ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 103 ถ้ำใต้ดิน
ตอนที่ 103 ถ้ำใต้ดิน
จุดรีเฟรชมนุษย์กลที่ลับสุดยอดแห่งหนึ่ง มีเพียงนักพรตเต๋าร่างอ้วนที่ชื่อหนิวจื้อชุนเท่านั้นที่ค้นพบ จากนั้นก็มาหาตนกับซานเย่ว์เพื่อขอร่วมมือกัน?
เมื่อนำความบังเอิญที่ซ้อนอยู่ในความบังเอิญนี้มารวมกัน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนเป็นกับดัก!
เยี่ยเว่ยหมิงเฉลียวฉลาดขนาดนี้ ยามเผชิญหน้ากับคำเชิญที่มีโอกาสสูงว่าจะเป็นกับดัก คำตอบของเขาก็ย่อมเป็น…ส่งคำเชิญตั้งทีมให้อีกฝ่าย
สาเหตุที่เขาทำเช่นนี้ เป็นเพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็น ‘ผู้มีฝีมือสูงใจกล้า’ หรือไม่ก็ ‘รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง’ ต้องการจะดูให้ได้ว่าอีกฝ่ายมีแผนชั่วอะไรกันแน่ แล้วก็เป็นเพราะ…
หลังจากอีกฝ่ายส่งคำเชิญแล้ว ซานเย่ว์ก็จับภาพหน้าจอส่งมาภาพหนึ่ง
[ติ๊ง! เปิดใช้พาสซีฟสกิล ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ คุณพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายนิ่งสงบตอนพูด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าใดๆ สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง!]
แม้แต่เครื่องจับโกหกมนุษย์ยี่ห้อสาวน้อยยังพูดแบบนี้เลย เยี่ยเว่ยหมิงทำได้เพียงเชื่อว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง
หากสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงทั้งหมด เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าร่วมงานกับนักพรตเต๋าร่างอ้วนคนนี้ได้
เป็นการร่วมมือที่ได้ประโยชน์สองฝ่าย!
ตอนที่ดูการต่อสู้อันครึกครื้นเมื่อครู่นี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็วิเคราะห์อะไรได้หลายอย่างจากสถานการณ์ต่อสู้
ค่าพลังชีวิตของมนุษย์กลทองแดงนั่นคือสองแสน แต่การเคลื่อนไหวงุ่มง่าม โจมตีกลับไปกลับมาด้วยท่าง่ายๆ ไม่กี่ท่า ต่อให้ตัวผู้เล่นเป็นยอดฝีมือที่มีบัฟร่างคลั่ง แต่ถ้าสู้กันขึ้นมาก็ไม่ง่ายอยู่ดี
หากยอดฝีมือสามคนร่วมมือกัน ก็จะทำให้มันตายได้ภายในไม่กี่นาทีแน่นอน!
เรื่องนี้คุ้มค่ามาก!
