ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 117 มีเพียงหัวหมูย่าง
ตอนที่ 117 มีเพียงหัวหมูย่าง
ค่ำคืนเหน็บหนาว จันทร์เสี้ยวลอยสูง
ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งมองไปรอบด้านท่าทางลับๆ ล่อๆ
ค่ำคืนเดือนห้าเป็นช่วงเวลาอันดีที่ผู้คนในเมืองหลวงจะได้สนุกสนาน ยิ่งมิต้องกล่าวถึงถนนชิงซิ่งที่แสนจะคึกคักครื้นเครง
บนถนนใหญ่ผู้คนยังคงเดินออกมากันอย่างขวักไขว่ ธงผ้าหอสุราพลิ้วสะบัด
แผงขายแผ่นแป้งกรอบ ไส้กรอกต้ม เกี๊ยวทอด กระทั่งแผงขายบะหมี่เย็นไหซู่ก็ยังมีคนนั่งกันอยู่หนาแน่น
ชายฉกรรจ์เดินผ่านร้านเหล่านั้นแล้วหยุดเท้าด้านหน้าหอสุราแห่งหนึ่ง
หอสุราแห่งนี้แตกต่างออกไป บานประตูแม้แต่นกกระจอกสักตัวก็ไม่มี
นึกถึงคำบอกใบ้อันอ่อนหวานของผู้ดูแลหญิงกิริยางามชดช้อยเมื่อตอนกลางวัน ชายฉกรรจ์ก็ผุดยิ้มจาง เดินหน้าเชิดคอตั้งเข้าไปด้านใน
หึหึ เขาตั้งใจนำเงินมาให้เพียงพอเพื่อการนี้!
ยังไม่ทันเดินพ้นประตู ชายฉกรรจ์ก็ได้กลิ่นหอมประหลาดสายหนึ่งลอยออกมา
คุณพระ นี่มันกลิ่นหอมอะไรกัน
ชายฉกรรจ์ลนลานรีบเข้าไป ก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นฉากในโถงใหญ่
โต๊ะตัวหนึ่ง มีคนสามคน
มีถาดไม้ยาววางอยู่เบื้องหน้าของแต่ละคน หากแต่ก็มองไม่ชัดว่ากองที่อยู่บนไม้นั้นคือเนื้ออะไร
แต่เขารู้ว่า นั่นคือที่มาของกลิ่นหอมของเนื้อที่เขาได้กลิ่นตั้งแต่ยืนอยู่หน้าประตู!
หากแต่สิ่งที่ทำให้เขางงงันยิ่งกว่าหาใช่สิ่งนี้ไม่
กระจ่างชัดว่าคนทั้งสามนั่งอยู่ด้วยกัน แต่กลับไม่พูดจา ไม่รินสุรา ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินเนื้อคำหนึ่ง จิบสุราอึกหนึ่งแล้วกินเนื้อคำหนึ่ง จิบสุราอีกคำหนึ่ง กิริยาท่าทางยังฉับไวยิ่ง
หากทั่วทั้งห้องโถงมิได้มีเพียงลูกค้าเพียงโต๊ะเดียวเช่นนี้ เขาคงคิดว่าคนทั้งสามมิได้มาด้วยกัน
สิ่งที่แปลกยิ่งกว่าคือรอบคนทั้งสามยังมีเสี่ยวเอ้อร์ที่เป็นชายหนุ่มสองคนและเสี่ยวเอ้อร์ที่เป็นหญิงอีกหนึ่ง ยืนเฝ้ามองลูกค้าทั้งสามกินอย่างตั้งอกตั้งใจ
ความคิดแรกแวบเข้ามาในหัวของชายฉกรรจ์ หรือลูกค้าคนหนึ่งคนจะมีเสี่ยวเอ้อร์หนึ่งคนคอยปรนนิบัติ
ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา เสี่ยวเอ้อร์ทั้งสามก็พยายามอย่างยิ่งที่จะละสายตาออกมาจากโต๊ะอาหารเพื่อหันมอง ใบหน้าคล้ายกำลังต่อสู้ดิ้นรน
จะเดินออกไปก็อาลัยอาวรณ์ ไม่ออกไปต้อนรับลูกค้าก็ไม่เหมาะสมอีก
โค่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างลั่วเซิงส่ายหน้าระอา ก่อนจะเดินออกไปด้วยฝีเท้าฉับไว้ “ลูกค้าท่านนี้ เชิญด้านนี้เจ้าค่ะ”
เห็นแล้วว่าไม่อาจพึ่งพาพวกหงโต้วกับคนที่เหลือได้ ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่นางแล้ว
เมื่อเห็นสตรีร่างอรชรหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ชายฉกรรจ์จึงได้สติในทันที ดวงตาทอประกาย
เขาผิดแล้ว เมื่อครู่เขาสงสัยว่าสถานที่แห่งนี้เป็นหอสุราจริงหรือไม่
เสี่ยวเอ้อร์แต่ละคนหน้าตางดงามเช่นนี้ จะเป็นเพียงหอสุราได้อย่างไรกัน!
