ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 134 ซักไซ้ไล่เลียง
ตอนที่ 134 ซักไซ้ไล่เลียง
คนทั้งสองที่ถูกสือเยี่ยนหิ้วไว้ส่งเสียงกรนดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
สือเยี่ยนรีบร้อนอธิบาย “ข้าไม่ได้ลงมือหนักนะ!”
“พาไปไว้ที่ห้องปีกข้างเถอะ” ลั่วเซิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง
ร้านค้าส่วนใหญ่บนถนนชิงซิ่งจะมีร้านค้าด้านหน้าและมีสวนหลังเรือน ร้านมีหอสุราเองก็ไม่ยกเว้น
มีห้องปีกตะวันออกสามห้องติดกัน ซิ่วเยว่อยู่ในห้องแรกกับเด็กชายหน้าดำ ด้านชายมีหนวดและชายฉกรรจ์ถูกวางไว้ในห้องท้ายสุด
“หนักจริงๆ” สือเยี่ยนโยนคนทั้งสองทิ้งลงบนตั่งเหมือนกระสอบ มีเพียงเสียงกรนดังสนั่นเท่านั้น แต่ก็ยังไม่ตื่น
โค่วเอ๋อร์ปิดปาก “หลับแบบนี้ ตอนนี้คงจะขโมยอะไรไม่ได้อีกแล้ว…”
คุณชายสามเซิ่งเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “น้องหญิง เจ้าคงจะไม่เก็บสองคนนี้ไว้กระมัง”
ร้ายดีอย่างไรเขาก็ยังสามารถทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อร์ได้ แต่พวกตะกละสองคนนี้ทำอะไรได้เล่า?
ลั่วเซิงไม่ได้ตอบคำถามของคุณชายสามเซิ่ง สายตากวาดมองไปทางชายฉกรรจ์แล้วหยุดที่ใบหน้าของชายมีหนวดครู่หนึ่ง กำชับโค่วเอ๋อร์ “พาชายมีหนวดผู้นี้ไปโกนเคราให้สะอาด”
โค่วเอ๋อร์ได้ยินก็รับคำ วิ่งไปที่ห้องครัวแล้วหยิบกรรไกรออกมา จ่อไปที่ใบหน้าของชายมีหนวด “คุณหนู ให้โกนหมดเลยหรือเจ้าคะ”
“ใช่ โกนออกให้หมด”
คุณชายสามเซิ่งและสือเยี่ยนเบิกตากว้าง ขณะมองโค่วเอ๋อร์ผู้บอบบางโกนหนวดเคราออกไปจากใบหน้าของชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว ท่วงท่านั้นชำนาญยิ่ง
ทั้งสองมองแล้วก็ตัวสั่นเทิ้ม
นี่ นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงสินะ
สือเยี่ยนและคุณชายสามเซิ่งหันมองหน้ากันแล้วพึมพำออกมา “ข้าคิดว่าโค่วเอ๋อร์เป็นแค่คนพูดมากเท่านั้น…”
ไม่คิดเลยว่าการใช้กรรไกรจะลื่นไหลถึงเพียงนี้
คุณชายสามเซิ่งเงยหน้ามองดูท้องฟ้าเงียบๆ
ใครว่ามิใช่เล่า
ไม่นาน เสียงสดใสมีความสุขของเด็กสาวก็ดังขึ้น “คุณหนู โกนหมดแล้วเจ้าค่ะ ท่านดูสิเจ้าคะว่าบ่าวโกนเป็นอย่างไรบ้าง สะอาดหมดจดหรือไม่เจ้าคะ”
ลั่วเซิงยังไม่ทันได้เอ่ยปาก คุณชายสามเซิ่งและสือเยี่ยนก็สูดลมหายใจเย็นเยือกพร้อมกันโดยมินัดหมายแล้ว
เมื่อเห็นว่าชายที่แต่เดิมมีหนวดเคราหนา ยามนี้มีใบหน้าเหมือนไข่ปอกเปลือก เรียบเนียน สะอาดสะอ้าน ผิวขาวกว่าบริเวณหน้าผากที่ไม่มีเคราเล็กน้อย
เมื่อมองแล้วก็เห็นความประหลาดนั้น
ลั่วเซิงพินิจมองอย่างใกล้ชิด
อืม ก็ยังคงอัปลักษณ์อยู่
ย่อมมิใช่คู่หมั้นของซิ่วเยว่แน่นอน
หลังจากมอบหมายให้สือเยี่ยนคอยจับตาดูคนทั้งสองแล้ว ลั่วเซิงก็ตรงไปที่ห้องที่ซิ่วเยว่อยู่
หงโต้วยืนอยู่ที่ประตู เมื่อเห็นว่าลั่วเซิงมาแล้วก็คิดจะร้องทัก แต่กลับโดนนางส่ายหน้าห้ามไว้ก่อน
ภายในห้อง ซิ่วเยว่กำลังมองไปที่เด็กชายหน้าดำ ก้มหน้าก้มตาร้องไห้ออกมาเงียบๆ
“อาซิ่ว…” ลั่วเซิงเอ่ยเรียกเบาๆ
ซิ่วเยว่รีบปาดน้ำตา แล้วหันหน้าไปมอง
“เจ้ามากับข้า”
