ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง - ตอนที่ 103 ทางออก
พี่น้องสองคนดูอ้ำอึ้ง พูดไม่ออก
เซียวหงลี่รับราชการมานานหลายปี ได้เห็นผู้คนหลากหลายประเภท มีดวงตาที่แหลมคมและยาวไกล เมื่อเห็นพี่น้องสองหนุ่มมีท่าทางหลบหน้าหลบตา เขาก็วางสีหน้าเคร่งขรึมถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับ โหรวโหรว!”
“น้องหมดสติตอนพยายามช่วยชีวิตผมครับ ตอนนี้น้องอยู่ในห้องคนไข้ห้องถัดไป” เซียวเหยากล่าวอย่างอ่อนโยน พร้อมกับมองหน้าพ่อกับแม่
เซียวหงลี่และหยางจิ้งเสียนรีบไปที่ห้องคนไข้ข้างๆ ทั้งสองวิตกกังวลมากขึ้นอีกหลายเท่า เมื่อเห็นว่าถังซีนอนหมดสติอยู่บนเตียงผู้ป่วย ทั้งสองตรวจสอบจอแสดงผลทางการแพทย์ และรู้สึกโล่งใจที่ได้เห็นตัวเลขแสดงค่าต่างๆ ทุกตัวเป็นค่าปกติ หลังจากกลับไปที่ห้องเซียวเหยา เซียวหงลี่ก็จ้องหน้าพี่ชายทั้งสามและถามอย่างดุดัน “ทุกคนต้องให้เหตุผลที่ดีแก่พ่อ ทำไมเซียวเหยาถึงบาดเจ็บ ทำไมโหรวโหรว เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องไปช่วยชีวิตเขา และทำไมเธอถึงอยู่ในอาการโคม่า”
เซียวเหยารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย นี่เขาเป็นลูกชายของคุณพ่อคุณแม่จริงหรือเปล่าเนี่ย
เซียวเหยามองหน้าเซียวส่าและเซียวจิ่ง เซียวส่ารีบเดินไปเฝ้าที่ประตูทันที จากนั้นเซียวเหยาก็เริ่มเล่า “ผมเป็นผู้บังคับการกองกำลังพิเศษ แห่งกองกำลังต่อต้านการก่อการร้ายสากลแห่งประเทศจีนครับ วันที่ผมไปส่งโหรวโหรวที่โรงเรียน ผมได้รับคำสั่งจากท่านผู้บัญชาการให้มุ่งหน้าไปที่เมือง J มณฑล Y เพื่อสังหารหัวหน้าองค์กรอาชญากรรมก่อการร้ายระหว่างประเทศชื่อคลอส แต่เราถูกพวกมันซุ่มโจมตีและฆ่าตายเกือบหมด”
เซียวหงลี่ขมวดคิ้วมองดูลูกชายคนโตอย่างเพ่งพินิจ เขาคิดอยู่เสมอว่าเขารู้จักลูกชายดี แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายเป็นผู้บังคับการ เป็นพันตรีแห่งกองกำลังพิเศษ… เขาหลับตานึกภาพได้เลยว่าลูกชายผ่านอะไรมาบ้างในเวลาหลายปีที่ผ่านมา
หยางจิ้งเสียนรู้สึกระคนกันระหว่างเสียใจและภูมิใจ เธอเกิดในตระกูลทหาร แม้จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขหลังจากแต่งงานกับเซียวหงลี่ แต่เธอก็รู้สึกเสียใจอยู่เสมอว่าไม่มีลูกๆ ของเธอคนใดเข้าร่วมกองทัพ เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าลูกชายคนโตจะทำให้เธอประหลาดใจ
บุตรชายทั้งสามของหยางจิ้งเชาพี่ชายเธอ เข้ารับราชการในกองทัพตั้งแต่พวกเขาอายุยังน้อย หลานชายทั้งสามอยู่ในวัยสามสิบแล้วตอนนี้ เพิ่งมียศเพียงร้อยเอก แต่ลูกชายเธอเป็นพันตรีแล้ว
และพี่ชายของเธอเป็นเพียงพลตรี…
เธอไม่รู้ว่าควรจะเสียใจกับลูกชายหรือภูมิใจในตัวเขาดี
