ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 39 เทียบความหน้าด้าน
ตอนที่ 39 เทียบความหน้าด้าน
หลังต้นไม้บนภูเขาที่อยู่ไม่ไกล ชายในชุดสีแดงเข้มเฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบๆ ด้วยดวงตาลุ่มลึก
องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าถามมาก แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย
นายท่านไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นโดยเฉพาะสตรี แต่หลายครั้งที่พบกับคุณหนูลั่วกลับมีบางอย่างผิดปกติ
ครั้งแรกบนถนนที่พลุกพล่านของเมืองหลวง นายท่านฝีมือระดับไหน จะปล่อยให้เด็กสาวที่เก่งแค่วางท่ามาปลดเข็มขัดได้อย่างไร
ตอนนั้นเขาก็เฝ้าดูอยู่ด้านข้าง ขณะที่คุณหนูลั่วปลดเข็มขัด นายท่านก็ไม่มีทีท่าที่จะหลบแต่อย่างไร เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะไปห้ามปรามดีหรือไม่ จากนั้น…ก็ไม่ทันแล้ว
ครั้งที่สอง ณ โรงน้ำชาริมถนนเมื่อสองวันก่อน นายท่านเดิมทีแค่เดินผ่าน แต่เมื่อเห็นคุณหนูลั่วกลับเดินเข้าไปหา
นี่คือครั้งที่สาม นายท่านจ้องคุณหนูลั่วโดยไม่ละสายตาเป็นเวลานาน
องครักษ์เฝ้ามองหญิงสาวในชุดเรียบง่ายข่มขู่หมู่โจรให้มอบทรัพย์สินเงินทองออกมา ความคาดเดาอันหาญกล้าหาญก็ผุดขึ้นในใจ นายท่านชอบคุณหนูลั่วใช่หรือไม่
หากพูดกันตามตรง คุณหนูลั่วงดงามอย่างยิ่ง…เป็นไปไม่ได้ นายท่านไม่ใช่คนตื้นเขินขนาดนี้!
แต่เหตุใดนายท่านถึงเอาแต่แอบมองคุณหนูไม่ยอมจากไปเล่า
องครักษ์สงสัยอีกครั้ง
ลั่วเซิงจ้องหมู่โจรป่าที่ทั้งโกรธ หดหู่ใจ เจ็บปวดใจหลังจากทิ้งของมีค่าไว้และถอยกลับไปอย่างเย็นชาแล้วสั่งให้หงโต้วนับจำนวนของที่ได้มา
หงโต้วรวบรวมเสร็จแล้วก็เบ้ปาก “ก็แค่พวกยาจกฝูงหนึ่ง รวมได้ไม่ถึงร้อยตำลึงเลย”
คุณชายสามเซิ่งที่อยู่ด้านข้างสะอึกไปแล้ว
เงินหนึ่งร้อยตำลึงถือว่ามากแล้วนะ เงินเดือนเขายังแค่ห้าตำลึงเอง!
ลั่วเซิงเดินไปหาองครักษ์ประจำจวนตระกูลเซิ่ง
องครักษ์ทั้งหมดมีแปดคน บางคนยืน บางคนนั่งและได้รับบาดเจ็บบ้าง
“บาดเจ็บไปกี่คน” ลั่วเซิงเอ่ยถาม
คุณชายสามเซิ่งที่เดินตามมาชี้ไปยังชายสองคนที่นั่งบนพื้นแล้วเอ่ยว่า “สองคนนั้นบาดเจ็บสาหัส สามคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแต่ไม่ร้ายแรง อีกสามคนที่เหลือไม่ได้รับบาดเจ็บ เลือดบนร่างกายของพวกเขาเป็นเลือดของโจรป่า”
พูดถึงตรงนี้ คุณชายสามเซิ่งก็หวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย “โชคดีที่ไม่มีใครตาย หากสู้ต่อก็ไม่แน่”
ซึ่งผลลัพธ์เช่นนี้ ต้องขอบคุณน้องลั่ว
