ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 124 หัวขโมยก็คือเจ้า ชวีหลิงเฟิง!
ตอนที่ 124 หัวขโมยก็คือเจ้า ชวีหลิงเฟิง!
โรงเตี๊ยมชวีซานเป็นโรงเตี๊ยมเพียงแห่งเดียวในหมู่บ้านหนิวเจีย และเป็นสถานที่แห่งเดียวในหมู่บ้านที่จะหาซื้อสุราได้
แต่กิจการที่นี่กลับไม่ดีเท่าไร ตอนที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงมาถึงที่นี่ ในโรงเตี๊ยมกลับไม่มีแขกเลยสักคน ข้างในว่างเปล่า ไม่คึกคักสักนิด
เมื่อเห็นสภาพนี้ สะพานสวรรค์น้อยก็อดถามไม่ได้ว่า “บรรยากาศของที่นี่ดูไม่ชอบมาพากลเกินไปกระมัง”
ครั้งนี้ไม่ต้องให้เยี่ยเว่ยหมิงอธิบาย ผู้คลั่งภารกิจอย่างซานเย่ว์ก็เริ่มอธิบายหลักการก่อนแล้ว “ที่จริงแล้ว แบบนี้ต่างหากคือสภาพปกติที่เห็นบ่อยในโรงเตี๊ยมยุคโบราณ ตลอดทั้งปี การที่ชาวบ้านธรรมดาจะมากินอาหารในโรงเตี๊ยมสักครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากมาก อีกทั้งหมู่บ้านหนิวเจียก็ไม่ใช่เมืองที่ใหญ่โตอะไร กิจการไม่คึกคักก็เป็นเรื่องปกติ หากจู่ๆ คึกคักขึ้นมา แบบนั้นต่างหากที่มีปัญหา”
……
ตอนที่อธิบาย พวกเขาก็เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมแล้ว กลับเห็นว่าโรงเตี๊ยมตกแต่งได้สภาพอนาถมาก ราวกับไม่ได้ปรับปรุงมาแล้วสิบกว่าปี ข้อดีอย่างเดียวก็คือ ความสะอาดถูกหลักอนามัยของที่นี่ยังพอรับได้อยู่
โต๊ะเก้าอี้และเครื่องเรือนแม้จะเก่า ดูเผินๆ เหมือนสกปรก แต่หากมองให้ละเอียด กลับพบว่าบนนั้นไม่มีคราบฝุ่นและคราบน้ำมันเลย ดูแลได้สะอาดมาก
เมื่อเห็นห้าคนนี้เข้ามาข้างใน ผู้จัดการที่สองมือค้ำไม้เท้าก็เข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มทันที “ลูกค้าเตรียมจะสั่งอะไรรับประทานขอรับ”
“เรื่องกินอาหาร มองข้ามไปเถอะ” เมื่อได้รับข้อมูลจากเฟยอวี๋ในช่องทีมว่าคนนี้คือหัวขโมย เยี่ยเว่ยหมิงก็ขี้คร้านจะอ้อมค้อม เริ่มเข้าประเด็นเลยว่า “พวกเราคือเจ้าหน้าที่ของสำนักมือปราบเทพ มาที่นี่เพื่อจับขโมยโดยเฉพาะ”
ขณะที่พูด สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงก็จ้องไปบนใบหน้าของเจ้าคนไม่ได้เรื่องคนนี้ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าตอนที่อีกฝ่ายได้ยินคำว่า ‘สำนักมือปราบเทพ’ กับ ‘จับขโมย’ ก็ไม่แสดงสีหน้าหวาดกลัวลนลานแม้แต่น้อย แต่กล่าวอย่างไม่แยแสเลยว่า “ข้าชวีซานเปิดกิจการที่หมู่บ้านหนิวเจียมาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่เคยได้ยินว่าที่นี่มีหัวขโมยเลย หากพวกท่านมาเพื่อจับขโมย ก็เกรงว่าจะมาผิดที่แล้ว”
“เจ้ากำลังโกหก!” คนที่พูดเปิดโปงคำโกหกของอีกฝ่ายไม่ใช่เครื่องจับเท็จอย่างซานเย่ว์ แต่เป็นระบบ GPS อย่างเฟยอวี๋ เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้า มองชายวัยกลางคนที่เรียกตัวเองว่าชวีซานอย่างเหยียดหยาม แล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ชื่อของเจ้าไม่ใช่ชวีซาน แต่เป็นชวีหลิงเฟิง!”