เยี่ยเว่ยหมิงมองพวกผู้เล่นข้างล่างที่กำลังจ้องตัวเองอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกปราดหนึ่ง แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าบอกว่า “เช่นนั้นก็ทำตามที่นักพรตหนิวบอกแล้วกัน หากพวกเรายังไม่ไปตอนนี้ พวกผู้เล่นข้างล่างคงร้อนรนตายแน่”
หนิวจื้อชุนได้ยินแล้วเบะปากดูถูก “เพราะคนพวกนี้ไม่มีพื้นฐานความเชื่อใจระหว่างกัน จึงไม่มีทางร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพได้เลย พวกเขาย่อมไม่แบ่งคนออกมาเคลียร์สนามอยู่แล้ว ไม่ทำอะไรนอกจากยืนรออยู่เฉยๆ”
ขณะที่พูด ทั้งสามก็กระโดดลงมาจากหินก้อนใหญ่แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่ลับตามที่หนิวจื้อชุนบอกทันที
เยี่ยเว่ยหมิงกับซานเย่ว์ไม่คิดว่าต้องได้ป้ายอาญาสิทธิ์เข้าประตูเสมอไป แต่หนิวจื้อชุนไม่ได้คิดอย่างนั้น หลังจากเข้าดันเจี้ยนนี้มาแล้ว เขาจึงไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองกับการฆ่าหมาป่า
ทั้งยังพยายามรวบรวมข่าวและแอบสังเกตการณ์มาตลอดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า เขาก็ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาแล้วไม่น้อย ระหว่างการเดินทางก็แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนในทีมอย่างไม่หวงเลยสักนิด
ก่อนอื่นเลยก็คือกติกาเกี่ยวกับทีม
อันที่จริง หมาป่าทุกตัวที่ถูกฆ่า หากถูกฆ่าโดยคนที่แตกต่างกัน คะแนนสะสมที่ได้รับก็ใช่ว่าจะคงที่เหมือนกันเสมอไป
หากเป็นผู้เล่นที่มาคนเดียว ก็จะได้คะแนนสะสม 7 แต้มต่อการฆ่าหมาป่าหนึ่งตัว
หากเป็นกลุ่มผู้เล่น 2-3 คน แต่ละคนจะได้คะแนนสะสม 5 แต้มต่อการฆ่าหมาป่าหนึ่งตัว
หากเป็นกลุ่มผู้เล่น 4-5 คน แต่ละคนจะได้คะแนนสะสมคนละ 4 แต้มต่อการฆ่าหมาป่าหนึ่งตัว
หากเป็นกลุ่มผู้เล่น 6-7 แต่ละคนจะได้คะแนนสะสมคนละ 3 แต้มต่อการฆ่าหมาป่าหนึ่งตัว
กล่าวโดยสรุปก็คือ หากในทีมมีจำนวนคนมาก คะแนนสะสมที่ได้จากการฆ่าหมาป่าหนึ่งตัวก็ต้องน้อยลงเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่เนื่องจากความชุกชุมของหมาป่ามีจำกัด หากเป็นยอดฝีมือ โดยทั่วไปตั้งทีมสามคนจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ที่ใกล้เคียงหน่อยก็คือทีมละห้าคน
ส่วนผู้เล่นที่อยู่ในระดับทั่วไป ก็เป็นไม่ไปได้ที่จะได้รับสิทธิ์ให้เข้าดันเจี้ยนนี้
ขณะที่พูด ทั้งสามก็มาถึงทางเข้าถ้ำที่ซ่อนอยู่ระหว่างหินขนาดใหญ่ หนิวจื้อชุนกล่าวอย่างภูมิใจว่า “ข้างล่างคือถ้ำใต้ดินขนาดใหญ่ มนุษย์กลที่ข้าบอกอยู่ในนี้ ตรงนี้ถือเป็นทางเข้าออกที่ค่อนข้างชัดเจน ยังมีอีกจุดหนึ่งที่ลับกว่า เอาไว้ใช้เป็นทางหนีทีไล่ได้”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ฟังแล้วพยักหน้า “เพราะทางเข้าค่อนข้างลับตาคน ต่อให้มนุษย์กลส่งสัญญาณออกมา ถ้าคนอื่นอยากจะหาให้เจอก็ต้องใช้เวลาพอสมควร แบบนี้จะช่วยถ่วงเวลาให้พวกเราได้มากขึ้น หลังจากได้ของแล้ว ก็หนีไปอีกทางที่ลับตาคนมากกว่าได้ทันที”
