ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง - ตอนที่ 439 ผมก็จะรอดไปได้เหมือนกัน
ทั้งสี่ไม่ได้โทรเรียกเฮ่อหว่านโจวมาทานอาหารกลางวันด้วย เพราะเป็นเวลาที่เลยอาหารเที่ยงมานานจนเกือบจะเป็นอาหารเย็นแล้ว เมื่อพวเขาทานกลางวันเสร็จก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นพอดี ถังซีได้ทานอาหารเที่ยงช้าเพราะเธอทานอาหารเช้าตอนสายมาก และมัวยุ่งอยู่กับสถานที่จัดโชว์ จนไม่มีเวลาได้ทานอาหารเที่ยง…
ส่วนหนิงเหยี่ยนและเซียวจิ่งก็มีธุระยุ่งตลอดทั้งวันเช่นกัน พวกเขาไปที่สำนักงานสาขาปารีสของหลงเซี่ยว เพื่อดูเหลยถิงสอบปากคำคนเหล่านั้น เขารู้สึกว่าแม้แต่วิธีการทรมานเพื่อสืบค้นความจริงของซีไอเอก็ยังเทียบไม่ติดกับวิธีของหลงเซี่ยว แทนที่จะใช้เครื่องมือแบบโบราณ พวกเขาสอบสวนด้วยกระบวนการทางจิตวิทยา เพียงไม่นานคนเหล่านั้นก็ยอมสารภาพ…
พวกเขาช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!
ถ้าหากทั้งสองได้รู้เรื่องเทคนิคการทรมานด้วยนาฬิกาที่เฉียวเหลียงใช้กับคลอส เลิฟ พวกเขาคงแทบกระอักเลือด…
หลังอาหารกลางวันทุกคนต่างแยกย้ายกันไปเข้าห้องพัก เฉียวเหลียงบอกถังซีว่าเขามีธุระต้องไปจัดการ ขอให้เธอดูแลตัวเองให้ดี ถังซีส่งเขาออกไปด้วยรอยยิ้ม “อย่าเห็นฉันเป็นเด็กสามขวบไปหน่อยเลย ถึงแม้ว่าตอนนี้ฉันจะยังควบคุมทักษะพิเศษของตัวเองได้ไม่เต็มที่ แต่ฉันก็แข็งแรงกว่าคนปกติทั่วไป แถมคนของคุณยังเฝ้าอยู่ทั่วโรงแรม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฉันหรอกน่า”
เฉียวเหลียงมองหน้าถังซีอย่างประหลาดใจ เขาไม่ได้บอกเธอสักหน่อย ว่าเขาวางกำลังคนของหลงเซี่ยวไว้ทั่วโรงแรมเพื่อคุ้มกันเธอ เธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร
เหมือนถังซีจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เธอหัวเราะในลำคอ “เป็นเพราะทักษะพิเศษของฉันไงล่ะ ฉันมีสัมผัสที่ไวมากต่อสิ่งรอบตัว สายตาฉันก็คมชัดกว่าเมื่อก่อน ฉันคิดว่าการมีทักษะพิเศษนี้เป็นประโยชน์กับฉันมากทีเดียว”
เฉียวเหลียงขยี้ผมเธอ “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ปลอดภัยไว้ก่อน”
…
ทางอีกด้านหนึ่ง หั่วอวิ๋นซึ่งเป็นผู้ช่วยลู่หลีจัดการเก็บกวาดภายหลังเหตุการณ์กรณีตระกูลคลอส แสดงอาการไม่พอใจอย่างมากเมื่อได้รับข้อความที่เจ้าหน้าที่อีกคนส่งมาให้ เธอเก็บโทรศัพท์แล้วเดินเข้าไปหาลู่หลี บอกกับเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คุณเจ็ดคะ ผู้หญิงคนนั้นไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้หญิงของนายน้อยเลย ทำไมคุณไม่ห้ามนายน้อยไม่ให้คบกับผู้หญิงคนนั้น”
ลู่หลีซึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการตรวจดูเอกสาร ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เขาเงยหน้าขึ้นมองหั่วอวิ๋น แล้วหรี่ตาลง “เธอหมายความว่ายังไง”
หั่วอวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรดีเลย! หล่อนมีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้เรา หล่อนไม่คู่ควรกับนายน้อย!”
ลู่หลีจ้องหน้าเธอ ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น เขาลุกขึ้นและตำหนิเสียงเข้มอย่างดุดัน “เธอกำลังเข้าไปยุ่งในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องของเธอ! อะไรทำให้เธอสำคัญตัวผิด ว่าจะสามารถเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของนายน้อยได้”
หั่วอวิ๋นมองลู่หลีอย่างโกรธเคือง โต้ตอบว่า “คุณเจ็ด คุณเปลี่ยนไป คุณไม่เคยพูดกับฉันอย่างนี้มาก่อน!”
“เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรอยู่” อุณหภูมิรอบข้างราวกับจะลดลงสู่จุดเยือกแข็งในทันใด ลู่หลีจ้องหน้าหั่วอวิ๋นเขม็ง กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ในฐานะเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของหลงเซี่ยว เธอมีหน้าที่ปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น อย่ายื่นจมูกเข้าไปยุ่งในเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของเธอ ฉันรู้ดีว่าเธอรักเฉียวเหลียง และฉันไม่ห้ามถ้าเธออยากจะสารภาพรักกับเขา แต่ถ้าเธอกล้าทำร้ายเซียวโหรวเพราะความหึงหวง ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่ เฉียวเหลียงก็คงไม่เก็บเธอไว้เหมือนกัน!”
