ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา - บทที่ 1307 สามต่อสาม
พอบอลลูนลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาของเกาะแฟร์เวลทั้งเกาะก็ปรากฏออกมา
เบิร์ดและออสเปรบังคับความเร็วในการลอยขึ้นฟ้าของบอลลูนได้ดีมาก ไม่เร็วไม่ช้า แม้แต่ฉินสือโอวยังไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความสูงที่เปลี่ยนไปเลย รู้สึกเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น เกาะเล็กๆ ทั้งเกาะก็ดูเล็กลงไปมาก บ้านเรือนดูราวกับเป็นกล่องไม้ขีดไฟ รถกับคนก็มองเห็นไม่ชัดแล้ว
ตอนแรกฉินสือโอวยังรู้สึกตื่นเต้นจนต้องโน้มตัวลงไปดู แต่พอขึ้นสูงถึงห้าหกร้อยเมตร เขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายขึ้นมา เห็นได้ชัดเลยว่าการขจัดโรคกลัวความสูงของเขาไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นเท่าที่คิด
วินนี่กลับดูสนอกสนใจมาก เธอก้มลงมองทิวทัศน์ด้านล่าง แล้วพูดว่า “ฉันรู้สึกว่านานมากแล้วที่ไม่ได้บินอยู่บนฟ้า ตอนนี้พอได้มาเห็นแบบนี้แล้ว ในที่สุดก็ได้ความรู้สึกแบบเมื่อก่อนกลับมาแล้ว”
พอพูดถึงเรื่องเมื่อก่อน ฉินสือโอวจึงถามขึ้นมาว่า “ที่รัก คุณคิดถึงงานที่ทำก่อนหน้านี้บ้างไหม?”
หากไม่ใช่เพราะเขาเรียกร้องแล้วล่ะก็ วินนี่ไม่มีทางลาออกจากแคนาดาแอร์ไลน์เร็วขนาดนี้หรอก
วินนี่คิดๆ แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “คิดถึงงานเมื่อก่อนเหรอคะ? ไม่นะ ไม่หรอกค่ะ ฉันเป็นพนักงานบริการนะคะ แม้ว่าจะเป็นหัวหน้าก็เถอะ แต่อย่างไรเสียก็ยังถือว่าเป็นพนักงานบริการอยู่ดีไม่ใช่เหรอคะ? แต่ทว่ามีความรู้สึกคิดถึงชีวิตแบบเมื่อก่อนมากเลย”
ทั้งสองคนคุยกันไป ก็มีเสียงเล็กสดใสของนกอินทรีดังขึ้นมา เงาสามตัวที่ดูแข็งแรงบินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
ฉินสือโอวพูดอย่างเต็มไปด้วยความหวังว่า “ฮ้า ในที่สุดพวกของนิมิตส์ก็หาพวกเราเจอแล้ว ให้พวกมันเข้ามา”
เบิร์ดใช้มือบังแสงอาทิตย์แล้วมองไป สีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “ไม่ครับ บอส นี่อาจจะไม่ได้ดีเหมือนที่คุณคิดก็ได้นะครับ นี่ไม่ใช่พวกของนิมิตส์!”
นกตัวใหญ่สามตัวบินใกล้เข้ามา ฉินสือโอวมองเห็นหน้าตาของพวกมันชัดเจน ปากที่โค้งราวกับตะขอ ขนสีน้ำตาลเข้มปนสีทองอ่อน สายตาที่แหลมคมและดุดัน นี่คือนกอินทรีทองสามตัว
นกอินทรีทองที่นำฝูงตาบอดข้างหนึ่งด้วย ไม่ต้องพูดเยอะ นกอินทรีทองสามตัวนี้ก็คือศัตรูคู่อาฆาตของนิมิตส์และบุช พวกตระกูลอินทรีทอง
