ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 100 ใช้อำนาจก็ยังเอาชนะไม่ได้ หวังอวี่เยียนสติแตกแล้ว
- Home
- ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ
- ตอนที่ 100 ใช้อำนาจก็ยังเอาชนะไม่ได้ หวังอวี่เยียนสติแตกแล้ว
ตอนที่ 100 ใช้อำนาจก็ยังเอาชนะไม่ได้ หวังอวี่เยียนสติแตกแล้ว
หวังอวี่เยียนว้าวุ่นใจแล้ว ดูจากสีหน้ามืดครึ้มของนางก็รู้ ว่าตอนนี้ลึกๆ ในใจนางมีพลังงานด้านลบรวมกันอยู่นับไม่ถ้วนแน่นอน
นางมีความรู้ลึกซึ้งหลายแขนง นางงดงามราวกับเทพธิดา นางรอบรู้วิทยายุทธ์ในใต้หล้า…
แต่ซานเย่ว์อาศัยความสามารถอีกอย่างก็สามารถควบคุมนางได้เช่นกัน
อีกฝ่ายเสียงดังอย่างไรล่ะ!
ในฐานะที่เป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่ ถ้าอยากจะให้นางตะโกนเสียงดังเหมือนซานเย่ว์ นางอาจจะไม่ทำเด็ดขาด บางทีหากมีสักวันที่มู่หรงฟู่ญาติผู้พี่ของนางประสบอันตราย นางอาจจะยอมละทิ้งภาพลักษณ์กุลสตรีของตัวเองก็ได้ แต่กับจ้างเย่ว์คนนี้…
หึหึ!
เมื่อซานเย่ว์เริ่มทำตัวจูนิเบียว ฉากการต่อสู้บนสังเวียนก็เปลี่ยนแปลงตามไปมากเช่นกัน
แข่งขันชี้แนะโดยอาศัยความรู้ประสบการณ์และสายตาอันเฉียบคมอยู่ดีๆ ประเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนเป็นแช่งว่าใครเสียงดังกว่าแล้ว
ต้องบอกเลยว่า ความคิดบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในสมองของนางหนูซานเย่ว์ บางครั้งก็ราวกับมีพรสวรรค์
เมื่อเสียงตะโกนโวยวายของซานเย่ว์ดังขึ้น BUG อย่างหวังอวี่เยียนก็เปลี่ยนเป็นไร้ประโยชน์ทันที หลังจากต่อสู้แลกค่าเลือดกันในสนามไปหนึ่งรอบ ก็เริ่มเข้าสู่สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายสูสีกันอีกครั้ง
หากซานเย่ว์ฝึกทักษะยุทธ์อื่น แล้วตะโกนโวยวายตอนต่อสู้ ก็จะต้องส่งผลกระทบต่อการโคจรลมปราณแท้แน่นอน ย่อมมีผลกระทบบางอย่างต่อการสู้ไม่มากก็น้อย แต่ ‘ฝ่ามืออัสนีบาต’ ที่นางต่อสู้เดิมทีก็ให้ความสำคัญกับการสร้างอานุภาพขู่ขวัญไว้ก่อนอยู่แล้ว ปกติเวลาต่อสู้ก็มักจะใช้ฝ่ามืออันน่าสะพรึงพร้อมเสียงตะโกนประกอบด้วย ทำให้เกิดผลลัพธ์ตบตาให้สับสนและลงมือตอนอีกฝ่ายเผลอได้ดีที่สุด
ดังนั้นการตะโกนโวยวายเสียงดังเช่นนี้ นอกจากจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อนางแล้ว กลับรบกวนความสามารถในการตัดสินของฝ่ายตรงข้ามได้ในระดับหนึ่งด้วยซ้ำ
หากต่อสู้กันอย่างนี้ต่อไป คนที่เสียเปรียบต้องไม่ใช่ซานเย่ว์แน่นอน
และหากดูจากฝีมือของทั้งสองคน บทสรุปการแพ้ชนะคงจะเป็นครึ่งต่อครึ่ง?
ทางฝั่งเยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งจะวางใจ ความเร็วในการคำนวณเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เหมือนทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดี ทว่าผ่านไปครู่เดียว เสียงของซานเย่ว์ในสนามก็เงียบลงกะทันหัน
พอเงยหน้ามอง กลับเห็นซานเย่ว์ยังคงโบกฝ่ามือโจมตีอย่างดุดัน มองจากรูปปากก็รู้ว่านางยังตะโกนโวยวายอยู่ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงนางเลยสักนิด
บนสังเวียนราวกับถูกกดปุ่มตั้งค่าโหมดเงียบเสียงในฉับพลัน
เงียบจนน่ากลัว!