ซิ่วเยว่หันมองเด็กชายหน้าดำอีกครา ท่าทางลังเลเล็กน้อย
“มีหงโต้วคอยดูอยู่ หนีไปไหนไม่ได้หรอก”
ซิ่วเยว่ได้ยินจึงหยัดกายลุกแล้วเดิมตามลั่วเซิงออกไปยังห้องเล็ก
“นั่งก่อน” ลั่วเซิงชี้นิ้วไปที่เก้าอี้
ซิ่วเยว่นั่งลงเงียบๆ
“อาซิ่ว เจ้าแน่ใจจริงหรือว่าเขาคือหลานชายของเจ้าที่หายตัวไปนานหลายปี”
กายของซิ่วเยว่พลันหดเกร็ง พยักหน้ารับ
“อาศัยเพียงจักจั่นหยกชิ้นเดียวน่ะรึ”
ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นในดวงตาของซิ่วเยว่ “จักจั่นหยกนั่นเดิมเป็นของข้า ย่อมไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ”
“อย่าตื่นเต้นไป” เสียงของลั่วเซิงสงบและมีพลังราวกับปลอบขวัญคนได้
เพียงแต่ว่านางก็ถามคำถามต่อไปทันที ทำให้ซิ่วเยว่ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีก
“ด้วยฐานะของโจรภูเขานั้น เจ้าไม่คิดหรือว่าจักจั่นหยกอาจจะมาจากการปล้น”
ซิ่วเยว่ตะลึงงันไปชั่วครู่หนึ่ง
“ความเป็นไปได้นี้ไม่เล็กเลยใช่หรือไม่” น้ำเสียงของลั่วเซิงยังคงสงบ แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจของนางกลับไม่ได้สงบเลยแม้แต่น้อย
หากเด็กหน้าดำคนนี้เป็น ‘หลานชาย’ ของซิ่วเยว่จริงๆ เช่นนั้นเขาจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นหนานอ๋องแน่
หากยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น
“ไม่กระมัง จักจั่นหยกนั้นหาใช่ของมีค่า” ซิ่วเยว่ท่าทางสับสนราวกับถูกโจมตีจิตใจอย่างรุนแรง
“สำหรับกลุ่มโจรภูเขาที่มีชีวิตตกต่ำเช่นนั้น อาจเป็นไปได้มากว่ามันอาจจะมีค่ามากก็ได้ อาซิ่ว เจ้าอย่าลืมสิ ในตอนนั้นข้าบังคับให้พวกเขาทิ้งของมีค่าไว้ ทั้งหมดยังมีค่าถึงหนึ่งร้อยตำลึงเลย…”
ซิ่วเยว่ย่อมไม่มีทางลืมมัน
อย่างไรเสียการกลายเป็นผู้ปล้นโจรภูเขานั้นก็มิใช่เรื่องทั่วไปที่จะเห็นได้
“รอจนกว่าพวกเขาได้สติแล้ว ค่อยถามจะดีกว่า”
เวลาผันผ่านก็ถึงรุ่งสางของอีกวันแล้ว
เด็กชายหน้าดำตื่นเป็นคนแรก
เขาลืมตาขึ้นด้วยความมึนงง สิ่งแรกที่เข้ามาในคลองสายตาก็คือใบหน้างดงามดวงหนึ่ง
เด็กชายหน้าดำลุกพรวดขึ้นนั่ง ตื่นตัวด้วยความตกใจ
“เจ้าจะทำอะไร ข้า ข้าไม่มีเงิน!”
ปีศาจสาวน่ากลัวเกินไปแล้ว พี่ใหญ่เล่า พี่ใหญ่อยู่ที่ไหนกัน
เด็กชายหน้าดำมองไปรอบด้านด้วยความตระหนก
ลั่วเซิงแบมือออกแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่ากลัวไป เจ้าดูสิว่านี่คือสิ่งใด”
บนฝ่ามือขาวสะอาดและอ่อนนุ่มของหญิงสาว ยามนี้มีจักจั่นหยกตัวเล็กๆ นอนอยู่อย่างเงียบเชียบ
เด็กชายหน้าดำพลันเริ่มวิตกกังวล ยื่นมือออกไปจะคว้ามันเอาไว้แล้วตะโกน “คืนให้ข้า รีบคืนให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ท่าทางรีบเร่งนั้น ประจักษ์ชัดแล้วว่าเขาให้ความสำคัญกับจักจั่นหยกนี้มากเพียงใด
ลั่วเซิงพันนิ้วเอาไว้รอบด้ายแดง ยกจั๊กจั่นหยกขึ้นเบาๆ เอ่ยเสียงเย็น “หากเจ้าพยายามแย่งมันอีกครา ข้าจะปล่อยให้ตกพื้นเสีย”
เด็กชายหน้าดำตระหนกจนมิกล้าขยับกาย ดวงตาจ้องเขม็งไปที่ลั่วเซิง
ไฉนถึงมีเด็กสาวที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้!
