้แล้วว่าจะมารับผม”
โอหยางจวิ้นมองดวงตาสดใสของหนุ่มน้อย อดใจไม่ได้นิดหน่อย “ฉันพานายไปดูเขานะ!”
เฉียวซือฟังน้ำเสียงที่ผิดปกติของเขาออก ในใจรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี แต่ว่าเด็กน้อยจะคิดเยอะขนาดนั้นได้ยังไง?
เขาคิดเพียงว่า แม่ของเขาไม่ต้องการเขากับพ่อก็เลยจากไป หรือว่าพ่อก็ไม่ต้องเขาแล้ว?
แต่ว่า เขาเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งและเป็นเด็กดี พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่ต้องการตัวเองหรอกนะ?
นั่งบนรถของโอหยางจวิ้น เป็นครั้งแรกที่เด็กสองคนเงียบขรึม
ผ่านไปไม่นาน โอหยางจวิ้นพาเฉียวซือไปที่เขตทหาร
เมื่อก่อนเฉียวซือเคยมากับพ่อ พ่อของเขาเป็นพันโท เพราะว่าชอบช่วยเหลือคน ในกองทัพมนุษยสัมพันธ์ดีมาตลอด
ทั้งสามเดินเข้าไปข้างในพร้อมกัน มีคนเข้ามาทักทายโอหยางจวิ้น แล้วพาพวกเขาไปที่ห้องโถงใหญ่
ตอนนี้งานไว้อาลัยพ่อของเฉียวซือได้เริ่มขึ้นแล้ว
ในห้องโถงเงียบสงัดมา มีความเศร้าโศกปกคลุมหัวใจของทุกคน
หัวหน้า เพื่อนร่วมรบ และลูกน้องของพ่อของเฉียวซือ เดินเข้าไปคำนับไว้อาลัยหน้าภาพศพตามลำดับ
ในตอนที่เฉียวซือจูงมือหวันหว่านเข้าไป เห็นรูปถ่ายของพ่อติดอยู่ในกรอบรูป ด้านบนยังมีดอกไม้สีขาว
เขายืนตะลึงอยู่ตรงนั้น สมองว่างเปล่าอยู่พักใหญ่
เหมือนผ่านไปนานมาก เขาถึงนึกได้ ว่าตัวเองเคยเข้าร่วมงานรำลึกแบบนี้ เหมือนกับเป็นคนที่ตายแล้ว จะถูกวางไว้ในกรอบรูปแบบนี้
หลาย ๆ คนเห็นการมาถึงของพวกเขา จึงค่อย ๆ หันหน้ามา มองเด็กชายที่ใบหน้าคลับคล้ายกับคนในกรอบรูป ก็รู้ถึงสถานะของเขาในทันที!
“อาจวิ้น นี่ทำอะไรกันอยู่ครับ?” เฉียวซือมองด้านใน ในใจมีความรู้สึกที่สับสน แต่กลับไปกล้าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
โอหยางจวิ้นรู้สึกโหดร้ายอีกครั้ง แต่ว่าบางอย่าง กลับให้เจ้าตัวไม่เผชิญหน้าด้วยตนเองไม่ได้
เขาชี้ไปที่โลงศพ แล้วพูดขึ้น “เฉียวซือ ไปดูหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ!”
ขณะที่พูด เขาก็อุ้มเฉียวซือขึ้น พาเขาเดินเข้าไปตรงกลาง
ใบหน้าที่สดใสในความทรงจำ ถูกแทนที่ด้วยการนอนหลับไม่ตื่น
เฉียวซือไม่ได้ออกเสียงใด ๆ สักนิด เพียงแค่จ้องมองไปที่พ่อที่ถูกล็อกอยู่ในโลงศพ
โอหยางจวิ้นยื่นมือออกไปลูบหลังเขาเบา ๆ “อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ!”
เสียงร้องขาดใจของเด็กน้อยก็ดังขึ้นในทันที เสียงดังกังวานทั่วทั้งห้องโถง ส่วนพ่อของเขาที่ทำคุณงามความดี ไม่มีทางลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว
หวันหว่านยื่นมือออกมา จับมือของเฉียวซือไว้ เธออยากพูดปลอบใจเขา แต่ว่าเธอส่งเสียงออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงทำท่าทางกับเขาไม่หยุด
เฉียวซือ ต่อไปให้พวกเราดูแลนาย
วันนั้นเฉียวซือร้องจนแทบจะเป็นลมไป สุดท้ายก็ถูกโอหยางจวิ้นอุ้มขึ้นรถไปได้ไม่นานก็หลับไป
คืนนั้นเขามาที่ตระกูลเพอร์เซลล์ที่มีชื่อเสียงแต่กลับไม่คุ้นเคยเป็นครั้งแรก เขาอยู่ห้องข้าง ๆ หวันหว่าน
ผ่านไปสองวัน ก็จะเป็นงานหมั้นของโอหยางจวิ้นและมู่ยวี๋ฮั่นแล้ว ส่วนสถานที่งานหมั้น จัดขึ้นที่คฤหาสน์ข้างริมแม่น้ำของตระกูลเพอร์เซลล์
งานหมั้นของโอหยางจวิ้น หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินก็มาด้วย แล้วก็พาสือจิ่งเหยียนมาด้วย ถือโอกาสนี้รวมตัวครอบครัวกัน
วันนั้นหวันหว่านตื่นมากำลังล้างหน้าแปรงฟัน ก็ได้ยินเสียงของสือจิ่งเหยียน ดวงตาเป็นประกายในทันที ไม่ได้เช็ดหน้าก็วิ่งออกมาในทันที