ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 13 ความเป็นมา
ตอนที่ 13 ความเป็นมา
ความบังเอิญจำนวนมากบนโลกล้วนถูกกำหนดไว้แล้ว แน่นอนว่าลั่วเฉินไม่ได้ไปที่ทะเลสาบโดยไม่มีเหตุผล แต่เพราะพบกับหงโต้วเข้า
ในเวลานั้น หงโต้วกำลังเดินอย่างเร่งรีบและแสดงสีหน้าดุร้าย ลั่วเฉินกลัวว่าสาวใช้จะไปฉุดผู้ชายกลางตลาดมาให้นายหญิงของตนจึงขวางหงโต้วไว้และซักถาม
เมื่อได้ยินหงโต้วบอกว่าจะกลับเรือนเอาเมล็ดแตงให้คุณหนูที่นั่งรออยู่ริมทะเลสาบ ลั่วเฉินรู้สึกว่าเชื่อไม่ได้จึงไปที่ทะเลสาบอย่างไม่อาจควบคุมขาทั้งสองได้
เขาเห็นลั่วเซิงที่กำลังนั่งสัปงกอยู่ริมทะเลสาบ เขาถอนใจและกำลังจะหันหลังเดินจากไป
เขาไม่สนใจหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลั่วเซิง ขอเพียงอย่าก่อเรื่องทำให้เขาต้องอับอายขายหน้าก็พอ
แต่ในเวลานั้น ลั่วเฉินเห็นเซิ่งจยาหลานกำลังเดินไปที่ทะเลสาบแล้วเห็นลั่วเซิงที่กำลังงีบหลับถูกเซิ่งจยาหลานผลักลงน้ำ
หลังจากฟังลั่วเฉินพูดจบ ภายในห้องเงียบเสียจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เซิ่งจยาอวี้ก็ทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ลง
นางถลึงตามองเซิ่งจยาหลาน ใบหน้าสลักคำว่าเหลือเชื่อเอาไว้ “น้องหญิงรอง เจ้าเป็นคนผลักลั่วเซิงลงทะเลสาบจริงๆ หรือ”
เซิ่งจยาหลานไม่ตอบ นางป้องปากร้องไห้พลางส่ายศีรษะ ตุ้มหูไข่มุกข้างเดียวแกว่งไปมาขณะที่นางส่ายศีรษะและกระทบกับแก้มสีขาวซีดของนางเบาๆ
เซิ่งจยาอวี้ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก จึงเอ่ยเสียงดัง “ไม่ถูก!”
นางชี้ไปที่เซิ่งจยาหลานและเอ่ยด้วยน้ำเสียงลนลาน “น้องหญิงรองย้อนกลับไปหาตุ้มหูที่หล่นหาย หากคิดจะทำร้ายลั่วเซิงจริง จะมีเหตุบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร”
ลั่วเฉินคิ้วขมวดแน่น ดวงตาเผยให้เห็นความเฉียบคมของเด็กหนุ่ม “พี่หญิงใหญ่ไม่เชื่อข้าหรือ”
เซิ่งจยาอวี้กัดริมฝีปากด้วยความอึดอัด “ไม่ใช่ไม่เชื่อน้องชายนะ เพียงแต่เรื่องนี้ค่อนข้างแปลก อย่างไรก็ต้องสืบให้ชัดเจนก่อน ค่อยมาพูด…”
หงโต้วยิ้มเยาะ “คุณหนูใหญ่บัดนี้พูดว่าต้องชัดเจนก่อน แต่เมื่อครู่ท่านถลันเข้ามาบอกว่าคุณหนูของพวกข้าผลักน้องสาวท่านลงทะเลสาบ หรือว่าน้องสาวของท่านคือน้องรัก แต่พี่สาวของคนอื่นไม่ใช่พี่สาวอันเป็นที่รักหรืออย่างไร”
หลังจากได้ยินคำพูดเช่นนี้ ลั่วเฉินก็สีหน้ามืดมน รู้สึกโกรธขึ้นมา
ใครคือพี่สาวอันเป็นที่รัก สาวใช้ผู้นี้พูดจาเหลวไหล!
