ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 112 ตัดใจไม่ลง
ตอนที่ 112 ตัดใจไม่ลง
ห้าพันตำลึงหาใช่เงินจำนวนน้อยสำหรับจวนฉางชุนโหว แม้จะไม่ถึงขั้นทำลายรากฐาน แต่ก็เพียงพอให้สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด
ฉางชุนโหวพาสวี่ชีกลับมาที่จวน ในใจทั้งเจ็บปวดและเดือดดาล รอกระทั่งถึงเวลาพักผ่อนในยามค่ำกับหยางซื่อก็อดระบายโทสะออกมาไม่ได้
“คุณหนูลั่วพาชีเอ๋อร์มาถึงหน้าประตูจวนแล้ว เหตุใดเจ้าไม่ออกไป”
หยางซื่อเองก็อารมณ์ไม่ดีเช่นกัน
นางมีฐานะเป็นนายหญิงของเรือน เมื่อทราบว่าฉางชุนโหวต้องสูญเสียเงินห้าพันตำลึงภายในเวลาชั่วขณะก็เจ็บปวดใจยิ่งกว่า
แต่แม้จะอารมณ์ไม่ดีเพียงใด ก็ยังอดทนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุรุษผู้เป็นนายท่านใหญ่ของตระกูล
หยางซื่อหลุบนัยน์ตาลงเพื่อข่มกลั้นความโมโห กล่าวเสียงหวาน “ข้าไหนเลยจะคิดว่าคุณหนูลั่วเป็นคนป่าเถื่อนเช่นนั้น ก็เลยให้ผู้ดูแลพาบ่าวจำนวนหนึ่งไปรับหน้า เหตุใดข้าต้องออกไปรับคำวิพากษ์จากคนที่ต้องการรับชมเพียงเรื่องสนุกด้วยเล่า…”
ไหนเลยที่ครานี้ความอ่อนหวานของหยางซื่อจะใช้การได้
อย่างไรเสียก็เป็นเงินถึงห้าพันตำลึง
“หากเปลี่ยนเป็นพวกหนานเอ๋อร์ เจ้าจะไม่ออกไปหรือ” ฉางชุนโหวเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หากนางออกไปตั้งแต่ตอนนั้น คุณหนูลั่วยังจะสามารถหาข้ออ้างใดมาพาชีเอ๋อร์กลับไปจวนแม่ทัพใหญ่อีก หากชีเอ๋อร์ไม่โดนคุณหนูลั่วพาตัวไปแล้วเขาจะสูญเสียเงินถึงห้าพันตำลึงเพื่อไถ่คนกลับมาได้อย่างไรกัน
ดวงตาของหยางซื่อพลันเบิกกว้าง “พี่ชาย ท่านหาว่าข้าลำเอียงอย่างนั้นหรือ”
หลายปีที่ผ่านมา ฉางชุนโหวเพียงบอกกล่าวว่านางจิตใจมีเมตตาคุณธรรม ปฏิบัติต่อลูกเลี้ยงและลูกของตนอย่างเท่าเทียม ไหนเลยจะเคยตำหนินางเช่นนี้
ไม่คิดเลยว่าคุณหนูลั่วจะสร้างความวุ่นวาย สุมไฟแค้นไว้บนศีรษะจนนางเกิดโทสะถึงเพียงนี้
“อย่าเอ่ยว่าลำเอียงหรือไม่ลำเอียงก่อนเลย เพราะเจ้าไม่ยอมไปที่นั่น ทำให้คนจับจุดอ่อนได้ในที่สุด” ฉางชุนโหวน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
ครั้งนี้ การเรียกว่าพี่ชายไม่เป็นผลอีกแล้ว
แม้หยางซื่อจะแต่งเข้ามาหลังจากภรรยาเอกเสียไป แต่หากไม่นับช่วงสองปีแรกที่เพิ่งแต่งงานกับฉางชุนโหวและระมัดระวังจนไม่กล้าทำสิ่งใดแล้ว หลังจากนั้นก็เรียกได้ว่าใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีกินดี
