ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 25 ตั้งใจ
ตอนที่ 25 ตั้งใจ
เรื่องคุณหนูหลานนอกต้องการขอบคุณแม่เฒ่าเรือนซักผ้าจึงให้รางวัลแม่เฒ่าคนนั้นด้วยใบไม้ทองคำหนึ่งถุงแพร่กระจายเหมือนกับลมไปทั่วสกุลเซิ่ง
ในเวลานั้นมีคนจำนวนมากมาหา จะนำบุตรสาวตัวเอง หลานสาวของปู่ย่า หลานสาวของลูกพี่ลูกน้องฝ่ายชาย หลานสาวของลูกพี่ลูกน้องฝ่ายหญิง บอกว่าจะยกให้บุตรชายคนเล็กของบ้านแม่เฒ่าหน้ายาว
แต่นี่เป็นทองใบหนึ่งถุง สร้างคฤหาสน์หลังหนึ่งที่จินซายังได้
แม่เฒ่ามองดูธรณีประตูที่ใกล้จะพังแล้วหลั่งน้ำตาแห่งความสุขออกมา
บ่าวรับใช้ที่ทำงานในเรือนซักผ้าถือว่าอยู่ระดับล่างที่สุดในบรรดาทั้งหมด เงินเดือนน้อย เป็นตำแหน่งที่ไม่ดีนัก หากซักเสื้อผ้าเจ้านายพังยังต้องรับผิดชอบอีก
นางมีบุตรชายสองคน บุตรชายคนโตต้องรอจนอายุยี่สิบปีทั้งยังต้องทุ่มเทกำลังทั้งครอบครัวถึงจะสามารถแต่งเมียได้ บุตรชายคนเล็กเสียเวลาไปจนอายุยี่สิบกว่าปีก็ยังโสดอยู่ ไม่คิดว่าเพราะคุณหนูหลานนอกให้รางวัลเป็นทองใบถุงหนึ่ง ขนาดพ่อบ้านที่ทำหน้าที่ซื้อขายยังให้คนมาพูดคุยทาบทาม ตั้งใจจะยกบุตรสาวที่รักของเขาให้มาแต่งงานด้วย
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณคุณหนูหลานนอก!
แม่เฒ่าทั้งละอายทั้งซาบซึ้ง สาบานอย่างลับๆ ว่าจากนี้จะยกให้คุณหนูหลานนอกเป็นพระโพธิสัตว์
ส่วนคนที่อิจฉาแม่เฒ่าหน้ายาวยิ่งไม่รู้ว่ามีเท่าใดก็ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดที่มีต่อคุณหนูหลานนอก
บ่าวช่วยนายเป็นสัจธรรมอันเปลี่ยนแปลงมิได้ หากได้รับรางวัลเป็นเงินก็ถือว่าได้เจอเจ้านายที่ดี ไม่คาดคิดว่าคุณหนูหลานนอกจะจำเรื่องนี้ได้แล้วยังให้รางวัลเป็นทองใบหนึ่งถุงอีก แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ใจกว้างอย่างแท้จริง
อืม ต่อจากนี้หากไม่มีงานอะไรก็ต้องรวมตัวกันไปเสนอหน้าให้คุณหนูหลานนอกเห็นหน้า หากคุณหนูหลานนอกเรียกใช้งานก็จะร่ำรวยกันแล้วทีนี้
อะแฮ่ม ได้ยินว่าตอนคุณหนูหลานนอกอยู่เมืองหลวงมีบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งรับหน้าที่เดินเล่นตลาดเป็นเพื่อนคุณหนูหลานนอกโดยเฉพาะ
ไปฟังจากที่ใดมาหรือ ก็ต้องฟังมาจากพี่สาวที่ชื่อหงโต้วแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อก่อนฟังเสียงแอบด่าทอเหล่าบ่าวรับใช้อย่างกับคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ ยามนี้เล่า พูดได้คำเดียว น่าอิจฉามาก!
ลั่วเซิงไม่ได้ใส่ใจความคิดที่เปลี่ยนไปของคนในสกุลเซิ่ง นางยืนอยู่ในศาลาแปดเหลี่ยมบอกให้หงโต้วเอายาบำรุงปราณที่หมอหวังส่งมาเก็บไว้ให้ดีแล้วเผยรอยยิ้มบางออกมา “ทำให้หมอหวังกังวลใจแล้ว”
“ยินดีอย่างยิ่ง ยินดีอย่างยิ่ง” หมอหวังโค้งคำนับไม่หยุด
ลมในศาลาค่อนข้างแรง แต่พัดให้คนรู้สึกเย็นสบายไปทั้งร่าง เช่นเดียวกับหมอหวังที่ขณะนี้กำลังอารมณ์ดี
คุณหนูลั่วถึงแม้จะไม่เคยพูดถึงประโยชน์ของยาชนิดนี้ แต่เขาศึกษาส่วนประกอบยาอย่างละเอียดแล้ว ยานี้เป็นยาใช้บำรุงร่างกาย!