เสียงที่ค่อนข้างเย็นชาดังขึ้น “ในเมื่อน้องหญิงต้องการความชัดเจน ข้าก็จะเล่าให้กระจ่าง”
ลั่วเซิงเขยิบเข้าไปหาเซิ่งจยาอวี้และหยุดอยู่ตรงหน้านาง
เซิ่งจยาอวี้ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว “อยากจะพูดอะไร”
ลั่วเซิงยื่นนิ้วสองนิ้วออกไปและอธิบายเสียงแผ่วเบา “คนร้ายมีอยู่สองประเภท ประเภทหนึ่งคือลงมือกะทันหัน อีกประเภทคือลงมือโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เซิ่งจยาหลานอาจกลับมาหาตุ้มหูที่หล่นหายจริงๆ แต่เมื่อเห็นข้านั่งหลับอยู่ริมทะเลสาบ ความคิดชั่วร้ายจึงผุดขึ้นมาและผลักข้าลงทะเลสาบ หากเป็นเช่นนี้ การมาหาตุ้มหูจึงเรียกว่าเหตุบังเอิญไม่ได้ น้องหญิงคิดว่าที่ข้าพูดถูกหรือไม่”
แม้เซิ่งจยาอวี้จะไม่อยากไว้หน้าลั่วเซิงเพียงใด แต่นางก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจและถามอย่างไม่ยอมแพ้ “แล้ววางแผนล่วงหน้าล่ะ ตุ้มหูของน้องหญิงรองหล่นหายที่เรือนของท่านย่า ตอนตุ้มหูหล่นหาย นางไม่รู้ว่าเจ้างีบหลับอยู่ที่ริมทะเลสาบเสียหน่อย”
ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย
เซิ่งจยาอวี้ตกตะลึงโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าภาพลวงตาหรือไม่ ในความทรงจำของนาง ลั่วเซิงไม่ได้ยิ้มมานานแล้ว
ระหว่างที่เซิ่งจยาอวี้ตกตะลึงอยู่นั้น ลั่วเซิงยกมือเอื้อมไปที่หูของนาง
“เจ้าจะทำอะไร” เซิ่งจยาอวี้ก้าวถอยหลังและเอ่ยถามเสียงดุดัน แต่หัวใจกลับเต้นรัว
ด้วยนิสัยที่คาดเดาไม่ได้ของลั่วเซิง มิใช่จะกรีดหน้านางหรอกนะ
การเคลื่อนไหวของลั่วเซิงดึงดูดความสนใจจากทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย นางแบมือออกและบนฝ่ามือก็ปรากฏตุ้มหูลูกปัดหินปะการังสีแดง
คุณชายสี่เซิ่งตะโกน “พี่หญิงใหญ่ ตุ้มหูพี่หายไปข้างหนึ่ง!”
เซิ่งจยาอวี้ยกมือจับโดยไม่รู้ตัวและแน่นอนว่าหูข้างหนึ่งว่างเปล่า
“เจ้า เจ้าทำอะไรเนี่ย” เซิ่งจยาอวี้รู้สึกทั้งสับสนและโมโห
ลั่วเซิงไม่ตอบนาง แต่โยนตุ้มหูลูกปัดหินปะการังสีแดงทิ้งไป
ตุ้มหูขนาดเล็กตีเป็นเส้นโค้งอยู่กลางอากาศและตกลงใต้ฉากกั้นห้องที่ปักลายต้นสนและนกกระเรียนเพื่อช่วยส่งเสริมให้อายุยืนยาว
ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งเอ่ยว่า “เซิงเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำอะไร”
คุณชายใหญ่เซิ่งที่ยืนอยู่ตรงประตูห้อง ดวงตากะพริบเล็กน้อยและจดจ้องไปที่ลั่วเซิง
เขาพอคาดเดาความหมายที่น้องลั่วต้องการจะสื่อได้แล้ว น้องลั่วผู้นี้ดูฉลาดหลักแหลมกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก
คุณชายใหญ่เซิ่งที่คาดเดาความคิดของลั่วเซิงออกยังคงนิ่งเฉย และมองเซิ่งจยาหลานด้วยแววตาที่ผิดหวังและเจ็บปวดใจ
ลั่วเซิงชี้ไปที่ตุ้มหูใต้ฉากกั้นห้องและอธิบายอย่างใจเย็น “ตุ้มหูของเซิ่งจยาหลานหล่นหายที่เรือนฝูหนิงเป็นเรื่องจริง แต่น้องหญิงจะมั่นใจได้อย่างไรว่านางทำตุ้มหูหล่นหายโดยไม่ตั้งใจหลังจากไปน้อมทักทายท่านยาย หรือเพิ่งจงใจทิ้งมันขณะถูกเรียกมาที่นี่พร้อมกับข้ากันแน่”
เซิ่งจยาอวี้ถูกต้อนถามจนหมดคำพูด ค่อยๆ หันศีรษะมองเซิ่งจยาหลาน
ลั่วเซิงอธิบายความสงสัยของนางได้อย่างกระจ่างและมีน้องชายหลานนอกกับหงโต้วเป็นพยาน ถ้าเช่นนั้น น้องหญิงรอง…
“จยาหลาน ทำไมเจ้าถึงทำร้ายพี่สาวของเจ้า” ฮูหยินผู้เฒ่าเซิงตบโต๊ะ น้ำเสียงดูเด็ดขาดขึ้นมา
เซิ่งจยาหลานคุกเข่าลงโดยไม่พูดไม่จา
หงโต้วตบหน้าผาก “ข้านึกออกแล้ว หลายวันก่อนคุณหนูของพวกข้าไม่ได้คิดแขวนคอตาย แต่ถูกคุณหนูรองปองร้าย!”