หลายปีที่ผ่านมานางได้รับการปกป้องจากแม่สามี ได้รับความรักจากสามี และได้รับการเคารพจากบ่าวไพร่ ความสุภาพอ่อนโยนเป็นเพียงหน้ากากที่นางสวมไว้จนคุ้นชิน ในความเป็นจริงหากเทียบกับเมื่อสิบปีก่อนลูกพี่ลูกน้องหญิงผู้แสนอ่อนหวานคนนั้นก็ได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนแล้ว
หลังจากถูกฉางชุนโหวตำหนิซ้ำแล้วซ้ำเล่า กอปรกับความเจ็บใจกับเงินห้าพันตำลึงที่ฉางชุนโหวต้องจ่ายไปด้วยปลายพู่กัน ความโกรธแค้นของหยางซื่อก็ไม่สามารถข่มกลั้นได้อีกต่อไป
“ข้ารู้ว่าการเป็นมารดาเลี้ยงนั้นยากลำบาก หลายปีมานี้ข้าปฏิบัติต่อชีเอ๋อร์ดีกว่าหนานเอ๋อร์เสียอีก ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายนายท่านโหวจะคิดว่าข้าลำเอียง…”
ฉางชุนโหวหยัดกายขึ้น ใบหน้าเคร่งขรึม “วันนี้ข้าไม่อยากได้ยินเรื่องนี้แล้ว เจ้าไปนอนก่อนเถอะ”
เห็นว่าเขาสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป หยางซื่อก็ชะงักไปครู่หนึ่ง กระทั่งเห็นว่าคนเดินไปจะถึงประตูแล้วจึงได้สติกลับมา
“พี่ชาย ดึกขนาดนี้แล้วท่านจะไปไหน”
ฉางชุนโหวเปิดประตู ไม่หันกลับมามอง “ข้าจะไปที่เรือนของชุ่ยเหนียงสักหน่อย”
ดวงตาเบิกกว้างมองฉางชุนโหวเปิดประตูออกไป เสียงฝีเท้าค่อยๆ จางหายไป หยางซื่อก็กัดฟันกรอดจนฟันแทบหัก
ร้ายดีอย่างไรนางก็เป็นภรรยาเอกของท่านโหว แต่หลังจากการทะเลาะกันเพียงสองประโยค เขาก็สะบัดหน้าหนีไปยังเรือนของอนุภรรยา!
หยางซื่อกลับมาที่เตียงแล้วนั่งลง พิงร่างกับฉากกันลมตัวสั่นด้วยความโกรธ
นางต่างไปจากท่านหญิงหวาหยาง และรู้อย่างลึกซึ้งด้วยว่าพี่ชายไม่พอใจอะไรในตัวท่านหญิงหวาหยางมากที่สุด
ดังนั้น หลังจากที่นางแต่งเข้ามาแล้วก็ยินดีมอบสาวใช้ที่แต่งเข้ามาด้วยให้เป็นสาวใช้อุ่นเตียงกับพี่ชาย
ต่อมา เมื่อพี่ชายกลายเป็นท่านโหวก็มีคนมอบอนุหน้าตางดงามให้เป็นของกำนัล ด้วยเกรงว่าจะมีใครสักคนจากภายนอกมาเอาชนะใจของพี่ชายเข้า นางจึงเริ่มส่งหญิงงามให้เขาด้วยตนเอง
คืนวันผ่านไปก็มีอนุภรรยาอยู่ในเรือนด้วยกันสี่คน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยสาวใช้อุ่นเตียง
นางไม่เคยเสียใจเลย แม้ว่าพี่ชายจะมีหญิงสาวมากมาย หากแต่นางก็ยังเป็นผู้ที่เขารักมากที่สุดและใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วย
ทว่าวันนี้ หยางซื่อกลับหงุดหงิดมากจนหายใจไม่ออก
นางเป็นภรรยาของพี่ชายที่แต่งงานด้วยอย่างถูกหลักทำนองคลองธรรม มิใช่อนุภรรยาพวกนั้น หรือว่าไร้สิทธิ์ไร้เสียงจะเอ่ยโต้แย้งแม้แต่ประโยคเดียว ต้องอยู่อย่างเงียบเชียบไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ
ความอ้างว้างยามค่ำคืนอันยาวนาน หยางซื่อไม่อาจข่มตาหลับได้ในคืนนี้ อารมณ์หลากหลายถาโถมเข้ามาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เมื่อเทียบกับความหม่นหมองของจวนฉางชุนโหวแล้ว เสียนอวิ๋นย่วนที่ปกคลุมไปด้วยยามค่ำคืนกลับดูผ่อนคลายเช่นเดียวกับชื่อของมัน
โค่วเอ๋อร์ช่วยลั่วเซิงปลดปิ่นออก ปากก็เอ่ยถึงเรื่องราวในตอนกลางวัน “คุณหนูเก่งกาจในการหาเงินจริงๆ เจ้าค่ะ”
หงโต้วพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน โค่วเอ๋อร์ เจ้าไม่ได้เห็นท่าทางนุ่มนวลอ่อนแอของฉางชุนโหวนั่น มองแวบแรกก็ดูออกแล้วว่าข้างในมิใช่เช่นนั้น ยอมเก็บกลั้นน้ำเสียไว้เต็มท้อง”
โค่วเอ๋อร์ได้ยินก็โต้แย้ง “อ่อนแอนุ่มนวลแล้วอย่างไรเล่า ท่าทางเช่นนั้นทำให้ใครขุ่นเคืองหรือ หงโต้ว ข้าบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้วว่าเจ้าไม่อาจตัดสินคนจากรูปลักษณ์ได้น่ะ…”
“เอาล่ะ หยุดบ่นได้แล้ว ข้าไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเจ้าเลย เจ้านุ่มนวลอ่อนแอมากจริงๆ กระมัง ฉางชุนโหวฮูหยินน่ะมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนใจดำเช่นหินที่มีตะไคร่น้ำเน่าๆ คอยปกคลุม นางเพียงแสร้งทำเป็นคนดีเท่านั้น”
โค่วเอ๋อร์พอใจแล้วก็ลูบกลุ่มผมของลั่วเซิง “คุณหนูไม่ชอบฉางชุนโหวฮูหยินหรือเจ้าคะ”
“อืม”
“บ่าวได้ยินมาว่า ฉางชุนโหวรักฮูหยินของเขามาก สามีภรรยาทั้งสองไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกัน”
“ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วล่ะ” ลั่วเซิงลืมตาขึ้นเล็กน้อย มองหญิงสาวผมยาวสยายที่กำลังหวีผมในกระจกแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“ตรงไหนไม่เหมือนเดิมหรือเจ้าคะ” โค่วเอ๋อร์ซักถามต่อ
มุมปากของหญิงสาวในกระจกกระตุกยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความเย็นชา “เพราะเงินห้าพันตำลึงอย่างไรเล่า”
ยามปกติที่ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ก็ย่อมเจ้าดีข้าดี สามีภรรยาเคารพให้เกียรติกัน
เงินห้าพันตำลึงสำหรับคุณหนูลั่วที่เห็นไข่มุกราวกับกรวดหินแล้วนับว่าไม่ใช่สิ่งใด แต่ก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยสำหรับครอบครัวอื่น
นางรีดไถเงินเงินห้าพันตำลึงจากฉางชุนโหว ซึ่งเทียบเท่ากับกัดเนื้อของเขาชิ้นหนึ่ง