รักษาโรคหวัดลมหนาวก่อนแล้วค่อยบำรุงร่างกาย ยาสองชนิดนี้หากถูกเขาใช้อย่างดี ชื่อเสียงของหมอก็ได้มาอย่างง่ายดาย
ราวกับว่าอ่านความคิดหมอหวังทะลุปรุโปร่ง ทันใดนั้นลั่วเซิงก็ยิ้มขึ้นมา “หลายวันก่อนฮูหยินตระกูลซูเป็นโรคหวัดลมหนาว ได้ยินว่าเชิญหมอหวังไปรักษาหรือ”
หมอหวังใจสั่นเล็กน้อยจึงยิ้มแห้งยอมรับ “ข้าน้อยไปตรวจอาการให้ฮูหยินซูมาจริงขอรับ”
ตั้งแต่คุณชายหลานนอกสกุลเซิ่งรักษาโรคหวัดลมหนาวจนหายดี หมอหลี่ก็เผยแพร่ชื่อเสียงของเขาออกไป ทุกวันนี้เขาได้รับการนับถืออย่างสูงและการไล่ตามยิ่งกว่าในอดีต
เขาเกือบจะลืมเจ้าของตัวจริงของตำรับยานั้นไปแล้ว
หมอหวังถูกสายตาที่แฝงไปด้วยความหมายของลั่วเซิงมองจนหวาดกลัว ในใจเต้นรัวราวกับตีกลอง
คุณหนูลั่วจู่ๆ ถามเรื่องนี้ขึ้นมาหมายความว่าอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่าเดาออกแล้วว่ายาที่รักษาฮูหยินซูจนหายคือยาเชียนจิน
ตอนลั่วเซิงนำตำรับยาลดไข้ที่ปรุงเสร็จและสมุนไพรให้กับหมอหวังไปนั้นไม่ได้บอกชื่อยา เพราะต้นทุนแพงมาก หมอหวังจึงตั้งชื่ออย่างเงียบๆ ว่ายาเชียนจิน
“หมอหวังเป็นหมอที่มีเมตตากรุณา ใช้ยารักษาคน ข้าจะไม่พูดมาก แต่มีเรื่องหนึ่งยังอยากให้ท่านจำใส่ใจไว้”
“เชิญคุณหนูกล่าว” หมอหวังได้ยินคำพูดของลั่วเซิงแฝงความหมายอันลึกซึ้ง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าไปชั่วขณะ
เขาคิดว่าหญิงสาวสูงส่งเช่นคุณหนูลั่วจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้โดยสิ้นเชิง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนหลอกยาก…
“ตำรับของยาที่หมอหวังส่งมาวันนี้ หมอหวังคงลืมไปแล้วสินะ”
หมอหวังตกตะลึง ที่นึกถึงตอนแรกก็คือยาเชียนจิน
“เช่นนั้นก่อนหน้านี้…”
ลั่วเซิงยิ้ม “ข้าเพิ่งพูดไป หมอหวังเป็นหมอที่มีเมตตากรุณา ใช้ยารักษาคน ข้าจะไม่พูดมาก”
ปีนั้นหมอเทวดาหลี่ปรุงยาลดไข้และยาบำรุงปราณออกมาก็เคยถอนใจเพราะยาลดไข้ราคาแพงมาก ยากที่คนธรรมดาจะได้ใช้ประโยชน์ มิฉะนั้นบนโลกนี้คนอายุสั้นคงน้อยลง
หมอหวังใช้ยาลดไข้สร้างชื่อเสียงก็ดี แสวงหาผลกำไรก็ไม่เป็นไร สามารถช่วยชีวิตคนได้เยอะถือเป็นเรื่องที่ดี
ส่วนยาบำรุงปราณ หมอเทวดาหลี่กลับสั่งไว้ว่าไม่ให้เผยแพร่ต่อคนนอก
หมอหวังยินดีอย่างมาก โค้งคำนับลั่วเซิง “ขอบคุณคุณหนูมาก”
“เช่นนั้นก็ไม่รบกวนเวลาหมอหวังรักษาคนไข้แล้ว หวังว่าท่านจะจดจำคำพูดในวันนี้ไว้”
หมอหวังตอบรับซ้ำแล้วซ้ำอีก ถือล่วมยาแล้วออกไปอย่างยินดี
หงโต้วกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยเตือนเสียงเบา “คุณหนู คนบางคนได้คืบจะเอาศอก ตอนนี้เขารับปากท่าน แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่แน่ว่าจะเกิดความโลภขึ้นมานะเจ้าคะ”
“งั้นหรือ” ลั่วเซิงมองแผ่นหลังหมอหวังที่จากไปด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “หากเป็นเช่นนั้น เขาจะต้องเสียใจ”
ยาบำรุงปราณที่ปรุงเสร็จแล้วยังต้องใช้กระสายยาอีกหนึ่งชนิดถึงจะได้ผล หากหมอหวังกลืนน้ำลายตัวเอง เกรงว่าอาจจะต้องสูญเสียบางสิ่งเพื่อแลกกับการผิดคำสัญญาของตนเอง
นางอนุญาตแล้วคนอื่นถึงจะนำของออกไปได้ หากนางไม่อนุญาต ใครหน้าไหนก็เอาไปไม่ได้
คาดหวังให้คนรักษาคำพูดอย่างเต็มที่หรือ มันไม่มีอยู่จริง
กระสายยาของยาบำรุงปราณคือนำข้าวเหนียวแค่หยิบมือหนึ่งแช่น้ำค้างตอนเช้าแล้วค่อยนำยาบำรุงปราณแช่ลงไปในนั้นสักครู่หนึ่ง
พูดดูง่าย แต่หากบอกไม่หมดก็คงไม่มีคนทำได้
ลั่วเซิงพาหงโต้วไปหาลั่วเฉิน
ปฏิกิริยาแรกของลั่วเฉินคือมองหงโต้ว เมื่อเห็นว่าในมือนางว่างเปล่า สีหน้าก็ดูบึ้งตึงขึ้นเล็กน้อย
เขาให้ฝูซงไปสอบถามนานแล้ว วันนั้นที่ลั่วเซิงปล่อยให้เขาหิวโซได้ส่งหมูสามชั้นน้ำแดงให้ท่านยาย
หมูสามชั้นน้ำแดง!