ในตอนนี้ กลับได้ยินหวังอวี่เยียนกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ตามกติกาการประลอง เดิมทีไม่อาจขัดขวางไม่ให้ผู้เข้าร่วมประลองพูดได้ แต่เจ้าจงใจก่อกวนการชี้แนะของข้า ทำลายความตั้งใจเดิมของการประลองในครั้งนี้ ข้ามีสิทธิ์ที่จะระงับเสียงของเจ้าชั่วคราว”
เมื่อซานเย่ว์ได้ยินดังนั้น ก็ทำได้เพียงล้มเลิกการตะโกนอันไร้ประโยชน์นี้ แล้วถลึงตาจ้งหวังอวี่เยียนที่นั่งอยู่ในมุมอย่างดุร้ายแวบหนึ่ง
พวกสุนัขวางอำนาจอะไรนั่นน่ารังเกียจที่สุดแล้ว!
สำหรับสายตาอันโกรธเกรี้ยวของซานเย่ว์ บนใบหน้าหวังอวี่เยียนกลับเผยรอยยิ้มบางๆ จากนั้นชี้แนะจ้างเย่ว์ว่า “ต่อไปนางจะ…”
จากนั้น…
“สามเจ็ดยี่สิบเอ็ด ห้าเจ็ดสามสิบห้า…”
ทั้งสองประมือกันมานานขนาดนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็เริ่มเอ่ยปากชี้แนะแล้วเช่นกัน อีกทั้งเสียงของเขาก็เหมือนจะดังกว่าเสียงของซานเย่ว์หลายส่วนด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเสียงเบาๆ ของหวังอวี่เยียนจะเทียบติด
ดังนั้นแล้ว เสียงของแม่นางหวังจึงถูกกลบอีกครั้ง
หากจะใช้เคล็ดจิตไท้ซัวเป็นไฉนช่วยคำนวณกระบวนท่าในการรับมือศัตรูให้ซานเย่ว์ ก็ยากกว่าตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงคำนวณตอนตัวเองต่อสู้เสียอีก
อีกทั้งเงื่อนไขพิเศษของสังเวียนนี้ เขาทำได้เพียงคำนวณโดยใช้มุมมองของผู้รับชมเท่านั้น ในระหว่างนั้น เอฟเฟ็กต์เสริมของเคล็ดจิตไท้ซัวเป็นไฉนอย่างการเย้ยหยันและข่มขู่ก็ใช้งานไม่ได้ด้วย
เดิมที ตอนที่เขานึกว่าการต่อสู้สนามนี้จะต้องอาศัยให้ซานเย่ว์ประคับประคองการต่อสู้จนกว่าเขาจะคำนวณได้ผลลัพธ์
แต่กลับคาดคิดไม่ถึงว่าจะหักมุม สุดท้ายก็ยังต้องอาศัยให้คนที่นั่งชี้แนะอยู่ข้างสนามอย่างเขาพลิกสถานการณ์กลับมา และวิธีการที่ใช้ก็แทบจะเป็นวิธีการที่ไร้สาระ…
ยามเผชิญกับเสียงตะโกนดังของเยี่ยเว่ยหมิง หวังอวี่เยียนก็นับว่าหมดหนทางโดยสิ้นเชิงแล้วเช่นกัน
แม้จะเป็น NPC ระดับสูงที่มีอำนาจคุมการแข่งขัน ทำให้นางมีสิทธิ์แก้ไขกติกาการประลองในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้สองเงื่อนไขดังนี้
ข้อหนึ่งก็คือ นางจะต้องมีเหตุผลในการแก้ไขกติกา
ก็เหมือนกับที่ซานเย่ว์ตะโกนเสียงดังก่อนหน้านี้ เป็นการจงใจทำลายการชี้แนะของนางจริงๆ
ข้อสองก็คือ ต้องรักษาความยุติธรรมในการประลอง
ก็เหมือนกับที่นางระงับเสียงของซานเย่ว์ ทำให้จ้างเย่ว์ที่เป็นคู่ต่อสู้ของซานเย่ว์ก็ส่งเสียงไม่ได้เช่นกัน หากดึงดันจะระงับเสียงของเยี่ยเว่ยหมิงให้ได้ เช่นนั้นเมื่ออยู่ในเงื่อนไขที่ต้องรักษาความยุติธรรม นางก็จะถูกระงับเสียงด้วยเช่นกัน
ดังนั้น…
หวังอวี่เยียนก็ทำได้เพียงเลิกดิ้นรนแล้ว
แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่ได้หยุดเพียงเพราะหวังอวี่เยียนล้มเลิกความคิดนั้น ยังคงท่องสูตรคูณแม่เก้าต่อไปด้วยเสียงดังฟังชัด
หวังอวี่เยียนมองไปทางเขาอย่างสงสัยปราดหนึ่ง เมื่อเห็นมือซ้ายของเขากำลังงอนิ้วคำนวณก็ตกใจทันที รีบเตือนว่า “ระวัง เขาใช้เคล็ดจิตไท้ซัว…ช่างเถอะ…”
ช่วยไม่ได้ ในขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงตะโกนเสียงดัง เสียงของนางไปไม่ถึงจ้างเย่ว์ที่กำลังต่อสู้เลย
หลังจากนั้นหนึ่งนาที ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็หยุดท่องสูตรคูณแล้ว เขาเอ่ยชี้แนะประโยคแรกให้ซานเย่ว์ฟังว่า “โจมตีจุดซานจงเสว์ตรงกลางอกของเขา!”
