ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง - ตอนที่ 245 สุนัขจนตรอกพยายามกระเสือกกระสน
“นายแน่ใจแล้วเหรอ” เซียวจิ่งตกตะลึงมองหน้าเฉียวเหลียง เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฉียวเหลียงจะตัดสินใจทำลายหงคุนกรุป “นายแน่ใจแล้วนะว่าต้องการทำลายหงคุนกรุป”
เฉียวเหลียงมองตอบเซียวจิ่งด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น “แล้วนายคิดว่าฉันจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร” เขากล่าว ขณะที่มือก็ยังลูบไล้นิ้วมือถังซีเล่น “ไม่ใช่แค่หงคุนกรุป แต่รวมถึงธุรกิจทุกอย่างที่เป็นของตระกูลลู่ ทุกบริษัทที่ให้เงินทุนสนับสนุนหงคุนกรุป หรือร่วมมือกับหงคุนกรุป เพื่อจุดประสงค์จะแบ่งแยกเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป ก็จะถูกทำลายล้างทั้งหมด ฉันจะทำให้พวกมันเห็นว่า มันจะมาฮุบธุรกิจของตระกูลเฉียว หรือจะมาโดนตระกูลเฉียวฮุบกันแน่!”
เซียวจิ่งกลืนน้ำลาย “แต่คงต้องใช้เวลานานพอดูนะที่จะยุบบริษัทพวกนี้ทั้งหมด และเราอาจมีเงินทุนไม่พอ”
ผู้กำกับมู่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ในใจคิดแต่ว่า “นายไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น! นายเป็นต้นไม้ ไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน! นายไม่ได้ยินว่าท่านประธานทั้งสองของเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุป กำลังวางแผนทำลายล้างบริษัทเกินกว่าครึ่งของบริษัททั้งหมดในเมือง A…”
ถังซีหันไปมองผู้กำกับมู่ ซึ่งเอาแต่ปาดเหงื่อที่หน้าผาก เธอเม้มริมฝีปากน้อยอย่างเห็นอกเห็นใจ พลางสะกิดมือเฉียวเหลียง ชายหนุ่มหันมามองเธอ เธอจึงส่งสัญญาณให้เขามองดูผู้กำกับมู่ เฉียวเหลียงหันไปทางผู้กำกับมู่ เลิกคิ้วแล้วกล่าวขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ ราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ปัญหาครอบครัวน่ะครับ ผมต้องขอโทษด้วยครับ ผู้กำกับมู่”
“ฮ่า ฮ่า…” ผู้กำกับมู่หัวเราะเฝื่อนๆ “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้ยินอะไรเลย” พระเจ้าช่วย การทำลายล้างบริษัทเกือบทั้งหมดในเมือง A เป็นแค่ปัญหาครอบครัวสำหรับเฉียวเหลียงเท่านั้นเองหรือ
เมื่อเห็นผู้กำกับมู่ทำท่าราวกับนั่งทับเข็มอยู่ทั้งกอง เซียวจิ่งจึงหยุดคุยกับเฉียวเหลียง กล่าวอำลาก่อนจะออกจากห้องไป ถังซีเห็นดังนั้น จึงหันมาถามเฉียวเหลียง “แล้วคุณจะอยู่ที่นี่ต่อจริงๆ เหรอ”
เฉียวเหลียงยิ้ม ลูบผมเธอ และตอบว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงผม คุณกลับไปโรงเรียนเถอะ”
ถังซีขมวดคิ้ว ฎฉันไม่รู้นะว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไร แต่ยังไงก็เถอะ ฉันลาโรงเรียนมาแล้ว ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนคุณที่นี่ก็แล้วกัน ตอนเย็นจะได้แวะไปบ้านคุณ ไปเยี่ยมคุณป้าเฉียว แต่ยังไงคุณก็น่าจะเล่าให้คุณป้าฟังด้วยนะ ไม่อย่างนั้นท่านต้องเป็นกังวลมากแน่เลย ถ้าได้เห็นจากในข่าว!”
