ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 5 ผู้ต้องสงสัย
ตอนที่ 5 ผู้ต้องสงสัย
“คุณชายเล็กมาก่อน มาถึงก็เกลี้ยกล่อมท่าน…”
ลั่วเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อย “ไม่ได้ดุด่าข้าหรอกหรือ”
หงโต้วหยุดชะงักไปชั่วขณะ
ลั่วเซิงแสดงสีหน้านิ่งเฉย “จากนี้ไปเวลาคุยกับข้าไม่ต้องปกปิดอะไรทั้งสิ้น”
เพราะนางต้องการข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ไม่ใช่คำพูดที่ถูกดัดแปลงมาแล้ว
หงโต้วขานรับและเล่าต่ออย่างฉะฉาน “คุณชายเล็กดุด่าท่านแล้วจากไป จากนั้นคุณหนูทั้งสองก็มาถึง คำพูดของคุณหนูใหญ่คล้ายกับคุณชายเล็ก แต่คุณหนูรองบอกให้ท่านใจเย็นๆ และไกล่เกลี่ยไม่ให้ทะเลาะกัน…”
ปลายนิ้วขาวผ่องของลั่วเซิงเคาะโต๊ะเบาๆ “ถ้าอย่างนั้น คุณหนูรองดีกับข้าอย่างนั้นหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ ในบรรดาลูกพี่ลูกน้องของท่าน คนที่เป็นมิตรกับท่านมากที่สุดคือคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่มักเป็นปฏิปักษ์กับท่าน…”
ลั่วเซิงตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ และครุ่นคิดไปด้วย
ถึงขั้นเข่นฆ่า ต้องมีเหตุจูงใจ
สามวันมานี้ นายของจวนสกุลเซิ่งล้วนทยอยมาเยี่ยมนาง นางไม่พูด ฟังมาก เห็นมากจึงพอจดจำทุกคนได้
ท่านยายทั้งจนปัญญาและผิดหวังกับนาง น้าสะใภ้ใหญ่และน้าสะใภ้รองที่ในใจรังเกียจแต่กลับต้องแสร้งทำเป็นห่วง น้าชายใหญ่ค่อนข้างหวาดกลัวนาง ส่วนน้าชายรองไม่อยู่ที่จวน
ลั่วเซิงคิดว่าผู้อาวุโสของจวนสกุลเซิ่งคงไม่อยากเห็นนางเกิดเรื่อง
บิดาของคุณหนูลั่วอำนาจคับฟ้า หากเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวที่ส่งมาหลบซ่อนตัวยังจวนฝั่งมารดา คงยากจะอธิบายเป็นแน่
แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนนอกที่จะแอบเข้ามายังห้องนอนของคุณหนูลั่วกลางวันแสกๆ โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
หากเป็นกรณีนี้ เด็กรุ่นเดียวกันของจวนสกุลเซิ่งก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัย
ลั่วเฉินน้องชายแท้ๆ ที่ทั้งรังเกียจและปกป้องนาง คุณหนูใหญ่เซิ่งจยาอวี้ที่ตะโกนด่าทอนางและไม่ยอมเรียกนางว่า ‘พี่สาว’ คุณหนูรองเซิ่งจยาหลานที่ท่าทีเป็นมิตร หรือน้องชายลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันเท่าไหร่…
ใครคิดทำร้ายคุณหนูลั่วกัน
ลั่วเซิงมองไปยังผ้าขาวที่ห้อยลงมาจากคานบ้านอีกครั้ง
ต้องบอกว่าวิธีฆ่าไม่ค่อยมืออาชีพนัก
เหตุจูงใจอาจมีมานานแล้วและจังหวะที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเร่งลงมือก็น่าจะสามวันก่อน
วันนั้น คุณหนูลั่วเผยความรู้สึกที่ตนมีกับคุณชายรองซูต่อฮูหยินผู้เฒ่าเซิ่ง หลังจากนั้นก็ถูกสังหาร…
ทั้งสองอย่างนี้ต้องเชื่อมโยงกันเป็นแน่!
ลั่วเซิงคาดเดาผู้ต้องสงสัยได้บ้างแล้ว แต่ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาใหม่ คุณหนูลั่วถูกแขวนคอบนคานหลังจากหลับไป แต่ระหว่างนั้นนางไม่ตื่นและดิ้นรนเลยหรือ
ดวงตาของนางค่อย ๆ กวาดมองของตกแต่งภายในห้องและจับจ้องไปยังชุดน้ำชาลายครามห้าสีลายดอกเหมยข้างมือที่ขาดถ้วยน้ำชาไปหนึ่งใบ
ถ้วยน้ำชาที่ขาดหายไป นางเพิ่งทำแตกจนเศษเครื่องลายครามกระจายเต็มพื้น
“พวกน้องชายข้ามา ได้ดื่มน้ำชาหรือไม่”
หงโต้วไม่เข้าใจว่าเหตุใดหัวข้อถึงกระโดดมาเรื่องนี้ แต่นางจดจำคำสั่งที่ลั่วเซิงกำชับได้จึงรีบนึกย้อน “คุณชายเล็กด่าเสร็จก็จากไป แต่ขณะที่คุณหนูใหญ่ทะเลาะกับท่าน คุณหนูรองก็รินน้ำชาให้ท่านใจเย็น”
“ข้าดื่มหรือไม่”
“ดื่มเจ้าค่ะ…” หงโต้วรู้ตัวทีหลัง “คุณหนู ท่านคิดว่าน้ำชาผิดปกติหรือเจ้าคะ”
ลั่วเซิงไม่ตอบ
แม้น้ำชาจะผิดปกติ แต่ถึงตอนนี้คงตรวจสอบไม่พบอะไรแล้ว
หงโต้วยังคงตกตะลึง “น้ำชาผิดปกติ มิใช่หมายความว่าคุณหนูรองน่าสงสัยหรอกหรือ…นางกล้าดีอย่างไรมาทำร้ายคุณหนู!”