อย่าทนทุกข์กับการเป็นหม้ายและความไม่เสมอภาค หากไม่ได้ส่งให้ทั้งสองฝ่ายก็คงไม่เป็นไร แต่ว่านางไม่ได้ส่งอะไรมาให้ที่นี่เลย แต่ท่านยายกลับได้กินหมูน้ำชั้นน้ำแดงหอมกรุ่น
ลั่วเฉินแค่คิดก็โกรธ โกรธมาจนถึงตอนนี้ ลั่วเซิงเองก็ไม่ได้แสดงออกท่าทีอะไรออกมา
แน่นอน โกรธก็ส่วนโกรธ แต่เขาก็ยังคงกินอาหารที่ลั่วเซิงส่งให้เขา
นี่มันเป็นคนละเรื่องกัน
“ท่านมาทำอะไร” ลั่วเฉินแค่นเสียงเอ่ย
ไม่ใช่เวลากินข้าวแล้วก็ไม่ได้นำอาหารมา หรือว่าจะมาคุยเล่นกับเขา
ลั่วเซิงเอาขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวที่ปากแคบฐานใหญ่วางลงตรงหน้าลั่วเฉิน
ลั่วเฉินนึกสงสัยหรือว่านี่คือผลไม้เชื่อมหรือ
แต่เขาไม่ชอบกินขนมนี่
แน่นอนว่า หากเป็นลั่วเซิงทำล่ะก็ เขาก็สามารถฝืนตัวเองลองชิมได้ ถึงอย่างไรเมื่อก่อนเขาก็ยังไม่ชอบกินปลา แต่ตอนนี้รู้สึกว่ามันหอมมาก…
ลั่วเฉินยื่นมือไปหยิบขวดลายครามสีขาว
ลั่วเซิงเอ่ย “นี่คือยาบำรุงร่างกาย”
นิ้วมือเรียวยาวอ่อนเยาว์แตะลงบนขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวพลางขมวดคิ้วมองลั่วเซิง
“มีทั้งหมดสี่สิบเก้าเม็ด กินหนึ่งเม็ดกับน้ำอุ่นก่อนนอนทุกคืน หลังจากกินขวดนี้หมดร่างกายของเจ้าจะดีขึ้นอย่างมาก”
ลั่วเฉินขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ ชั่วครู่จึงถามขึ้น “เอามาจากที่ใดหรือ”
“หมอหวังเป็นคนปรุง”
ลั่วเฉินมองลั่วเซิงอย่างลึกซึ้ง ริมฝีปากข้างหนึ่งยกขึ้น “ง้อข้ารึ”
ลั่วเซิงหรี่ตา “กลายเป็นง้อเจ้าได้อย่างไร”
ลั่วเฉินยิ้มเยือกเย็น “หากหมอหวังมีความสามารถนี้ หลายปีก่อนยานี้คงส่งมาถึงตรงหน้าข้าแล้ว ยังต้องรอจนถึงตอนนี้หรือ”
ลั่วเซิงตกตะลึง อดเบ้ปากไม่ได้
มีน้องชายที่ค่อนข้างฉลาด บางครั้งก็ทำให้ปวดหัวได้
“ตำรับยาที่ได้โดยบังเอิญตอนอยู่ที่เมืองหลวง มีประสิทธิภาพแน่นอน” ลั่วเซิงครุ่นคิด แล้วพูดเสริมว่า “ใช้ความสามารถในการทำอาหารของข้าเป็นประกัน”
สีหน้าอ่อนโยนของลั่วเฉิน “บอกให้เร็วกว่านี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว มัวแต่พูดถึงเรื่องหมอหวังอะไรนั่น”
ที่น่ารำคาญที่สุดคือโอ๋เขาเหมือนเด็ก เขาอายุสิบสามปีแล้วนะ!
ในเวลานี้ลั่วเซิงจึงเอ่ยขึ้นมา “ข้าจะกลับเมืองหลวงแล้ว”