ชวีซานได้ยินแล้วอึ้งทันที เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจว่าเหตุใดมือปราบกระจอกที่ดูเหมือนอ่อนแอคนนี้จึงรู้ชื่อจริงที่เขาปิดบังมาหลายปีได้
เพียงแต่ถ้าเป็นเพราะสิ่งนี้อย่างเดียว ก็ยังไม่เพียงพอให้เขาหวาดกลัวหรอก
อันที่จริงแล้ว ยุทธภพยังเป็นสถานที่ที่ต้องมาแข่งกันว่าใครจะหมัดใหญ่กว่ากัน
ส่วนชวีซาน หรือชวีหลิงเฟิง ก็เชื่อว่าหมัดของเขาใหญ่กว่าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่เป็นมือใหม่พวกนี้!
อาศัยความได้เปรียบโดยสมบูรณ์จากกำลังอันป่าเถื่อนของตัวเอง ชวีหลิงเฟิงตอบไม่ตรงคำถาม “ไม่ผิดหรอก ชื่อของข้าคือชวีหลิงเฟิง เป็นบุตรคนที่สามของตระกูล จะเรียกตัวเองว่าชวีซานที่แปลว่าสามแล้วจะเป็นไรไป”
หลังจากชะงักไปครู่เดียว เขาก็ถามกลับอีกว่า “ดูจากท่าทางของพวกเจ้า เหมือนจะแน่ใจว่าข้าคือคนต่ำช้าอย่างที่พวกเจ้าบอกแล้วสินะ แต่พวกเจ้าก็น่าจะรู้เช่นกัน ว่าในโลกนี้ยังมีประโยคที่บอกว่า จับขโมยต้องมีหลักฐาน จับชายชู้ต้องจับหญิงแพศยาด้วย หากพวกเจ้าพูดปากเปล่าโดยไร้หลักฐานก็เป็นการใส่ร้ายประชาชนแล้ว ประชาชนก็ไม่นั่งรอความตายเช่นกัน!”
ความหมายที่เขาจะสื่อก็คือ หากไม่มีหลักฐาน ก็ต้องใช้กำลังอันป่าเถื่อนแก้ไขปัญหา
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา เยี่ยเว่ยหมิงก็อดแสยะยิ้มในใจไม่ได้ พูดอย่างกับว่าหากพวกเรามีหลักฐานแล้ว เจ้าจะยอมให้จับกุมแต่โดยดีอย่างนั้นแหละ
คนต่ำช้าที่กล้าแฝงตัวเข้าไปขโมยสมบัติในพระราชวัง เยี่ยเว่ยหมิงไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเป็นคนที่รับมือด้วยง่าย
และในตอนนี้เอง ซานเย่ว์ที่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่งก็ก้าวขึ้นมาแล้ว นางกล่าวอย่างใจเย็นว่า “เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่า ‘จับขโมยต้องมีหลักฐาน จับชายชู้ต้องจับหญิงแพศยาด้วย’ สายตาของเจ้าจงใจจ้องอาหมิง เห็นได้ชัดว่าแสร้งวางมาดใหญ่โตกลบเกลื่อนเพราะกำลังกินปูนร้อนท้อง”
ชวีหลิงเฟิงได้ยินแล้วชะงักทันที ขณะกำลังจะเอ่ยปากเถียง กลับได้ยินซานเย่ว์พูดต่อว่า “ตอนนี้เจ้าเริ่มหายใจถี่กว่าก่อนหน้านี้นิดหน่อย แสดงว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ควบคุมลมปราณได้ แต่ก็ปิดบังความวิตกกังวลในใจตัวเองไม่ได้อยู่ดี”
“ข้อนิ้วของสองมือที่กุมไม้เท้าเริ่มซีดขาว เป็นเพราะออกแรงมากเกินไป สิ่งนี้ยิ่งอธิบายได้ว่าเจ้าเตรียมพร้อมจะลงมือทุกเมื่อ!”
“ข้าพูดถูกกระมัง”
หลังจากชะงักไปคู่เดียว ท่ามกลางสายตาที่เหมือนมองสัตว์ประหลาดของชวีหลิงเฟิง ซานเย่ว์กล่าวสรุปว่า “รวมสิ่งที่เจ้าแสดงออกมาข้างต้น หลักฐานที่เจ้าต้องการ พวกเรานั้นให้เจ้าได้ หากจะให้จับขโมยตามหลักฐานก็ไม่ยากเช่นกัน เพราะสมบัติที่เจ้าแฝงตัวเข้าไปขโมยในพระราชวัง ตอนนี้ยังไม่ได้นำออกมาขาย ยังคงซ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้!”