สาวใช้กระโดดขึ้นมาด้วยจิตสังหารพรั่งพรู “ข้าจะไปคิดบัญชีกับนาง!”
“หยุด” เสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง
หงโต้วหันหลังกลับไปด้วยความงุนงง “คุณหนู”
คุณหนูของนางกัดฟันอดทนได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ปกติหากคุณหนูไม่พอใจก็จะจัดการทันทีเลย
“อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น อีกอย่างนี่เป็นแค่การคาดเดา”
แผนการสังหารครั้งนี้ดูมีช่องโหว่ทุกจุดและการคาดเดาเช่นนั้นก็เพียงพอสำหรับการเดินหน้าต่อของนางแล้ว
นางไม่อยากถูกกักขังอยู่ที่จวนสกุลเซิ่งของเมืองจินซา นางต้องการไปดูที่จวนเจิ้นหนานอ๋อง
ดูสิว่าค่ำคืนนั้น จวนที่ถูกเสียงเข่นฆ่าปิดล้อมตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ลั่วเซิงรู้สึกร้อนใจ แต่ก็รู้ว่าไม่ควรใจร้อน ควรแก้ปัญหาที่คุณหนูลั่วทิ้งไว้ให้สำเร็จก่อน
อีกอย่าง…ลั่วเซิงลูบข้อมืออย่างเบามือ
ข้อมือเด็กสาวขาวดุจหิมะ เป็นช่วงวัยที่ดีที่สุด
นางตายตาไม่หลับจึงยืมร่างของคุณหนูลั่วเกิดใหม่ ทำให้ติดค้างนาง
บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ เป็นหลักที่นางยึดถือมาโดยตลอด
เมื่อเห็นลั่วเซิงนิ่งเงียบ หงโต้วก็เริ่มร้อนใจ “คุณหนูจะปล่อยไปอย่างนี้หรือเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงหยุดคิดและยิ้มจางๆ “ไม่ปล่อยไปแน่นอน อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น แต่จะล่องูออกจากถ้ำ”
“ล่องูออกจากถ้ำรึ” หงโต้วกะพริบตา แววตาเป็นประกาย “จะล่องูออกจากถ้ำอย่างไรเจ้าคะ”
ในเวลานี้ก็ปรากฏเสียงดังมาจากนอกประตู “คุณหนู พี่ซวงเยี่ยจากเรือนฮูหยินใหญ่ขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงพยักหน้าให้กับหงโต้วเล็กน้อย หงโต้วจึงตะโกนทันที “ให้นางเข้ามา”
ลั่วเซิงลูบหน้าผาก
นางส่งสัญญาณให้หงโต้วจัดห้องให้เรียบร้อย อย่างน้อยให้เอาผ้าขาวที่ห้อยอยู่ออกจากคาน…
สาวใช้สวมชุดปี๋เจี่ย[1]สีเขียวเดินเข้ามา และทันทีที่เห็นผ้าขาวสีหม่นหมองตรงหน้าก็กรีดร้องและแทบทรุดตัวลงกับพื้น
หงโต้วเท้าสะเอวตะคอก “เห่าหอนเสียงดังทำไม ทำให้คุณหนูของพวกข้าตกใจขึ้นมาจะทำอย่างไร”
ซวงเยี่ยมองยังลั่วเซิงที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะแล้วหันมองผ้าขาวที่แขวนอยู่ด้วยริมฝีปากสั่นเทา
ตกลงใครหลอกใครกันแน่ คุณหนูหลานนอกช่างน่ากลัวเสียจริงๆ
“มีเรื่องอะไร” ลั่วเซิงเอ่ยถาม
ซวงเยี่ยสงบสติอารมณ์ ก้มศีรษะเอ่ย “คืนนี้เจ้านายจะร่วมงานเลี้ยงครอบครัวกันพร้อมหน้า ฮูหยินใหญ่สั่งให้ข้ามาแจ้งท่านเจ้าค่ะ”
“รู้แล้ว”
ซวงเยี่ยคุกเข่าให้กับลั่วเซิงและหลังจากกลับเรือน ก็บรรยายฉากที่เห็นเมื่อเข้าไปในห้องของลั่วเซิงอย่างละเอียด “ผ้าขาวผืนหนึ่งแขวนอยู่ต่อหน้าต่อตาบ่าว หัวใจของบ่าวแทบจะหลุดออกจากอกเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่สีหน้าย่ำแย่อยู่บ้าง “จะก่อเรื่องอะไรอีกนะ”