เฉียวเหลียงมองเธออย่างรักใคร่ กุมมือเธอไว้โดยไม่สนใจสายตาคนอื่น บอกด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อันที่จริงแม่ผมไม่ได้เปราะบางอย่างที่คุณคิด ถ้าบอบบางขนาดนั้นท่านก็คงไม่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้”
ถังซีอึ้งไป
เธอยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อโน้มน้าวใจเฉียวเหลียง ขณะนั้นนั่นเองผู้กำกับมู่ก็ถือโอกาสออกจากห้องไป ถังซีนั่งมองเฉียวเหลียง ซึ่งเอาแต่ง่วนกับการพิมพ์บนคีย์บอร์ด เธอนิ่วหน้า “นี่คุณจะมาอาศัยอยู่ในสถานีตำรวจอย่างนี้น่ะเหรอ ตอนนี้คุณกลายเป็นวีรบุรุษในสายตาประชาชนไปแล้ว จะยังมาอยู่ที่นี่อีกทำไม”
“ผมมาที่นี่เพราะมีเรื่องจำเป็นต้องคุยกับผู้กำกับมู่ และอีกสักครู่ก็กำลังจะต้องพบกับใครอีกคนหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นผมก็ต้องเดินทางไปทำธุระที่ต่างประเทศ” เฉียวเหลียงเงยหน้าขึ้นมองถังซี “ถังซี แวดวงธุรกิจน่ะซับซ้อนยุ่งเหยิงมาก ผมมีเรื่องต้องจัดการกวาดล้างให้เรียบร้อย และตอนนี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ทำอย่างนั้น”
“คุณจะไปต่างประเทศ” ถังซียังคงขมวดคิ้ว “จะไปต่างประเทศตอนนี้เนี่ยนะ คุณไม่ห่วงอะไรทางนี้บ้างเลยหรือไง”
เฉียวเหลียงยิ้ม “เซียวจิ่งจะดูแลบริษัทแทนผม ผมไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง”
ถังซีนิ่งเงียบไป เพราะไม่รู้จะเถียงเขาอย่างไรดี เธอมองเขาอยู่เงียบๆ ขณะที่โทรศัพท์มือถือเขาดังขึ้น เฉียวเหลียงมองดูชื่อผู้โทรแล้วกดสายทิ้งไป ถังซีเห็นว่าเป็นลู่กวงสยงโทรเข้ามา เธอทำปากยื่นเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณทำงานไปเถอะ ฉันจะไปเยี่ยมคุณป้าเฉียว ฉันไม่อยากให้ท่านเห็นข่าว”
เฉียวเหลียงยิ้มน้อยๆ ขณะเฝ้ามองร่างเธอเดินจากไป เธอไม่มีความจำเป็นต้องเป็นห่วงมารดาเขาเลย ท่านไม่ใช่คนที่ตื่นตระหนกกับอะไรง่ายๆ และไม่ใช่ผู้หญิงที่เปราะบางเลยสักนิด
และก็เป็นดังที่เฉียวเหลียงคาดไว้ เมื่อเฉียวอวี่ซินเห็นข่าว นางไม่ได้ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย พ่อบ้านเก่าแก่รู้สึกเป็นห่วงเฉียวเหลียง ว่าจะลำบากขณะอยู่ที่สถานีตำรวจ นางยังกล่าวปลอบใจเขาด้วยรอยยิ้มด้วยซ้ำว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก ทันทีที่เขาไปถึงสถานีตำรวจลู่หงคุนก็จะถูกจับกุม ด้วยข้อหากระทำการฆาตกรรมโดยเจตนา นี่เธอคิดจริงๆ หรือว่าอาเหลียงจะลำบากหรือเดือดร้อน”
นางรู้จักลูกชายนางดี เขาให้ความสำคัญกับความรักความผูกพันมาก แต่ไม่มีวันให้อภัยศัตรูง่ายๆ ครั้งนี้เขาอาจไม่ไว้ชีวิตบิดาตัวเองเสียด้วยซ้ำ