อินทรีทองสามตัวไม่ได้มาหาเรื่องอะไร พวกมันไม่ได้รู้สึกคุ้นหน้าฉินสือโอว ก็แค่สนใจบอลลูนเท่านั้น พอบินเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็บินวนรอบบอลลูน เสียงร้องของอินทรีเปลี่ยนเป็นเสียงสดใสขึ้นมา
อินทรีทองมาถึงได้ไม่นาน ก็มีเงาของนกตัวใหญ่อีกสามตัวปรากฏขึ้นมา ครั้งนี้ก็คือบุช นิมิตส์กับอินทรีทองตัวน้อย แคลร์
เมื่อเห็นเงาของกลุ่มแร็ปเตอร์ในฟาร์มปลาแล้ว นกอินทรีทองสามตัวก็รีบตั้งท่าเตรียมรบทันที อินทรีตัวผู้ตาเดียวอยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายคืออินทรีตัวเมียที่สายตาเฉียบคม ด้านขวาคือลูกอินทรีที่ขนาดตัวพอๆ กัน
อินทรีทองเป็นสัตว์ดุร้ายที่เติบโตได้เร็วมากชนิดหนึ่ง แค่เวลาครึ่งปี นกน้อยก็สามารถเติบโตจนมีขนาดตัวพอๆ กับนกโตเต็มวัยได้ แต่ว่าในตอนนี้พวกมันก็แค่มีขนเส้นหนาขึ้นเท่านั้น ที่จริงแล้วกระดูกและกล้ามเนื้อยังไม่ได้เติบโตได้เต็มที่
กลุ่มของบุช นิมิตส์และแคลร์ปรากฏตัวออกมาตั้งท่าจู่โจม พวกมันเห็นอินทรีทองศัตรูคู่อาฆาตบินไปรอบบอลลูน จึงทั้งโกรธและตกใจ นึกว่าศัตรูคู่อาฆาตจะมาทำร้ายพวกของฉินสือโอว
รูปแบบการจู่โจมของกลุ่มแร็ปเตอร์ของฟาร์มปลากับอินทรีทองไม่เหมือนกัน บุชอยู่ตำแหน่งกลาง นิมิตส์บินอยู่ด้านล่าง ส่วนอินทรีทองน้อยแคลร์กลับบินอยู่จุดที่สูงที่สุด
ราวกับเครื่องบินขับไล่สามลำที่พุ่งตรงมา หลังจากกลุ่มแร็ปเตอร์จากฟาร์มปลาปรากฏตัวแล้วก็รีบออกจู่โจมทันที บุชที่อยู่ตรงกลางเป็นกำลังหลัก อินทรีทองตัวน้อยใช้ความเร็วเข้าชน ส่วนนกโจรสลัดที่รูปร่างใหญ่โตก็สะบัดปีกไปมาเพื่อทำการป้องกันให้
กลุ่มหนึ่งคือการจู่โจมแบบเลข ‘สาม’ อีกกลุ่มหนึ่งคือการรับการจู่โจมแบบตัว ‘ผิ่น’ พวกเบิร์ดกับออสเปรโห่ร้องอย่างชื่นชมว่า “โอ้ ชิท ตอนนี้การสู้กันของนกก็มีการวางกลยุทธ์กันแล้วเหรอ?”
“เป็นกลยุทธ์การรบที่นอกเหนือความคาดหมายนะ นายดูพวกของบุชทั้งสามตัวสิ ปิดล้อมทั้งบนและล่าง ปกป้องซึ่งกันและกัน แล้วดูอินทรีทองสามตัวนั้น ตำแหน่งแต่ละตัวเท่าๆ กัน ซึ่งสามารถทำการช่วยเหลือในตอนท้ายได้…”
ภายใต้เสียงตกใจของทุกคน ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน จากนั้นบุชก็สู้ตัวต่อตัวกับพี่ตาเดียว นิมิตส์สู้กับอินทรีทองตัวเมีย ส่วนแคลร์ก็จ้องไปที่น้องชายของมัน กลายเป็นการสู้กันของกลุ่มสามกลุ่มไป
“ฟัค กลยุทธ์ขี้หมาจริง!” สีหน้าของคนทั้งกลุ่มเต็มไปด้วยสีหน้าว่านายหลอกฉัน
ฉินสือโอวยังนึกว่า การปรากฏตัวของแคลร์จะเป็นสะพานให้ทั้งสองสื่อสารกันเสียอีก แต่ตอนนี้มองดูแล้วคงจะไม่เกิดขึ้นแล้วล่ะ ความอยากสู้ของแคลร์นั้นมีมากกว่าบุชเสียอีก มันพุ่งตัวเข้าไปเป็นตัวแรกเลย!