โชคดีที่ค่ำคืนนี้คุณหนูหลานนอกจะไม่มาร่วมงานเลี้ยงครอบครัว คงไม่ถึงขั้นทะเลาะกับเหล่าลูกชายและลูกสาวหรอกนะ
ทุกวันที่ห้า จวนสกุลเซิ่งจะจัดงานเลี้ยงครอบครัว โดยร่วมรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน ลั่วเซิงเป็นแขก แม้นางจะไว้หน้าและเคยเข้าร่วมเพียงหนเดียว แต่ฮูหยินใหญ่ที่ดูแลทุกเรื่องในจวนก็จะส่งคนไปเชิญนางทุกครั้ง
ฮูหยินใหญ่รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยและกำชับซวงเยี่ยว่า “ไปบอกคุณชายทั้งสองให้อยู่ห่างจากคุณหนูหลานนอกนั่นซะ”
อุตส่าห์ป้องกันอย่างดี กลับนึกไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะมีแผนยกคุณหนูหลานนอกให้กับเหล่าลูกชายของนาง หากรู้เช่นนี้ คงหารือเรื่องงานแต่งกับสกุลซูให้สำเร็จไปแล้ว
ในไม่ช้า ตะวันก็ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ลั่วเซิงรีบไปที่เรือนฝูหนิงพร้อมกับหงโต้ว
เมืองจินซาตั้งอยู่ทางตอนใต้ แม้ว่าบัดนี้จะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่พืชพรรณในจวนสกุลเซิ่งก็เขียวชอุ่มและดอกไม้ก็บานสะพรั่ง
ลั่วเซิงเดินผ่านดอกไม้และต้นหลิวและประจันหน้ากับชายหนุ่มทั้งสี่คน
นางยืนนิ่งและกวาดมองชายทั้งสี่
สูงตระหง่านราวกับต้นสนสีเขียวคือพี่ชายใหญ่ นัยน์ตาดอกท้อและถือพัดพับคือพี่ชายรอง คิ้วหนาตากลมคือพี่ชายสาม ส่วนคนที่ดูอ่อนเยาว์คือน้องชายสี่
ชายทั้งสี่มาเยี่ยมเยียนนางพร้อมกันหนึ่งหนหลังจากนางฟื้น แม้จะมาไวไปไวราวกับทำตามหน้าที่ แต่นางก็จดจำพวกเขาได้
หลังจากฟื้น ทุกอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน นางต้องจำทุกสิ่งที่นางได้ยินและมองเห็น
ลั่วเซิงโค้งคำนับเล็กน้อยทักทายแบบคนรุ่นเดียวกัน
พวกเขาทั้งสี่ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ทันทีที่เห็นลั่วเซิง เห็นนางคำนับทักทายถึงรู้สึกตื่นจากฝัน
ลูกพี่ลูกน้องทั้งสามที่รู้สึกตัวล้วนรีบคำนับทักทายต่อลั่วเซิงและเอ่ยพร้อมเพรียงกัน “ข้ามีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอก คงไม่ได้อยู่พูดคุยกับน้องแล้ว”
ทันทีที่คำพูดจบ คนทั้งสามก็สลายตัว คุณชายรองเซิ่งไม่ลืมที่จะคว้าตัวน้องเล็กที่ยืนนิ่งอึ้งไปด้วย
หงโต้วอ้าปากกว้าง “คุณชายทั้งหลายทำอะไรเจ้าคะ”
ลั่วเซิงไม่แยแส “ไม่ต้องใส่ใจ ไปกันเถอะ”
คนที่วิ่งหลบหนีหลังจากเห็นนาง คงไม่กล้าฆ่าคน ยิ่งไปกว่านั้น คุณหนูลั่วไม่ได้แสดงท่าทีว่าสนใจลูกพี่ลูกน้องของตน อีกฝ่ายจึงไม่น่าลงมือ
คนทั้งสี่ที่วิ่งออกจากประตูใหญ่หอบเสียงดังและตื่นตกใจ
“พี่ชายทั้งสาม ไม่ต้องกลัวถึงขนาดนี้หรอกกระมัง” คุณชายสี่เซิ่งดูงุนงง
คุณชายรองเซิ่งที่มีนัยน์ตาดอกท้อใช้พัดพับลายทองเคาะศีรษะคุณชายสี่เซิ่ง “เจ้าเด็กโง่รู้เรื่องอะไร ถูกน้องสาวลั่วตามติดแจ ชีวิตจะมืดมนไร้ซึ่งความหวัง!”
[1] ชุดปี๋เจี่ย มีลักษณะเป็นชุดไร้แขน ไม่มีปก ความยาวถึงบริเวณเข่าคล้ายเสื้อกั๊ก เป็นชุดที่สะดวกสำหรับการขี่ม้ายิงธนู โดยมากจะสวมทับเสื้อแขนยาวอีกชั้น