“อะไรนะ” คำพูดของหงโต้ว ทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึง
น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าเซิงยิ่งเด็ดขาดขึ้นไปอีก “หงโต้ว พูดให้ชัดเจนหน่อย!”
หงโต้วถ่มน้ำลายใส่เซิ่งจยาหลานก่อนเอ่ยว่า “ขณะที่คุณหนูเกิดเหตุ ข้าวุ่นวายจนไม่ได้เก็บผ้าขาวผืนนั้น จากนั้น ข้าเจอมันตกอยู่ ลองแขวนบนคาน กลับพบว่าระดับความสูงไม่ได้”
หงโต้วเลียนแบบคำพูดของลั่วเซิง เพียงแต่เปลี่ยนคนที่พบเห็นเป็นตัวเอง
และคำพูดเหล่านี้ คือคำสั่งของลั่วเซิง
ทุกคนตั้งใจฟัง แต่มีคนหนึ่งบีบถ้วยน้ำชาในมือแน่น
คนผู้นั้นคือฮูหยินใหญ่
คำพูดของสาวใช้ซวงเยี่ยในวันงานเลี้ยงครอบครัวดังก้องอยู่ในหูของฮูหยินใหญ่ ‘ผ้าขาวผืนหนึ่งห้อยอยู่ตรงหน้าบ่าว หัวใจของบ่าวแทบจะกระโดดออกจากอก…’
ฉะนั้น ครานั้นที่ซวงเยี่ยเห็นคุณหนูหลานนอก ไม่ใช่นางโวยวายจะแขวนคอ แต่สังเกตุเห็นบางอย่างผิดปกติสินะ
ฮูหยินใหญ่เหลือบมองลั่วเซิงโดยไม่ทิ้งร่องรอย ความคิดผุดขึ้นในใจ คุณหนูหลานนอกผู้นี้ไม่ธรรมดา!
นางไม่เชื่อว่าสาวใช้ตัวน้อยที่ชื่อหงโต้วจะเป็นคนค้นพบความผิดปกตินี้
หลังจากฟังคำบอกเล่าของหงโต้ว ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเซิงก็หม่นหมองลง โยนถ้วยน้ำชาลงข้างเซิ่งจยาหลานด้วยมือที่สั่นเทา “เจ้านี่มันนังปีศาจโดยแท้ เหตุใดถึงคิดร้ายต่อพี่สาวครั้งแล้วครั้งเล่า”
ถ้วยน้ำชาข้างเซิ่งจยาหลานแตกละเอียดเป็นผุยผง เศษเครื่องลายครามแตกละเอียด ทำให้ทุกคนตกตะลึง
แต่เซิ่งจยาหลานยังคงนิ่งเงียบ ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่งและคนอื่นๆ จี้ถามนาง
จนท้ายที่สุด เซิ่งจยาอวี้กระทืบเท้าเอ่ยด้วยความเจ็บปวดใจ “น้องหญิงรอง เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก!”
ผิดหวังหรือ
ขนตาเซิ่งจยาหลานสั่นระริกและเม้มริมฝีปากแน่น
เรื่องราวถูกเปิดเผย ถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว และพูดไม่ได้ด้วย
รองเท้าปักลายดอกไห่ถังคู่หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้านาง
เซิ่งจยาหลานค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สบตากับลั่วเซิง
ลั่วเซิงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเซิ่งจยาหลานและพูดทีละพยางค์ “เจ้าทำเพื่อซูเย่า”
เซิ่งจยาหลานรู้สึกว่าศีรษะของนางระเบิดดังปังราวกับถูกฟ้าผ่า สมองของนางว่างเปล่าไปชั่วขณะ และมีเพียงประโยคเดียวที่ดังก้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เจ้าทำเพื่อซูเย่า