ต่างฝ่ายต่างก็เป็นนกอินทรีทองเหมือนกัน แถมยังเป็นน้องชายทั้งสองตัวด้วย แต่แคลร์น้อยแข็งแรงกำยำกว่าน้องชายของมันมาก ดูจากสีของขนแล้ว คือใกล้จะกลายเป็นนกโตเต็มวัยแล้ว แต่สีของน้องชายมันจะเข้มกว่า ขนหางก็ยังเป็นสีขาว ใต้ปีกที่กางออกนั้นมีจุดขาวอยู่ ยังคงเป็นลักษณะของนกน้อยอยู่
ที่จริงกลุ่มอินทรีทองไม่ได้หาเรื่องตัวเองเลย บวกกับตอนนี้ที่แคลร์ได้ทุ่มสุดตัวที่สุดในการสู้กัน ภาพของการฆ่าฟันกันเองในพวกเดียวกันแบบนี้ทำเอาวินนี่ทนไม่ได้ จึงผิวปากเพื่อเรียกกลุ่มแร็ปเตอร์ทั้งสามตัวกลับมา
แต่ทำอย่างไรได้ ลมทะเลพัดแรง แถมตอนนี้พวกเขายังอยู่กลางอากาศอีก ทำให้ลมแรงขึ้นไปอีก ในสถานการณ์ต้านลมแบบนี้ทำให้เสียงผิวปากดังออกไปได้ไม่ไกลนัก ก็ถูกลมทะเลพัดหายไปแล้ว
วินนี่ค่อนข้างร้อนรน ดึงฉินสือโอวไว้แล้วถามว่า “นี่เป็นการเข้าใจผิด รีบหาวิธีให้พวกเขาแยกกันเถอะค่ะ”
ฉินสือโอวจะมีวิธีอะไร? เขาปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร ที่รัก พวกมันไม่มีใครทำอะไรใครได้ คุณดูสิ พวกมันสู้กันมานานแค่ไหนแล้ว? ก็ยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลยไม่ใช่เหรอ? ผมกลับรู้สึกว่าพวกมันแค่กำลังหยอกเล่นกันเท่านั้น”
วินนี่ไม่ยอมและยังคงผิวปากต่อไป สวรรค์ไม่ทิ้งคนพยายาม พวกแร็ปเตอร์ทำการเปลี่ยนวิธีรบอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็บินไปยังจุดที่เป็นต้นลม ทำให้สามารถได้ยินเสียงผิวปากที่ร้อนรนของวินนี่
นิมิตส์สะบัดปีกสีดำอันใหญ่โตอย่างสง่างาม ชูคอส่งเสียงร้องทีหนึ่ง จากนั้นก็หันหัวบินไปทางบอลลูนแทน
อินทรีตัวเมียที่สู้กับมันก่อนหน้านี้ไม่ได้ไล่ตามมาด้วย แต่กลับลำรีบไปช่วยอีกสองตัวแทน อินทรีทองน้องชายสองตัว แคลร์น้อยกำลังได้เปรียบในทุกด้าน มันไล่ตามน้องชายอินทรีของตัวเองอย่างสะใจ และสู้จนพวกมันส่งเสียงกว๊ากๆ อย่างเจ็บปวดเหลือทน
อินทรีตัวเมียเป็นขิงที่ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด พอมันร่วมสู้ด้วยเท่านั้นก็กลายเป็นแคลร์น้อยที่ร้องกว๊ากๆ แทน
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว บุชก็รีบเข้าไปป้องกันอย่างมีคุณธรรม จากนั้นทั้งสองคนก็บินตามกันกลับไปที่บอลลูน
ทางครอบครัวอินทรีทองไม่ได้ไล่ตามไป พวกมันยังไม่เข้าใจว่าบอลลูนคืออะไร สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย หลังจากเห็นว่าศัตรูได้เข้าไปในตะกร้าแล้ว พวกมันกะพริบตา จากนั้นก็รีบบินจากไปทันที
บางทีในสายตาของพวกอินทรีทองนั้น บอลลูนนี้ก็คือปีศาจตัวใหญ่ ศัตรูที่ดวงซวยได้ถูกเจ้าปีศาจตัวนี้กินเข้าไปแล้ว…
วินนี่หวีขนให้กลุ่มสามแร็ปเตอร์จากฟาร์มปลา ส่วนฉินสือโอวก็เริ่มเตรียมอาหารกลางวัน อาหารกลางวันมื้อนี้แหละที่เป็นเซอร์ไพรส์ เขาจะทำอาหารให้วินนี่กินบนบอลลูน
ฉินสือโอวสั่งการออกไป เบิร์ดทำการต่อเตากระจกนิรภัยแบบยึดระเบียงเข้ากับตะกร้าด้านหนึ่ง ส่วนนีลเซ็นก็ติดตั้งแผ่นเหล็กไว้ฝั่งตรงข้าม เพื่อรักษาสมดุล
พื้นผิวของเตาทำอาหารกระจกนิรภัยไม่เรียบเนียน ฉินสือโอวลงแรงนิดหน่อย ต่อท่อแก๊ส วางขวดเครื่องปรุงรสเข้าไป แค่นี้ชุดเตาทำอาหารแบบง่ายๆ และใช้ได้ดีก็ออกมาแล้ว
วินนี่เข้าใจความหมายของเขา จึงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณจะทำอาหารบนนี้เหรอคะ?”
ฉินสือโอวบอกว่า “ใช่แล้ว คุณดูสิ นี่เป็นที่ที่เหมาะจะทำกับข้าวแค่ไหน เมฆสีขาวลอยล่อง ท้องฟ้าสดใส ตอนนี้พวกเราเข้าใกล้พระเจ้ายิ่งกว่าใครๆ อีก อาหารกลางวันแบบนี้ยอดไปเลยใช่ไหม?”
เบิร์ดนำวัตถุดิบที่เตรียมไว้ออกมา แล้วพูดแทรกขึ้นมาว่า “โดยเฉพาะนะ บอส การทำอาหารที่นี่ยังไม่ต้องใช้เครื่องดูดควันด้วย”
………………………………………………