ทันใดนั้น คุณชายสามเซิ่งก็รู้สึกผิดกับความคิดที่มีต่อลั่วเซิงก่อนหน้านี้
น้องหญิงเก่งกาจเพียงนี้ ปลดเข็มขัดผู้ชายแล้วจะอย่างไร
“หงโต้วแบ่งเงินให้ผู้ที่บาดเจ็บสาหัสคนละสามสิบตำลึง ผู้ที่บาดเจ็บเล็กน้อยคนละสิบตำลึง และผู้ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บคนละสามตำลึง”
เห็นได้ชัดว่าหงโต้วเคยชินกับการจับจ่ายเงินจึงแบ่งเงินได้อย่างคล่องแคล่ว
องครักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งได้รับเงินสามสิบตำลึงแทบจะร้องไห้ออกมา “ขอบคุณรางวัลของคุณหนูมากขอรับ”
ชีวิตของพวกเขาอุทิศให้กับจวนสกุลเซิ่งมานานแล้ว การมาส่งคุณหนูหลานนอกกลับเมืองหลวงก็เป็นหน้าที่ของพวกเขา คาดไม่ถึงว่าหลังจากบาดเจ็บจะได้รับเงินจำนวนมากเช่นนี้
ลั่วเซิงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “อาการบาดเจ็บของพวกเจ้าทั้งสองแม้จะควบคุมไว้แล้ว แต่ไม่ควรเดินทางไกล เอาอย่างนี้แล้วกัน เมืองถัดไป พวกเจ้าอยู่พักฟื้นที่นั่น เหลือคนสองคนไว้ดูแลพวกเจ้า รอหายดีแล้วค่อยกลับเมืองจินซา”
“จะได้อย่างไร” ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
คุณชายสามเซิ่งจ้องคนทั้งสองคน “อย่าพูดพล่ามให้มากความ ทำตามที่คุณหนูสั่ง”
เหล่าองครักษ์นิ่งเงียบ ไม่กล้าออกเสียง
คุณชายสามเซิ่งเผยรอยยิ้มกว้างให้กับลั่วเซิง “น้องหญิง พวกเรากินข้าวกันก่อนค่อยออกเดินทางแล้วกัน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง โดยเฉพาะน้ำแกงกระดูกหม้อใหญ่นี้ อย่าสิ้นเปลือง คนบาดเจ็บดื่มบำรุงร่างกายได้”
ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย
คุณชายสามเซิ่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก หยิบขาหมูขอทานขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเอ่ยอย่างโศกเศร้า “ขาหมูขาทานเปิดทิ้งไว้นานไปหน่อย เกรงว่าคงเย็นแล้ว”
“พี่ชายกินอันที่เปลือกโคลนยังไม่ได้กะเทาะออกก่อน” หลังจากผ่านประสบการณ์ถูกปล้นมา ลั่วเซิงก็กินไม่ลงแล้วและรับน้ำแกงกระดูกมาจิบแทน
น้ำแกงเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น ส่งกลิ่นหอมกำจาย
คุณชายสามเซิ่งแทะขาหมูคำหนึ่งดื่มน้ำแกงกระดูกคำหนึ่ง แทะขาหมูคำหนึ่งดื่มน้ำแกงกระดูกคำหนึ่ง…
องครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดกลืนน้ำลาย ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนชายชุดแดงเข้มข้างกายเขาว่า “นายท่าน พวกเราออกเดินทางต่อดีหรือไม่”
เรื่องใดที่จะมารบกวนสายตาและจิตใจเราก็อย่าไปมอง!