หนิวจื้อชุนหัวเราะลั่น พูดทิ้งท้ายว่า “วีรบุรุษมักมีความคิดอ่านตรงกัน” แล้วก็เดินนำเข้าไปในทางลับ
เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่ได้ตามไปในทันที เขาดึงซานเย่ว์ที่กำลังใจร้อนอยากลอง แล้วถามว่า “ที่เพิ่งคุยกันเมื่อครู่นี้ เจ้าได้สังเกตสีหน้าเขาหรือเปล่า เขาไม่ได้โกหกใช่ไหม”
ตอนนี้หนิวจื้อชุนอยู่ในทีมแล้วเหมือนกัน ทั้งสองทำได้เพียงคุยกันส่วนตัวด้วยวิธีนี้
ซานเย่ว์ได้ยินคำถามแล้วชะงัก ก่อนจะตอบว่า “เมื่อครู้ข้าไม่ได้สังเกต แต่ส่วนใหญ่ข้าก็สังเกตบ้างแล้วนะ ไม่มีจุดไหนน่าสงสัย”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าแล้วพูดต่อ “เอาอย่างนี้ เจ้ายืนเฝ้าอยู่ข้างนอกก่อน ถ้าพบอะไรผิดปกติก็บอกข้าทันที”
“ไม่มีปัญหา”
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นนางตอบรับได้สบายใจขนาดนี้ ก็อดถามหยอกล้อไม่ได้ “เชื่อใจข้าขนาดนั้นเชียวหรือ”
“รู้จักกันมานานขนาดนี้ ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว เจ้าไม่วางกับดักสหายตัวเองแน่นอน”
“มั่นใจขนาดนั้นเชียว”
“เจ้าคิดว่าทักษะ ‘คน’ ของข้ามีไว้ประดับเฉยๆ หรืออย่างไร”
พอพูดหยอกกันสองสามประโยค เยี่ยเว่ยหมิงก็ตามหนิวจื้อชุนเข้าไปในถ้ำแล้ว
สาเหตุที่ให้ซานเย่ว์รออยู่ข้างนอก พูดตามตรงก็คือเขายังไม่อาจเชื่อใจหนิวจื้อชุนเต็มร้อยได้
แม้สกิลสังเกตสีหน้าท่าทางของซานเย่ว์จะไม่พบปัญหาใด แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้บังเอิญมากเกินไปจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ‘สังเกตสีหน้าท่าทาง’ ก็เป็นเพียงสกิลรายการหนึ่งของระบบเท่านั้น ในเมื่อระบบสร้างสกิลแบบนี้ขึ้นมาแล้ว ก็รับประกันได้ยากว่าจะไม่มีสกิลอื่นที่ข่มสกิลนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่นสกิลที่ชื่อว่า ‘สีหน้าแนบเนียน’ อะไรประมาณนั้น
เมื่อยึดถือคติที่ว่า ‘การระวังผู้อื่นนั้นมิควรขาด’ เขาจึงเหลือทางหนีทีไล่ไว้ข้างนอกหนึ่งคน จะได้รับมือกับเหตุไม่คาดคิดได้ทุกเมื่อ
หนิวจื้อชุนเหมือนเดาความคิดอีกฝ่ายออก หลังจากเห็นว่ามีเพียงเยี่ยเว่ยหมิงที่ตามเข้ามาในถ้ำคนเดียว เขาก็แค่ถามพอเป็นพิธีประโยคเดียว แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก
ทางเข้าถ้ำใต้ดินแห่งนี้เล็กมาก รูปร่างอย่างหนิวจื้อชุนต้องเบี่ยงตัวก่อนถึงจะผ่านเข้าไปได้ กอปรกับกระแสลมแรงที่พัดพรั่งพรูออกมาจากถ้ำ เรียกได้ว่าทำให้ก้าวขาลำบากจริงๆ แต่หลังจากเดินไปได้สิบกว่าเมตร กลับกลายเป็นมีพื้นที่กว้างขึ้นมาแล้ว
ตรงพื้นที่ว่างข้างในถ้ำดูเหมือนมืดสลัวมาก แต่โชคดีที่เมื่ออยู่ภายใต้ระดับของกำลังภายใน พลังสายตาของบรรดาผู้เล่นมักจะดีกว่าคนธรรมดามาก สามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวได้แจ่มแจ้งชัดเจน
ที่นี่เป็นถ้ำใต้ดินที่ใหญ่โตแห่งหนึ่ง มีพื้นที่ประมาณเจ็ดแปดร้อยตารางเมตร แทบจะเท่ากับโกดังเก็บของขนาดย่อมๆ มีมนุษย์กลทองแดงตัวหนึ่งที่หน้าตาคล้ายกับที่เห็นก่อนหน้านี้ มันกำลังยืนหัวเราะโง่ๆ อยู่ตรงกลางถ้ำ เคลื่อนไหวไปทางซ้ายและขวาครั้งละสองก้าวเป็นระยะ ดูบ้องแบ๊วมากทีเดียว
จนกระทั่งตอนนี้ ทุกอย่างยังคงสอดคล้องกับที่หนิวจื้อชุนบอกไว้ ไม่แตกต่างแม้แต่น้อย
ความจริงก็แสดงให้เห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงเองก็ต้องยอมรับว่าตัวเองระวังตัวเกินไป เขามองหนิวจื้อชุนที่ใจร้อนอยากลองแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าจะเปิดหรือจะให้ข้าเปิด”
ที่เยี่ยเว่ยหมิงถามว่าใครจะเปิดก่อน ก็ย่อมหมายถึงเปิด BOSS หรือพูดได้อีกอย่างว่า ใครจะเป็นคนแรกที่ไปโจมตี BOSS นั่นเอง
หากทั้งสองเป็นผู้เล่นที่ไม่รู้จักกันมาก่อนและมาแย่งมอนสเตอร์กัน ตอนสุดท้ายที่แบ่งไอเทมดรอปจาก BOSS ผู้เล่นที่ลงมือก่อนถึงขั้นได้รับโบนัสคะแนนแรงค์
แต่ระหว่างคนในทีมด้วยกันเองไม่ได้ใช้หลักการนี้ ขอเพียงเป็นผู้ที่ลงมือโจมตีก่อน ก็ย่อมกลายเป็นเป้าหมายโจมตีที่ BOSS จะเลือกก่อน และยิ่งเป็นการทดสอบความสามารถโดยรวมของผู้เล่นคนหนึ่งด้วย
แน่นอน เมื่ออยู่ในโหมดแบ่งสันตามค่าผลงาน ผู้เล่นที่ลงมือโจมตีก่อนก็จะได้เปรียบมากกว่าเช่นกัน
ส่วนรายละเอียดว่าจะเลือกอย่างไร ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องประเมินกำลังกัน
เมื่อได้ยินคำถามของเยี่ยเว่ยหมิง หนิวจื้อชุนก็ยิงฟันยิ้ม “ใครจะเปิดก็ไม่สำคัญ แต่ก่อนหน้านั้น ทางที่ดีเปลี่ยนโหมดแบ่งสันไอเทมให้เป็นแบ่งสันไอเทมตามค่าผลงานเถอะ”
“เช่นนั้นข้าเริ่มก่อน” ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็ปรับโหมดแบ่งสันไอเทมของทีมเรียบร้อยแล้ว จากนั้นนำกระบี่ชิงจู๋ออกมา แล้วใช้มือซ้ายงอนิ้วคำนวณ
ไท้ซัวเป็นไฉน ใช้งาน!
โจทย์คำนวณปรากฏขึ้นแล้ว
ทว่ามนุษย์กลตัวนี้กลับไม่ถูกดึงดูดความสนใจจากเคล็ดวิชานี้เลย ราวกับไม่รู้สึกอะไรกับเอฟเฟ็กต์ ‘เย้ยหยัน’ ของเขาเลย!
อย่าบอกนะว่ามอนสเตอร์ประเภทหุ่นยนต์ไม่มีการสัมผัสรู้ถึงอันตรายโดยธรรมชาติ ก็เลยไม่ถูกเคล็ดจิตไท้ซัวเป็นไฉนดึงค่าความแค้น
อะไรกันวะเนี่ย ให้มันได้อย่างนี้สิ!