ซานเย่ว์ย่อมเชื่อใจเยี่ยเว่ยหมิงที่สุดอยู่แล้ว เมื่อเขาพูดจบ มือขาวเรียวของนางก็โจมตีไปยังจุดเลือดลมแล้ว ลอดผ่านเงากรงเล็บที่ขวักไขว่ของจ้างเย่ว์ไปราวกับไม่มีตัวตน ประทับรอยบนจุดเลือดลมใหญ่อย่างจุดซานจงเสว์กลางหน้าอกแบบเน้นๆ
“โอ๊ย!”
-1147!
จุดซานจงเสว์เป็นหนึ่งในจุดที่อันตรายถึงชีวิตของร่างกายมนุษย์ ทั้งยังเป็นแกนกลางในการโคจรเลือดลม เมื่อถูกโจมตีอย่างรุนแรงกะทันหัน ก็ทำให้เกิดผลคริติคอลดาเมจโดยตรง แม้แต่กำลังภายในที่เขาเพิ่งจะโคจรเสร็จ ก็ถูกฝ่ามือของซานเย่ว์ตบกระจายไปแล้วเช่นกัน
เมื่อปราณแท้แตกซ่าน ย่อมรวมพลังอย่างรวดเร็วไม่ได้ การตอบสนองก็ย่อมช้าลงตามไปด้วยเช่นกัน
จ้างเย่ว์อยากจะรวบรวมปราณแท้ใหม่อีกครั้ง แต่มีหรือที่ซานเย่ว์จะให้โอกาสเขาอีก
หลังจากโจมตีสำเร็จไปครั้งหนึ่ง นางหนูนี่ก็ใช้ทั้งมือทั้งเท้า พายุอัสนี อัสนีบาตคำราม เคราะห์อัสนี…
ท่าไม้ตายต่างๆ ของฝ่ามืออัสนีบาตทักทายบนตัวจ้างเย่ว์รัวๆ ราวกับเป็นสิ่งที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็ทำให้ยอดฝีมือพรรคอินทรีฟ้าคนนี้ถูกสำเร็จโทษคาที่ โดนตบจนกลายเป็นแสงสีขาวไปแล้ว
การประลองจบลง ผู้เล่นสามคนและ NPC หนึ่งคนถูกส่งลงจากสังเวียนพร้อมกัน หวังอวี่เยียนเพียงมองพวกเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาราบเรียบปราดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอำลากงเหย่เฉียนแล้วหันตัวเดินออกจากสนามประลองยุทธ์ไป
ส่วนกงเหย่เฉียนก็เข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้นมาก กล่าวพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ยินดีกับทั้งสองท่านที่ผ่านการทดสอบ งานประลองยุทธ์ที่แท้จริงกำลังจะเริ่มแล้ว ทั้งสองเตรียมตัวก่อนได้ ถึงตอนนั้นจะได้แสดงความสามารถให้ดี”
เยี่ยเว่ยหมิงย่อมไม่ยอมปล่อยเขาไปอย่างนี้อยู่แล้ว ถามเขาถึงกติกาและวิธีการโดยละเอียดของงานประลองยุทธ์นั่นทันที แต่กงเหย่เฉียนกลับยิ้มโดยไม่ตอบอะไร
ตอนนี้ เสียงแจ้งเตือนของระบบกลับดังขึ้นข้างหูทั้งสองพร้อมกัน
[ติ๊ง! ยินดีด้วย คุณได้รับสิทธิ์เข้าร่วมการประลองคัดเลือกในงานประลองยุทธ์ตระกูลมู่หรง การประลองคัดเลือกกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกสิบนาที ถึงตอนนั้นผู้เล่นทุกคนที่เข้าร่วมประลองจะถูกส่งไปยังแผนที่ภารกิจที่กำหนด ส่วนกติกาโดยละเอียดจะประกาศในแผนที่ประลอง]
ดูท่าแล้ว การประลองยุทธ์สนามนี้จะเป็นโหมดตะลุมบอนอันแสนวุ่นวาย?
แต่คิดไปคิดมาก็ว่าใช่
หากให้ผู้เล่นสามร้อยกว่าคนมาสู้กันตัวต่อตัวบนสังเวียนทีละคู่ แล้วแบบนั้นจะสู้กันไปถึงเมื่อไรล่ะ
ดังนั้นจึงใช้โหมดตะลุมบอนเสียเลย ประหยัดเวลาและประหยัดแรงกว่า
ทั้งยังได้รับประโยชน์เร็วกว่า แบบนี้ก็เตรียมฟินเลยสิ