เมื่อสัมผัสถึงความเจ็บปวดแล้ว ย่อมต้องเกิดความโกรธแค้น
เมื่อไฟโทสะลุกโหม แน่นอนว่าต้องหาคนมาระบาย
นึกถึงจวนฉางชุนโหว ลั่วเซิงก็อดคิดถึงสวี่ชีไม่ได้ เมื่อคิดถึงเขา อารมณ์ของนางก็จมดิ่งลงหลายส่วน
รอยยิ้มของหญิงสาวในกระจกจางหายไป ดวงตาลึกล้ำ
นางไม่ได้คาดหวังว่าหลานชายตัวน้อยจะต้องเติบโตมาเป็นคนเก่งกล้าสามารถ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรดำรังชีวิตด้วยความสับสนงุนงง
โชคดีที่ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ
ไม่กี่วันต่อมา ลั่วเซิงก็พาหงโต้วและคนอื่นๆ ออกไปยังหอสุราที่ด้านหน้าดัดแปลงมาจากร้านเครื่องประทินโฉมเพื่อตรวจสอบสถานการณ์
ลั่วเซิงค่อนข้างพออใจกับหอสุราที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ด้านคุณชายสามเซิ่งก็ตื่นเต้นยิ่งกว่าเก่า
“น้องหญิง หอสุราใกล้จะเปิดแล้วใช่หรือไม่”
“ยังต้องรออีกสักระยะ”
คุณชายสามเซิ่งหันมองไปรอบๆ ใบหน้าฉายแววงุนงง “เหตุใดต้องรออีกเล่า ข้าดูไปก็เกือบจะเสร็จหมดแล้วนี่นา”
แม้เขาจะรอได้ แต่ความตะกละของเขายามนี้แทบจะรอไม่ไหวแล้ว
“ข้าหมักสุราไว้หลายไห ต้องรออีกพักหนึ่งจึงจะได้ที่”
“น้องหญิงหมักสุราเป็นด้วยหรือ” คุณชายสามเซิ่งได้ยิน ดวงตาก็ทอประกาย
บุรุษใดเล่าจะดื่มไม่เก่ง!
เพื่อสุราไม่กี่ไห น้องหญิงถึงกับยอมเลื่อนระยะเวลาการเปิดร้านออกไปอีกพักหนึ่ง สุรานี้ย่อมรสชาติดีแน่นอน
มองดวงตาทอประกายด้วยความหวังของคุณชายสามเซิ่ง ลั่วเซิงก็คลี่ยิ้ม “หอสุราไหนเลยจะไร้สุรา”
คุณชายสามเซิ่งปรบมือตื่นเต้น “ใช่ หอสุราไหนเลยจะไร้สุรา เช่นนั้นหอสุราของพวกเราจะเปิดทำการเมื่อใดหรือ”
หงโต้วอดเอ่ยขัดไม่ได้ “คุณชายเจ้าคะ ท่านเป็นเพียงเสี่ยวเอ้อร์”
กระจ่างชัดว่านี่เป็นหอสุราของคุณหนู จะมาบอกว่าเป็นร้านของพวกเราได้อย่างไรเล่า
คุณชายสามเซิ่งหาได้ใส่ใจวาจาไร้สาระของสาวใช้ไม่ ยังคงไม่ลดละให้ลั่วเซิงตอบในสิ่งที่ตนใคร่รู้
“วันที่แปดเดือนหน้ากระมัง”
วันที่แปดเดือนหน้าหรือ
คุณชายสามเซิ่งรีบยกมือขึ้นนับนิ้ว
วันเวลาผ่านไปราวกับเป็นปี เขาต้องคำนวณว่าต้องรอกี่ปีจึงจะได้กินอาหารน้องหญิงเป็นคนทำ
“ขอถามท่านคือคุณหนูลั่วใช่หรือไม่” เมื่อพวกลั่วเซิงเดินออกมาจากหอสุรา หญิงสาวที่แต่งกายคล้ายสาวใช้ก็เดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ใช่ ข้าเอง”
สาวใช้พลันคุกเข่าลง “คุณหนูของข้าอยู่ที่โรงน้ำชาตรงข้าม อยากจะเชิญท่านไปดื่มชาสักจอกเจ้าค่ะ”