เมื่อคิดเช่นนี้เฉียวอวี่ซินก็ถอนหายใจ นางกดปุ่มเลื่อนรถเข็นไปที่หน้าต่างแบบฝรั่งเศส มองออกไปยังสนามหญ้ากว้างสุดสายตา แล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “พ่อบ้าน เธอเคยคิดบ้างไหมว่าฉันกับอาเหลียงจะเป็นยังไง ถ้าหากฉันไม่ได้แต่งงานกับลู่กวงสยง อาเหลียงก็คงจะไม่กลายเป็นคนที่สุดโต่งแบบนี้ และฉันก็คงไม่ต้องมาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนรถเข็นแบบนี้”
พ่อบ้านชรารู้สึกสงสารนาง เขาก้าวมายืนข้างหลังแล้วกล่าวว่า “คุณผู้หญิง ท่านพูดอะไรอย่างนั้นครับ ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ลู่กวงสยงต่างหากที่ทำผิด เขาเป็นคนไม่รู้คุณคน ตอบแทนความเมตตาด้วยความอกตัญญู ไม่ใช่ความผิดของท่านเลย โปรดอย่าโทษตัวเองเลยครับ และอีกอย่าง…” พ่อบ้านมองไปขาของเฉียวอวี่ซิน ยิ้มและกล่าวว่า “ส่วนขาของท่าน คุณหนูเซียวบอกแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าเธอสามารถทำให้ท่านกลับมายืนได้อีกครั้ง ผมคิดว่าที่เธอพูดน่ะเป็นความจริง”
เฉียวอวี่ซินยิ้ม แล้วพยักหน้า “เอาเถอะ พ่อบ้านพูดถูก ฉันจะลืมอดีตไปให้หมด และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่กับลูกชาย หลังจากที่ขาฉันหายดีแล้ว ฉันจะขอให้ลูกชายแต่งงานกับเซียวโหรว แล้วก็รอให้พวกเขามีหลานเล็กๆ ที่น่ารักให้สักคน”
พ่อบ้านชรายิ้มโล่งอก “ต้องอย่างนี้สิครับ ค่อยดูเหมือนคุณผู้หญิงที่ผมรู้จัก”
เฉียวอวี่ซินหันมายิ้ม เมื่อสาวใช้คนหนึ่งตรงเข้ามาแจ้งกับพ่อบ้านชราว่า “คุณพ่อบ้านคะ มีผู้ชายคนหนึ่งมาที่นี่ ยืนยันว่าจะขอพบคุณท่านค่ะ”
รอยยิ้มของเฉียวอวี่ซินเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นเย็นชา นางมองหน้าพ่อบ้านชรา แล้วกล่าวกับเขาว่า “คงจะเป็นลู่กวงสยง เราไปดูกันซิว่า เจ้าสุนัขจนตรอกมันจะกระเสือกกระสนได้ขนาดไหน”
พ่อบ้านชราดูเป็นกังวล เมื่อกล่าวขึ้นว่า “แต่คุณผู้หญิง ท่านจะ…”
เฉียวอวี่ซินยังคงยิ้ม “เขาทำให้ฉันเป็นแบบนี้ ฉันรู้ดี และเขาก็รู้ดี ฉันจะไม่มีวันรู้สึกด้อยค่าเมื่อไปปรากฏตัวต่อหน้าเขาในสภาพนี้ ในทางกลับกัน เขาสิ ควรรู้สึกละอายใจ” นางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อไป “ฉันจะแสดงให้เขาเห็นว่า หลังจากที่ไปจากเขาแล้ว ฉันกลับมีพลังมากขึ้น ไม่ได้สิ้นหวังหมดอาลัย ในขณะที่เขาเองกลับกลายเป็นคนไร้ค่า เมื่อไม่มีตระกูลเฉียวคอยสนับสนุน!”
พ่อบ้านชราเข็นรถเข็นออกไปตามที่นางยืนยัน เพียงแค่พ้นประตู เฉียวอวี่ซินก็ได้เห็นลู่กวงสยงและกลุ่มคนรับใช้กำลังต่อสู้ผลักไสกัน ลู่กวงสยงหยุดชะงักทันทีที่เห็นเฉียวอวี่ซิน
อาห้ารีบวิ่งเข้ามาขวาง เอาตัวบังเฉียวอวี่ซินไว้ เขาถลึงตาจ้องลู่กวงสยง “คุณลู่ นายน้อยสั่งไว้ว่าที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ กรุณาออกไป!”