โค่วเอ๋อร์นำทางลูกค้าผู้มีสีหน้าแปลกประหลาดคนนี้มายังโต๊ะตัวหนึ่ง แย้มยิ้มสดใสราวบุปผา เอ่ยถาม “มิทราบว่าลูกค้าอยากรับประทานอะไรหรือเจ้าคะ”
ชายฉกรรจ์อดเหลือบมองไปทางโต๊ะอีกด้านมิได้ เอ่ยถาม “พวกเขากินอะไร”
“หัวหมูย่างเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเอาหัวหมูย่างนี้มาให้ข้าหนึ่งจาน”
ดูน่าอร่อยดี อีกอย่างหากคิดจะไปยังสถานที่สีระยิบระยับเช่นนั้นแล้วก็ไม่อาจนอนเฉยๆ ได้กระมัง
ต้องกินอะไรสักนิดก่อน ดื่มอะไรสักนิดก่อน…
“หัวหมูย่างทั้งหัวจานหนึ่งราคาหนึ่งร้อยตำลึงเจ้าค่ะ” โค่วเอ๋อร์บอกราคาตามหน้าที่ก่อน รู้สึกว่ากริยาท่าทางของลูกค้ารายใหม่ประหลาดยิ่ง
ฉับพลันน้ำเสียงของชายฉกรรจ์ก็สั่นไหว “หนึ่ง หนึ่งร้อยตำลึง”
เช่นเดียวกับพวกลูกค้าที่เข้ามาแล้วตกใจกลัวจนหนีไปก่อน เขาตบโต๊ะหยัดกายลุกขึ้น เอ่ยเสียงกร้าว “พวกเจ้าจะปล้นกันหรืออย่างไร”
คนทั้งสามที่ก้มหน้าก้มตาง่วนกับการกินเงยหน้าขึ้นมา
เว่ยหานใช้โอกาสนี้หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวหิมะออกมา ซับลงบนมุมปากด้วยท่วงท่ากริยางดงาม
ราคาหนึ่งร้อยตำลึงเงินต่อหัวหมูย่างหนึ่งจานนี่จะเรียกว่าปล้นได้อย่างไร
เช่นนั้นบะหมี่ผัดเครื่องหนึ่งชามที่ราคาหนึ่งร้อยตำลึงจะเรียกว่าอะไรเล่า
เขาอดมองไปทางหญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากตู้คิดเงินมิได้ สีหน้ายากจะพรรณนา
ลั่วเซิงสัมผัสได้ถึงสายตาของเว่ยหานที่มองมาอย่างประเมินก็ไม่สนใจเขา
นางมานั่งอยู่ที่นี่แน่นอนว่ามิใช่เพื่อให้ลูกค้าคนใดมาสนใจและมิใช่เพราะเบื่อจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วจนต้องมาฆ่าเวลา
หากแต่ต้องการให้มีหอสุราแห่งนี้คุ้นเคยกับการปรากฏตัวของคุณหนูลั่วเท่านั้น
ด้วยวิธีนี้ เมื่อกำจัดผิงหนานอ๋องในตอนที่เขาปรากฏตัวยังหอสุราได้แล้วก็จะไม่ผิดสังเกต
มีหอสุราแห่งนี้ เปิดขึ้นเพื่อผิงหนานอ๋องโดยเฉพาะ
เว่ยหานดึงสายตากลับมาเงียบๆ แล้วยกสุราขึ้นจิบ
หัวหมูย่างคู่กับสุรานั้นให้ความรู้สึกราวกับของเหลวที่เผาไหม้ พอเข้าลำคอก็รู้สึกร้อนราวกับไฟเผา แต่มิได้แสบคอ กระทั่งกลืนลงไปแล้วยังมีรสเย็นค้างอยู่ในท้อง เหมาะสำหรับค่ำคืนในฤดูร้อนนัก
รสชาติที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงผสมผสานกันอย่างลงตัว ทำให้สุรานี้ไม่เหมือนสุราใดในใต้หล้า
สุราหนึ่งกาสามสิบตำลึงเงิน แท้จริงแล้วถูกยิ่ง
สายตาของเว่ยหานทอดมองไปทางหญิงสาวที่หมักสุราได้เลิศรส ทั้งยังสามารถทำอาหารได้อร่อยล้ำเช่นนี้อีกครา
ในที่สุด เขาก็ทนไม่ได้อีกแล้ว
เคราของเสนาบดีจ้าวย้อมไปด้วยน้ำราดสีแดง เมื่อครู่เขาได้ยินที่โค่วเอ๋อร์ชี้แจงราคาไม่ชัดนัก ปากที่เคี้ยวเนื้อหนุบหนับอยู่นั้นจึงเอ่ยถามหลินเถิง “เกิดอะไรขึ้นรึ”
หลินเถิงกลับได้ยินกระช่างชัด มีดที่หั่นหัวหมูย่างอยู่พลันสั่นไหวหลายส่วน พยายามที่จะหั่นเนื้อต่อไป
หนึ่ง หนึ่ง หนึ่งร้อยตำลึง!
นี่มันหัวหมูย่างที่แพงที่สุดในชีวิตที่เขาเคยกิน!
กระนั้น ยังเป็นหัวหมูย่างที่กินแล้วอร่อยที่สุดอีกด้วย…
หลินเถิงตบตีกับตนเองอยู่ในใจ กล่าวตอบเสียงสงบ “ข้าน้อยเองก็ฟังไม่กระจ่างชัดขอรับ ไม่คิดเลยว่าใต้เท้าจะชวนข้าน้อยมากินอาหารที่อร่อยเช่นนี้ ข้าน้อยขอดื่มคารวะท่าน”
หัวหมูย่างหนึ่งหัวราคาหนึ่งร้อยตำลึง ใต้เท้าจ้าวเลี้ยง…
เขามิได้มีเจตนาอื่น ยามนี้ใต้เท้าจ้าวกำลังเพลิดเพลินกับการกิน หากให้รู้ราคาตอนนี้อาจจะหมดอารมณ์ได้
เช่นนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตากินต่อเถอะ
หัวหมูย่างรสชาติอร่อย สุราก็รสชาติดี เมื่อเสนาบดีจ้าวเห็นหลินเถิงยกจอกสุรามาดื่มอวยพรเช่นนี้ ก็ยกแก้วขึ้นชนด้วยทันทีแล้วลืมเรื่องลูกค้าอีกคนในร้านไปโดยปริยาย
เขาเคยเห็นพวกคนจนไม่มีเงินกินดื่มที่กรีดร้องเรื่องไร้สาระมากมายแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
คุณชายสามเซิ่งฝีเท้าฉับไวเดินเข้ามา ใบหน้ามืดครึ้ม “ราคานี้ระบุไว้ชัดเจน ไม่หลอกลวงคนชราหรือทารก หากลูกค้าคิดว่าราคาสูงไป ก็มิต้องสั่ง”
โต๊ะของไคหยางอ๋องเพียงโต๊ะเดียว ตอนนี้มีจานหัวหมูย่างวางอยู่สามจานแล้ว ภาพนี้ทำให้เขาปวดใจนัก!
สื่อเยี่ยนเองก็เดินเข้าไปเช่นกัน ใบหน้าเย็นชาไม่เอ่ยวาจาใด
ด้วยรู้จักนายท่านดี อย่างน้อยจะต้องสั่งหัวหมูย่างเพิ่มอีกหนึ่งชุดแน่นอน
หากทุกอย่างขายหมดภายในเวลาปิดทำการ…แค่คิดถึงความเป็นไปได้นี้ องครักษ์ตัวน้อยก็รู้สึกราวกับหัวใจโดนกรีดแทง
ผู้ดูแลที่หลบอยู่หลังตู้คิดเงินเห็นฉากนี้เข้าก็ไร้เรี่ยวจะโต้แย้ง
นางต้องคิดให้รอบคอบก่อน มาดูกันว่าต่อจากนี้จะเป็นผู้ดูแลที่ดีได้อย่างไร
ชายฉกรรจ์มุ่งมาที่แห่งนี้เพื่อความสวยความงาม มิใช่มาเพื่อหาเรื่องทะเลาะวิวาท เมื่อเห็นเสี่ยวเอ้อร์รูปงามร่างกายสูงโปร่งสองคน เสียงก็พลันลดลงไปไม่น้อย
“ยังมีอาหารอย่างอื่นอีกหรือไม่”
หัวหมูย่างแพงเกินไป เช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเสียก็สิ้นเรื่อง
โค่วเอ๋อร์ยังคงแย้มรอยยิ้มสดใสดุจบุปผา “ยังมีหัวหมูย่างเจ้าค่ะ”
ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้ว “ข้าถามว่ายังมีอาหารอย่างอื่นอีกหรือไม่”
เหตุใดร้านค้าหน้าเลือดแห่งนี้ถึงได้แนะนำแต่ของแพงที่สุดให้ลูกค้ากันเล่า
ใบหน้าของโค่วเอ๋อร์ยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม กล่าวตอบ “อาหารอย่างอื่นก็คือหัวหมูย่างเจ้าค่ะ วันนี้อาหารที่เตรียมไว้ของหอสุราของพวกเรามีเพียงหัวหมูย่างเท่านั้น หากท่านเห็นลูกค้าโต๊ะนั้นแล้วก็จะทราบเจ้าค่ะ หัวหมูย่างของพวกเรารสชาติอร่อยยิ่ง ท่านเลือกมากเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ…”
มุมปากของชายฉกรรจ์กระตุก
เขาเลือกมากไปอย่างนั้นรึ
เขาแค่คิดว่ามันแพงเกินไป!
“เช่นนั้นเอาสุรามาหนึ่งกากับถั่วมาหนึ่งจาน”
“สุราหนึ่งการาคาสามสิบตำลึงเจ้าค่ะและมีเพียงหัวหมูย่าง” โค่วเอ๋อร์คิดว่าการเป็นเสี่ยวเอ้อร์นั้นดีมาก สามารถบอกกล่าวสถาณการณ์ให้ลูกค้าฟังได้อย่างรอบคอบ
ชายฉกรรจ์ตบโต๊ะอีกครา
สุราหนึ่งการาคาสามสิบตำลึงเงินอย่างนั้นรึ
หากเขามองมิผิด กาสุราที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ สูงเพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น!
ผู้ดูแลทนมองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ดันให้โค่วเอ๋อร์ออกไป
“หากลูกค้าคิดว่าราคาอาหารนี้ไม่เหมาะสม มิสู้ลองชิมบะหมี่หยางชุดสักชามดีหรือไม่เจ้าคะ อาหารนี้สามารถสั่งได้ ความจริงแล้วบะหมี่หยางชุนที่รสชาตินุ่มนวลไม่จัดจ้านชามหนึ่งดีต่อลำไส้และกระเพาะยิ่ง
“บะหมี่หยางชุนราคาห้าตำลึง” โค่วเอ๋อร์กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
นางมองออกแล้ว ที่แท้ก็ติว่าแพง
ชายฉกรรจ์อยากจะเอามือตบโต๊ะอีกครา แต่เมื่อเห็นสายตาดูหมิ่นของเสี่ยวเอ้อร์หน้าตาสะสวยคนนี้เข้าก็เดือดดาล
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกใหญ่ ตะโกนออกมาด้วยความกระตือรือร้นยิ่ง “เอาบะหมี่หยางชุนมาหนึ่งชาม!”
ก็แค่ห้าตำลึง เขามีจ่ายอยู่แล้ว!