“ในเมื่อคุณก็รู้ว่าฉันรักนายน้อยมากแค่ไหน ทำไมคุณ…” หั่วอวิ๋นจ้องหน้าลู่หลีอย่างเกลียดชัง “ทำไมคุณไม่ยอมให้ฉันติดตามเขา!”
“เธออยากเสียอนาคตในหน้าที่การงานเพราะผู้ชายคนเดียวงั้นเหรอ” ลู่หลีตวาด “หั่วอวิ๋น อย่าลืมว่าตัวเองเป็นใคร ถึงแม้เธอจะหลงรักผู้ชายคนหนึ่ง แต่เธอไม่ได้เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่หลงรักเฉียวเหลียง แต่เธอยังเป็นเจ้าหน้าที่ของหลงเซี่ยวด้วย! ฉันหวังว่าเธอจะไม่ลืมหน้าที่ของตัวเอง”
หั่วอวิ๋นยืนนิ่งตัวแข็งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหลบตาลงต่ำ กล่าวว่า “ขอโทษค่ะ คุณเจ็ด ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวังอีก”
“ออกไปได้แล้ว” ลู่หลีพูดจบก็หันไปตรวจดูเอกสารต่อ หลังจากหั่วอวิ๋นออกไปแล้ว เขาก็ยกนิ้วขึ้นถูระหว่างหัวคิ้ว เงยขึ้นมองไปบนท้องฟ้า และเข้าสู่ภวังค์ในที่สุด เขาไม่อาจอยู่ร่วมกับเธอได้… เพราะงานของเขา
เธอเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองกำลังต่อต้านการก่อการร้าย ส่วนเขาคือผู้ก่อการร้าย ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายอะไรเช่นนี้!
ทันทีที่หั่วอวิ๋นก้าวพ้นจากห้อง สีหน้าเคารพยำเกรงของเธอก็หายไป เธอกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์ชิงชัง เธอไม่ควรใจเร็วไปซักถามคุณเจ็ดแบบนั้นเลย ทำให้เขารู้ความคิดที่แท้จริงของเธอ… เป็นความผิดของผู้หญิงคนนั้นแท้ๆ ทีเดียว!
เซียวโหรว… ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่!
รวมทั้งครอบครัวบัดซบของเธอด้วย!
…
เมื่อเฉียวเหลียงมาถึง ลู่หลียังคงอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง เฉียวเหลียงมองลู่หลีแล้วนั่งลงบนโซฟาด้านข้าง เขาเลิกคิ้วขึ้น “ในเมื่อลืมเธอไม่ได้ แล้วคุณไปบอกเลิกเธอทำไม คุณควรให้โอกาสเธออธิบาย”
ลู่หลีหันมามองเฉียวเหลียง เขาดับบุหรี่ นั่งลงตรงกันข้ามเฉียวเหลียง แล้วโยนเอกสารแฟ้มหนึ่งให้เฉียวเหลียง พลางยิ้มอย่างสมเพชตนเอง “คุณคิดว่าง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ผมเคยให้โอกาสเธอหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ทุกๆ ครั้งเธอทำลายโอกาสเหล่านั้นลงยับเยิน”
เฉียวเหลียงเลิกคิ้วขึ้น ถามด้วยรอยยิ้ม “คุณให้โอกาสเธอแล้วอย่างนั้นเหรอ เมื่อไรกัน เท่าที่ผมรู้คือคุณทิ้งเธอไปเมื่อสิบปีที่แล้ว… เวลานี้เธอเป็นฝ่ายมาตามง้อคุณ แล้วคุณก็บอกเลิกเธออีกครั้ง”
“เฉียวเหลียง เราสองคนเกือบต้องตายในโพรวองซ์ก็เพราะเธอ ถ้าไม่ได้เซียวโหรวมาช่วยไว้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา และ…” ทันใดนั้นลู่หลีก็คว้าแขนเฉียวเหลียง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “มีลูกกระสุนอยู่ในแขนคุณก็เพราะเธอ… คุณยังจะพยายามปกป้องเธออยู่อีกเหรอ”
เฉียวเหลียงเลื่อนสายตาจากเอกสารที่ถืออยู่มามองลู่หลี แล้วส่ายศีรษะ “ผมไม่ได้ปกป้องเธอ ผมแค่เป็นห่วงคุณ ลู่หลี ผมรู้ดีว่าความรู้สึกต้องพลัดพรากจากผู้หญิงที่รักเป็นยังไง ผมทนมาจนเกินพอในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ผมไม่อยากให้คุณต้องพบกับความเจ็บปวดอย่างที่ผมเคยได้รับ ผมไม่อยากให้คุณต้องยอมสละส่วนหนึ่งที่สำคัญของชีวิต เพียงเพราะสถานะของคุณ”
ลู่หลีมองหน้าเฉียวเหลียงด้วยความประหลาดใจ เฉียวเหลียงถอนหายใจ “ผมรู้ว่าเหวินนิ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของคุณไปแล้ว นับแต่วันแรกที่คุณสองคนได้พบกัน คุณก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน กลายเป็นส่วนสำคัญเสมือนหัวใจที่เต้นอยู่ของกันและกัน… มนุษย์มีชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสถานภาพใดๆ แต่ไม่สามารถรอดชีวิตได้หากไม่มีหัวใจ”
“แต่คุณก็รอดมาได้” ลู่หลีมองเฉียวเหลียง กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ผมเคยคิดว่าคุณคงไม่รอดหลังจากที่ถังซีตาย แต่แล้วคุณก็ได้พบเซียวโหรว และมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ลู่หลีกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้สึก “เพราะฉะนั้น ผมก็จะรอดไปได้เหมือนกัน”