เซียวหงลี่ถามว่า “โหรวโหรวไปช่วยชีวิตลูกไกลถึงขนาดนั้นได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ลูกอยู่ที่เมือง J แล้วทำไมน้องถึงหมดสติ”
“คุณพ่อคุณแม่รู้ใช่ไหมครับว่าโหรวโหรวแตกต่างจากคนทั่วไป” แทนที่จะตอบคำถามของเซียวหงลี่ เซียวเหยากลับย้อนถามทั้งสองแทน
เมื่อได้ยินคำถามของเซียวเหยา เซียวหงลี่ก็เดาได้ว่าสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนั้นอาจเป็นสิ่งที่เกินกว่าจะจินตนาการ หรือยอมรับได้ยาก เขาจึงเงียบเสีย
หยางจิ้งเสียนพยายามยิ้ม แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เธอจึงถามว่า “ลูกหมายความว่าอย่างไร แม่ไม่เข้าใจ”
เซียวเหยาถอนหายใจตอบว่า “ผมมีบาดแผลกระสุนปืนมากกว่ายี่สิบนัด และที่ร้ายแรงที่สุดคือแผลที่ท้อง ซึ่งทำให้ผมเกือบเสียชีวิต ขณะที่ผมคิดว่าผมกำลังจะตาย โหรวโหรวก็มาปรากฏตัว”
ทันใดนั้นหยางจิ้งเสียนก็ยกมือขึ้นปิดปาก แล้วพึมพำว่า “ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่แม่เห็นวันนั้นก็เป็นความจริงน่ะสิ…”
เซียวเหยามองหน้าหยางจิ้งเสียน เซียวหงลี่ก็ขมวดคิ้วมองเธอด้วยความสงสัยถามว่า “คุณเห็นอะไร”
หยางจิ้งเสียนมองหน้าเซียวส่าซึ่งยืนอยู่ที่ประตู แล้วมองเซียวจิ่ง ก่อนจะเริ่มเล่า “ฉันเห็นโหรวโหรว หายตัวได้…
…วันที่พี่ใหญ่กับภรรยามาที่บ้านเรา ฉันขึ้นไปงีบหลับหลังอาหารกลางวันที่ห้อง หลังจากนั้นฉันหิวน้ำ ก็เลยลุกขึ้นมาหาน้ำดื่ม แต่ตอนที่ฉันเปิดประตูห้องออกมา ฉันเห็นว่าจู่ๆ โหรวโหรวก็หายตัวไปจากโซฟา หลังจากนั้นจิ่งกับส่าก็รีบออกไป ฉันคิดว่าฉันกำลังฝัน…” หยางจิ้งเสียนดูงุนงงเล็กน้อยเมื่อเล่าต่อไป “แต่ปรากฏว่านี่เป็นความจริง…” เธอมองหน้าเซียวเหยาแล้วถามว่า “โหรวโหรวเป็นมนุษย์หรือเปล่าลูก”
เซียวหงลี่ไม่เชื่อคำพูดของเธอ “คุณแน่ใจหรือว่าคุณไม่ได้ฝัน”
“คุณพ่อครับถึงคุณแม่จะฝัน แต่เราไม่ได้ฝันนะครับ” เซียวจิ่งขัดขึ้น “โหรวโหรวบอกเราว่าเธอเป็นนางฟ้า แต่เราคิดว่าเธอล้อเล่น เราไม่เชื่อจนกระทั่งวันที่พี่เหยาตกอยู่ในอันตราย และโหรวโหรวไปช่วยชีวิตเขาไว้ พี่เหยาได้รับบาดเจ็บสาหัส คณะแพทย์ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ แต่โหรวโหรวใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการผ่าตัดจนสำเร็จเรียบร้อย และพี่เหยาก็รอด…”
เซียวเหยาพยักหน้าแล้วเสริมต่อไปว่า “แต่โหรวโหรวตกอยู่ในอาการโคม่า เพราะเธออ่อนเพลียมากหมอบอกว่าเธออาจจะไม่ฟื้นเลย”
หยางจิ้งเสียนพึมพำ “ไม่น่าแปลกใจที่ฉันรู้สึกว่าเธอแตกต่างจากวันแรกที่ฉันเห็นเธอ ปรากฏว่าเธอเป็นนางฟ้าจริงๆ”
เซียวหงลี่กล่าวอย่างจริงจังว่า “นี่คุณพูดอะไร ไม่มีเทวดานางฟ้าหรือผีสางอะไรหรอกในโลกนี้ อย่าพูดไร้สาระ!”