“เจ้าพูดจาเหลวไหล!” ตอนที่คำรามประโยคนี้ออกมา สายตาของชวีหลิงเฟิงก็พรั่งพรูเจตนาสังหาร เห็นได้ชัดว่าถูกเฟยอวี๋กับซานเย่ว์ยั่วโมโหจนแทบจะหนีออกไปแล้ว
ทว่า เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่ได้คิดจะปล่อยเขาไปอย่างนี้ เขาพูดต่อจากซานเย่ว์ว่า “ก่อนที่พวกเราจะเข้ามา ข้าสำรวจโรงเตี๊ยมของเจ้าไว้แล้ว ทั้งโรงเตี๊ยมเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามแบบฉบับดั้งเดิม กำแพงข้างหน้ายาวสี่จั้งสามฉื่อ สูงหนึ่งจั้งสองฉื่อ กำแพงด้านข้างยาวสามจั้ง”
ขณะที่พูด สายตาก็มองสำรวจในโรงเตี๊ยมรอบหนึ่ง ปากก็พูดต่อไปว่า “และมองจากด้านใน ระดับความยาวของกำแพงตรงหน้าก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลง ระดับความสูงก็สอดคล้องกับข้างนอกเช่นกัน แต่ระยะห่างจากประตูทางเข้าจนถึงกำแพงข้างหลังยาวแค่สองจั้งเท่านั้น เช่นนั้น พื้นที่ว่างเกือบหนึ่งจั้งนี้ เจ้าจะหนีไปไหนได้”
“หากข้าเดาไม่ผิด ที่นั่นคงจะเป็นห้องลับ มีไว้ใช้ซ่อนของโจรโดยเฉพาะสินะ”
ศิษย์ทั้งสามของสำนักมือปราบเทพโอ้อวดความสามารถชุดใหญ่พร้อมกัน ไม่เพียงแค่ทำให้ชวีหลิงเฟิงตัวสั่นเทานั้น ถึงขั้นทำให้สะพานสวรรค์น้อยกับถังซานไฉ่ที่มากับพวกเขาด้วยพากันมองค้อนด้วย
อวดเก่งคืออะไร?
แบบนี้แหละที่เรียกว่าอวดเก่ง!
คดีขโมยสมบัติของยอดฝีมือบู๊ลิ้ม เดิมทีเบาะแสน้อยมาก ด้วยเงื่อนไขด้านเทคโนโลยีในยุคโบราณ ทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไขคดีสำเร็จ แต่พวกเขาก็พูดออกมาชัดเจนประโยคต่อประโยค ถึงขนาดว่าแม้แต่ชื่อจริงของผู้ก่อคดีกับที่ซ่อนของโจรก็ระบุได้แล้ว
ต้องทราบไว้ว่า พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ เพิ่งได้เจอชวีหลิงเฟิงเป็นครั้งแรก!
ทักษะอาชีพของสำนักมือปราบเทพนี้ หลังจากพวกเขาร่วมมือกัน ก็ทำได้เท่ยิ่งกว่านิยายสืบสวนที่บอกว่า ‘ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว’ นั่นเสียอีก!
น่าอิจฉาจัง
ส่วนในตอนนี้ ชวีหลิงเฟิงก็หายจากอาการตกตะลึงแล้ว เขาแสยะยิ้ม ในดวงตาทั้งคู่ระเบิดจิตสังหารออกมา “ในเมื่อพวกเจ้ามองออกแล้ว เช่นนั้นก็จะเก็บพวกเจ้าไว้ไม่ได้!”
ขณะที่พูด สองมือเขาก็ออกแรงไปด้วย ไม้เท้าที่อยู่ในฝ่ามือสองข้างพลันดันพื้น กระโจนร่างเข้าไปหาทั้งห้าคน พร้อมทั้งใช้มือขวาสะบัดไม้เท้าเหล็ก ไม่น่าเชื่อว่าจะครอบคลุมตัวหลักอย่างเยี่ยเว่ยหมิง เฟยอวี๋ ซานเย่ว์ไว้หมดแล้ว
สำหรับการโจตีกะทันหันของชวีหลิงเฟิง ทุกคนย่อมเตรียมตัวไว้นานแล้วเช่นกัน
เมื่อเห็นสถานการณ์ดังนั้น เฟยอวี๋กับซานเย่ว์ก็ถอยหลังพร้อมกันหนึ่งก้าว ดูเหมือนเป็นสหายทรยศ แต่ความจริงพวกเขากำลังรักษาระยะห่างที่ดีที่สุด
เพราะในขณะที่พวกเขากำลังถอยไปข้างหลังนั้น สะพานสวรรค์น้อยที่อยู่อีกด้านก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้ว นางออกมายืนเคียงข้างเยี่ยเว่ยหมิง จากนั้นกระบี่วิเศษในมือทั้งสองก็โจมตีออกมา คนหนึ่งแทงเฉียง อีกคงฟันแนวตั้ง รับมือกับไม้เท้าเหล็กในมือชวีหลิงเฟิง
พวกเขาใช้ ‘เคล็ดกระบี่ดรุณีหยกใจพิสุทธิ์’ โดยเลือกกระบวนท่าที่รวดเร็วที่สุด…พเนจรสุดขอบฟ้า!