“เจ้าสงบจิตสงบใจได้บ้างหรือยัง” ลั่วเซิงเอ่ยถามอย่างใจเย็น
เด็กชายหน้าดำพยักหน้าอย่างว่างเปล่า
หากไม่ใจเย็นจะยังทำอะไรได้อีกเล่า ในเมื่อปีศาจสาวกำลังจะขว้างจักจั่นหยกของเขาทิ้ง!
“ใจเย็นก็ดีแล้ว เช่นนั้นก็ตอบคำถามข้ามาสองสามข้อ” ลั่วเซิงส่ายจักจั่นหยก “ก่อนอื่น บอกข้ามาสิว่าเจ้ามีจักจั่นหยกนี้ได้อย่างไร”
ดวงตาของเด็กชายหน้าดำมองตามจักจั่นหยก ด้วยเกรงว่าเด็กสาวที่ชั่วร้ายที่สุดตรงหน้าเขาอาจจะโยนจักจั่นหยกออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจหรือจงใจ
“เจ้าขโมยใครจนได้จักจั่นหยกนี้มาหรือไม่”
น้ำเสียงของลั่วเซิงนั้นแผ่วเบา แต่ใบหน้าของเด็กชายหน้าดำกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีด้วยความโกรธ
“จักจั่นหยกเป็นของข้า ข้าไม่ได้ขโมยมันมา!”
“ของเจ้าหรือ” หญิงสาวเลิกคิ้ว ใบหน้าไม่ปิดบังความดูแคลน “ข้าไม่เชื่อ”
เด็กชายหน้าดำทั้งโมโหทั้งลนลาน “เป็นของข้า ข้าใส่มันมาตั้งแต่เด็ก ท่านลุงของข้าบอกว่าจักจั่นหยกนี้เป็นความทรงจำที่ท่านพ่อท่านแม่ของข้าทิ้งไว้ให้ ใครก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องมัน เจ้ารีบส่งคืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ลั่วเซิงหัวเราะเยาะ “เจ้าโจรภูเขาตัวน้อยช่างกล้าโกหกนัก เจ้าเรียกชายมีหนวดผู้นั้นว่าพี่ใหญ่เต็มปากเต็มคำแล้วจะมาเป็นท่านลุงได้อย่างไรกัน”
“พี่ใหญ่ตู้เดิมเป็นพี่ใหญ่ของข้า ส่วนท่านลุงของข้าตายไปแล้ว…” เมื่อเด็กชายหน้าดำเอ่ยเช่นนี้ออกมา ดวงตาก็เริ่มมีน้ำเอ่อคลอในนั้น แต่กลับพยายามฝืนไว้มิให้มันไหลออกมา
จะร้องไห้ต่อหน้าเด็กสาวมิได้
“ฮึก ฮือ…” เด็กชายหน้าดำร้องครวญครางจนสุดเสียง “ข้าไม่ได้กินขาหมูด้วยซ้ำ และเจ้าก็เอาเงินที่ข้าสะสมไว้อยู่นานเพื่อจะไปซื้อถังหูลู่ให้น้องชุนฮวาไป แล้วยังจะแย่งจักจั่นหยกของข้าไปอีก…”
ปีศาจสาวไม่สามารถนับว่าเป็นเด็กสาวได้!
“ถ้าเจ้าร้องไห้อีก ข้าจะโยนจักจั่นหยกทิ้ง” ลั่วเซิงเอ่ยเตือนเบาๆ
เด็กชายหน้าดำพลันหยุดกึก แต่กระนั้นเพราะร้อนใจจึงสะอึกขึ้นมาแทน
“ลุงของเจ้าจากไปนานเท่าไรแล้ว เขาเป็นคนแบบไหน หน้าตาเป็นอย่างไร…” ลั่วเซิงเอ่ยถามคำถามออกมาอีกหลายข้อ
เด็กชายหน้าดำเริ่มตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ มองลั่วเซิงอย่างระแวดระวัง “เจ้า เหตุใดถึงเอาแต่ถามถึงท่านลุงของข้ากัน”
ด้วยเพราะจักจั่นหยกสั่นไหวพริบตา เด็กชายหน้าดำจึงรีบร้อนตอบคำถามตามตรงทันที เขาก้มหน้าลงเอ่ยตอบ
“ท่านลุงจากไปเมื่อห้าปีก่อน เขามิใช่คนชอบพูดนัก แต่ก็รักข้ามาก ยังสอนให้ข้าอ่านและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ด้วย…ท่านลุงของข้าเป็นบุรุษรูปงามที่มีชื่อเสียงในค่ายเฮยเฟิงของพวกเรา เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไรกัน”
ลั่วเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
บุรุษรูปงามจากหมู่บ้านเฮยเฟิงที่เสียชีวิตไปห้าปีแล้ว แล้วเจ้าเด็กหน้าดำนี้กำลังกังวลเรื่องอะไร
นางคงไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอกกระมัง
ตอนนั้นเอง เสียงโหยหวนสายหนึ่งก็ดังมาจากห้องถัดไป “หนวดเครา หนวดเคราของข้าหายไปไหนกัน”