“รอดูก่อน”
องครักษ์ “…”
หลังจากอดทนอยู่ครู่หนึ่ง องครักษ์เอ่ยปากอีกครั้ง “นายท่าน ให้ข้าไปซื้ออาหารกลับมาสักหน่อยหรือไม่ นี่เลยมื้ออาหารเย็นไปแล้ว…”
ชายชุดสีแดงพยักหน้าเล็กน้อย “ไปเถอะ”
มุมปากขององครักษ์กระตุก
ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า รู้สึกว่านายท่านรอฟังประโยคนี้มานานแล้ว
องครักษ์เดินไปหาพวกคุณชายสามเซิ่ง
คุณชายสามเซิ่งได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงระแวดระวังตัว พอเห็นว่าเป็นคนคุ้นตาที่เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนและมองเห็นชายชุดสีแดงเข้มที่เดินตามหลังมา เขาก็ตกใจจนขาหมูแทบตกลงพื้น
“พวกท่าน…” เขาไม่รู้จะทักทายอย่างไร
ชื่อเสียงของไคหยางอ๋อง แม้แต่เขาที่ไม่เคยออกจากเมืองจินซาก็ยังเคยได้ยิน
คนผู้นี้คือไคหยางอ๋องผู้น่าเกรงขาม ชัยชนะอันยิ่งใหญ่เมื่อปีที่แล้วทำให้กองทัพฉีอันโหดเหี้ยมถึงกับต้องถอยทัพหนีไปทางเหนือของเขาอาหลาน ทำให้ชายแดนทางตอนเหนือสงบสุขหลายปี
ตามข่าวลือ ไคหยางอ๋องมีใบหน้าราวกับถ่านไฟอันทรงพลัง สูงถึงเก้าฉื่อ หงโต้วจำคนไม่ผิดจริงๆ ใช่หรือไม่
“ขอรบกวนคุณชายสักหน่อย พวกเราเดินทางผ่านที่แห่งนี้แล้วรู้สึกหิวขึ้นมา ไม่ทราบว่าพอมีอาหารรองท้องหรือไม่”
คุณชายสามเซิ่งเป็นคนร่าเริงจิตใจดีจึงยิ้มเอ่ย “พี่ชายจะเกรงใจกันเกินไปแล้ว ได้พบเจอกันก็ถือว่ามีวาสนาต่อกันแล้ว พวกเรายังมีเนื้อย่างและน้ำแกงกระดูกเหลืออยู่อีกมาก กินได้ตามสบายเลย”
ไม่ลังเลแล้ว ไม่ใช่เขาที่ปลดเข็มขัดของไคหยางอ๋องสักหน่อย หากอีกฝ่ายไม่เปิดเผยตัวตนเก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก็แล้วกัน
องครักษ์จ้องขาหมูอทานในมือของคุณชายสามเซิ่ง “ไม่ทราบว่าขาหมูนี้…”
คุณชายสามเซิ่งรีบตอบ “นี่คืออาหารที่น้องหญิงข้าทำเอง ไม่สะดวกที่จะมอบให้คนแปลกหน้า”
เพราะนึกขึ้นได้ว่าน้องหญิงเป็นคนทำขาหมูขอทานและมีทั้งหมดแค่สี่ขา สองขาถูกหงโต้วกับท่านยายขี้เหร่แบ่งไปแล้ว
“ข้ากับคุณหนูลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าคุณหนูลั่วจำข้าได้หรือยัง”
ลั่วเซิงมองไปยังเว่ยหานด้วยสีหน้านิ่งเฉย
เว่ยเชียง เว่ยหาน คนหนึ่งทำลายชีวิตคนทั้งตระกูลของนาง อีกคนปรากฏตัวในจวนร้างและต้องการลงมือกับซิ่วเย่ว์ นั่นก็เพียงพอแล้วที่นางจะแค้นคนสกุล ‘เว่ย’
อยากกินขาหมูที่นางทำหรือ ฝันไปเถอะ
ลั่วเซิงกับเว่ยหานสบตากัน ความน่าเกรงขามดูไม่ต่างกันเลย “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”
นางคือคุณหนูลั่วที่มีชื่อเสียงไม่ดีเท่าใดนัก แต่อีกฝ่ายคือไคหยางอ๋องที่ผู้คนในต้าโจวเคารพนับถือ หากพูดถึงเรื่องที่คุณหนูลั่วปลดเข็มขัดต่อหน้าสาธารณชนออกมา ใครจะอับอายมากกว่ากันก็พูดยาก
ตามที่คาดไว้ เว่ยหานเงียบลงทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของลั่วเซิง
องครักษ์ข้างกายจับดาบพกที่เอว คิดในใจว่าคุณหนูลั่วผู้นี้ไร้ยางอายนัก รังแกนายท่านของพวกเขาที่หน้าบาง อยากจะฟันสักสองสามทีล้างแค้นแทนนายท่านเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากคุณหนูลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”
“แค่กๆๆ” เสียงกระแอมไอดังขึ้นเป็นระลอก เหล่าองครักษ์สำลักจนใบหน้าแดงก่ำ
ครั้งนี้ ถึงคราวลั่วเซิงนิ่งเงียบบ้าง