เซียวจิ่งแย้งอย่างไม่เห็นด้วย “คุณพ่อครับ แล้วคุณพ่อคิดโหรวโหรวเป็นสิ่งมีชีวิตแบบไหนล่ะครับ”
“เอาล่ะ จำไว้ให้ดีว่า โหรวโหรวหมดสติเพราะเธอวิ่งตกบันได ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว!” เซียวหงลี่มองหน้าทุกคน และสรุปจบอย่างไม่พอใจ “โหรวโหรวเป็นลูกสาวของครอบครัวของเรา เธอเป็นคนปกติเข้าใจไหม”
คนที่เหลือทั้งสี่พยักหน้า แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่เปิดเผยความลับของโหรวโหรว ไม่สามารถให้คนอื่นรู้ได้ว่าโหรวโหรวเป็นนางฟ้า ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องเผชิญปัญหาอย่างใหญ่หลวง ถ้าเกิดมีคนคิดไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากนั้นตอนนี้โหรวโหรวก็อยู่ในอาการโคม่า อาจสายเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะเสียใจ หากความลับของเธอถูกเปิดเผย
เซียวหงลี่กล่าวอย่างจริงจัง “พ่อจะไปโทรศัพท์ เรานั่งอยู่เฉยๆ รอให้โหรวโหรวตื่นขึ้นมาเองไม่ได้หรอก”
เซียวเหยากล่าวว่า “ผมขอให้คุณหมอด้านสมองมืออาชีพจากเมืองหลวงมาตรวจอาหารโหรวโหรวแล้วครับ พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากเกี่ยวกับสมองมนุษย์”
เซียวหงลี่พยักหน้าและลุกขึ้น “พักผ่อนให้เต็มที่อย่าวิตกกังวลมากเกินไป สำหรับโหรวโหรวพ่อเชื่อว่าเธอจะฟื้นอย่างแน่นอน”
เซียวจิ่งขมวดคิ้ว “แต่โฆษณาน้ำหอมที่จะฉายทางทีวีกำลังจะเริ่มถ่ายทำวันเสาร์นี้แล้ว ตอนนี้เราจะอธิบายกับพวกเขาว่ายังไงดีล่ะครับ”
เซียวเหยากล่าวว่า “โทรหาเฮ่อหว่านหนิง บอกเขาว่าโหรวโหรวเข้าโรงพยาบาล”
เซียวส่าพยักหน้า “นี่เป็นเพียงวิธีเดียว โหรวโหรวไม่ได้ทำผิดสัญญา เธออยู่ในอาการโคม่าร้ายแรง ถ้าจำเป็นเราจะจ่ายค่าเสียหายตามสัญญา และให้เฮ่อหว่านหนิงเลือกหานางแบบคนอื่น”
เซียวเหยาเห็นด้วย และบอกให้เซียวจิ่งโทรหาเฮ่อหว่านหนิง “ขอให้เขามาที่โรงพยาบาล ยังไงเขาก็คงมาอยู่แล้ว”
ขณะที่เฮ่อหว่านหนิงได้รับโทรศัพท์ เฮ่อหว่านอีมาที่บริษัทของเขาพอดี เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวจิ่ง เฮ่อหว่านหนิงก็ขมวดคิ้ว ถามด้วยความห่วงใยว่า “เธอพ้นขีดอันตรายหรือยังครับ”
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ตกลงครับ ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้” ขณะวางหูโทรศัพท์เขาก็กล่าวกับเฮ่อหว่านอี “เซียวโหรวตกบันไดหมดสติ พี่จะไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล”