ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 137 กระบี่ของข้าล่ะ
ตอนที่ 137 กระบี่ของข้าล่ะ
เหวยเสี่ยวเป่านำบรรดาทหารประจำวังหลวงจากไปแล้ว ตรงหน้าวัดถู่ตี้เหลือเพียงพวกเยี่ยเว่ยหมิงห้าคนกับกระบี่หนึ่งเล่ม
เยี่ยเว่ยหมิงมองกระบี่จินสยาที่ถูกปักไว้บนพื้นแวบหนึ่ง แล้วมองสหายร่วมทีมอีกสี่คนที่อยู่ข้างกายตัวเอง จากนั้นก็เอ่ยปากก่อนว่า “ตอนนี้ก็ดีเลย ครั้งนี้พวกเราเหมือนจะได้ผลประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกแล้ว สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือกระบี่จินสยามีเพียงเล่มเดียว แต่พวกเราตรงนี้มีกันห้าคน ควรจะแบ่งอย่างไรกันแน่ ทุกคนลองแสดงความเห็นของตัวเองมา พวกเรามาระดมความคิดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่ากันเถอะ”
ที่จริงหากอิงตามความคิดของเยี่ยเว่ยหมิง ให้กระบี่เล่มนี้กับสะพานสวรรค์น้อยไปจะดีที่สุด
นี่ไม่ใช่การประจบเอาใจ แต่เป็นผลลัพธ์ที่แน่นอนซึ่งเกิดจากการพิจารณาตามความจำเป็น
ในบรรดาพวกเขาห้าคน เฟยอวี๋ใช้ดาบต่อสู้ในระยะประชิด ซานเย่ว์ใช้ฝ่ามือ ผู้ที่จะได้ใช้งานกระบี่วิเศษด้ามนี้จริงๆ หากนับรวมถังซานไฉ่ที่โจมตีด้วยอาวุธลับเป็นหลักไปด้วย ก็มีเพียงสามคนเท่านั้น
และในบรรดาพวกเขาสามคน เยี่ยเว่ยหมิงก็เพิ่งได้รับกระบี่มังกรคำรามหนึ่งเล่มจากภารกิจ ไม่เพียงแค่ค่าสเตตัสสูงกว่ากระบี่จินสยาเยอะมาก อีกทั้งหากมองจากสายตาคนนอก เขาชอบกระบี่มังกรคำรามที่ค่อนข้างเรียบง่ายมากกว่า ไม่ใช่กระบี่จินสยาที่แพรวพราวซับซ้อน
ส่วนถังซานไฉ่ กระบี่ลมสนที่เขาใช้ตอนนี้ก็ช่วยเสริมจุดเด่นให้กับ ‘เคล็ดกระบี่ลมสน’ ที่เขาฝึกอยู่แล้ว หากเปลี่ยนเป็นกระบี่จินสยา แม้จะทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็จะสูญเสียความได้เปรียบในการเพิ่มเลเวลเคล็ดกระบี่ไปหนึ่งเลเวล และพลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นนี้ก็จะถูกลดไปเยอะมาก
ดังนั้น กระบี่เล่มนี้จึงไม่มีความหมายสำหรับถังซานไฉ่มากนัก
เมื่อใช้วิธีการตัดทิ้งทีละคน ผู้ที่จำเป็นต้องใช้กระบี่เล่มนี้ที่สุดก็เหมือนจะมีเพียงน้องสะพานสวรรค์น้อยแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็หวังว่ากระบี่เล่มนี้จะตกอยู่ในมือสะพานสวรรค์น้อย เขามีความคิดที่เห็นแก่ตัวอยู่นิดหน่อย
เนื่องจากเกี่ยวข้องกับทักษะ ‘กระบี่คู่ผนึกรวม’ เมื่อสะพานสวรรค์น้อยมีพลังเพิ่มสูงขึ้นในระดับหนึ่งก็ถือว่าได้ว่าเพิ่มพลังของเขาด้วย
ภายใต้ความคิดมุ่งหาผลประโยชน์นี้ เขาย่อมหวังให้สะพานสวรรค์น้อยได้กระบี่วิเศษเล่มนี้ไปอยู่แล้ว
เพียงแต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เขาก็ยังต้องถามความเห็นของทุกคนให้พอเป็นพิธีสักหน่อย จากนั้นค่อยอิงตามท่าทีของทุกคนเพื่อปรึกษากันว่าสุดท้ายกระบี่เล่มนี้จะตกเป็นของใคร
ทว่า ตอนที่เขาเพิ่งกล่าวจบ เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างๆ พลันเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อเทียบกับกระบี่จินสยาเล่มนี้ ผลประโยชน์ที่เจ้าได้รับจากภารกิจครั้งนี้คงจะเยอะกว่าพวกเรามากสินะ”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วชะงักทันที ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ เฟยอวี๋จะเอ่ยถึงสิ่งนี้ทำไม
อยากจะใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้าง บีบให้ตนเลิกช่วงชิงสิทธิ์ในการครอบครองกระบี่เล่มนี้หรือ
หรือว่าจะพยายามตัดสิทธิ์ของเขาในการช่วงชิงกระบี่เล่มนี้ หรือถึงขั้นว่าหลังจากขายกระบี่วิเศษเล่มนี้ทิ้งแล้ว จะได้มีคนหารเงินส่วนแบ่งน้อยลงคนหนึ่ง
ตามหลักแล้ว เฟยอวี๋แม้จะชอบตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา แต่คงไม่ใจแคบถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง
ขณะกำลังฉงนสนเท่ห์ เยี่ยเว่ยหมิงก็พยักหน้าสื่อว่าเฟยอวี๋พูดไม่ผิด
ส่วนเฟยอวี๋เมื่อเห็นเขาแสดงออกอย่างนั้นก็หัวเราะลั่น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าในฐานะผู้รับผลประโยชน์สูงสุดจากภารกิจครั้งนี้ ตอนนี้ควรเป็นฝ่ายควักกระเป๋าเลี้ยงฉลองให้ร่างกายทุกคนสักหน่อยกระมัง หากจะให้ทุกคนยืนกินลมกินแล้งอยู่ตรงนี้ ข้าหวังว่าจะได้นั่งในห้องส่วนตัวของภัตตาคารโหลวไว่โหลวมากกว่า กินของอร่อยไปด้วย พิจารณาปัญหาเรื่องเจ้าของกระบี่เล่มนี้ไปด้วย”
ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็คิดจะเอาเปรียบตนหนึ่งมื้อนี่เอง มโนธรรมพังมากจริงๆ ด้วย!
แต่สำหรับข้อเสนอของเฟยอวี๋ เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ปฏิเสธในทันที เพียงเน้นย้ำว่า “ภัตตาคารโหลวไว่โหลวนั่นเลิกคิดไปได้เลย ถ้ามีเงินน้อยกว่าร้อยแปดสิบเหรียญทองก็กินไม่ถึงอกถึงใจหรอก พวกเราเปลี่ยนภัตตาคารเป็นที่ราคาประหยัดหน่อยดีกว่า แล้วขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ข้าเลี้ยงด้วยงบห้าสิบเหรียญทองเท่านั้น ถ้าราคาสูงกว่านี้ทุกคนค่อยหารกัน ดังนั้น เวลาสั่งอาหารก็ช่วยระวังให้ข้าสักหน่อย”
เฟยอวี๋ได้ยินก็ยิ้มตอบ “เจ้าวางใจเถอะ พวกเราจะกินตามงบห้าสิบเหรียญทอง ไม่แน่ว่าถ้ามีของลดราคา แค่สี่สิบเก้าเหรียญก็อาจจจะแก้ปัญหาได้แล้ว”
เยี่ยเว่ยหมิงดึงกระบี่จินสยาขึ้นจากพื้น ยัดเข้ากระเป๋าสะพายหลังแล้วกล่าวว่า “เก็บกระบี่เล่มนี้ไว้ที่ข้าก่อนแล้วกัน แล้วพวกเราก็คุยไปกินไป”
ขณะที่พูด ทั้งห้าคนก็หันหลังให้ดวงอาทิตย์อัสดงพร้อมวิ่งไปทางเมืองหังโจวด้วยความเบิกบานใจเต็มเปี่ยม แสงแดดยามเย็นส่องเงาของทั้งห้าเป็นเส้นตรงยาว ราวกับเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ยื่นขยายออกไปไปไกล
ตอนนี้ถังซานไฉ่ที่อยู่ตรงตำแหน่งนิ้วก้อยของ ‘ฝ่ามือ’ กำลังรู้สึกฮึกเหิมไร้ที่เปรียบ
ยามเผชิญหน้ากับฉากเช่นนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองหลุดพ้นจากชะตากรรมที่ต้องลงหลุมฝังศพสำเร็จแล้ว ได้หลอมรวมอยู่ในขบวนของทีมแกร่งห้าคนนี้อย่างราบรื่นแล้ว!
พอนึกถึงตรงนี้ เขาที่กำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามอัสดงก็รู้สึกว่าเลือดร้อนในร่างกายเริ่มเดือดพล่าน
ในหัวเขามีเสียงดนตรีประกอบฉากที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายจูนิเบียวดังขึ้นอีกครั้ง
C! C! C! C! ย้า!
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาบระยิบระยับ ฝันอันงดงามในตำนาน
มีความดื้อรั้น มีความตื้นตันใจ มีบาดแผลและความเจ็บปวดอยู่บ้าง!
แกร๊ก!
เว่ยหมิงเอ๋ย…เจ้าอย่าขาดคุณธรรมนักสิ!
เฟยอวี๋เอ๋ย…เอาแต่คิดจะเป็นพี่ใหญ่!
โอ๊ เย่!
ซานไฉ่เอ๋ย…ไม่อยากถูกฝังพร้อมศพอีกแล้ว!
ซานเย่ว์เอ๋ย…สะพานสวรรค์น้อยจ๋า…เป็นเพื่อนรักกัน…
……
เดี๋ยวก่อนนะ เหมือนมีบางอย่างไม่ถูก
ทำไมร้องว่าถูกฝังพร้อมศพอีกแล้วล่ะ!O(≧口≦)O
ข้าเปลี่ยนแปลงดวงชะตาแล้วไม่ใช่หรือ
ใช่แล้ว ตอนนี้ข้าไม่ใช่ของที่ถูกฝังพร้อมศพแล้ว ข้าคือทีมแกร่งห้าคน!
เทพประจำต้นแปะก๊วยศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ต่อไปนี้หากเจอภารกิจใหญ่ ก่อนปฏิบัติภารกิจจะต้องมาผูกผ้าแดงขอพรสักหน่อย
สิ่งนี้ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ!
สหายถังซานไฉ่ที่ได้เติมเต็มความปรารถนาของตัวเอง เห็นได้ชัดว่ามองข้ามปัญหาสำคัญไปอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือ ชวีหลิงเฟิง BOSS ของภารกิจครั้งนี้ยังไม่ตาย ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้สมบัติฝังร่วม
นี่ช่างเป็นเรื่องราวอันน่าเศร้าจริงๆ…
……
หมู่บ้านหนิวเจียอยู่ไม่ไกลจากเมืองหังโจว พวกเยี่ยเว่ยหมิงวิ่งเร็วตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงนอกประตูฝั่งตะวันตกของเมืองหังโจวแล้ว
ตากำลังมองไปที่ประตู ตรงใต้เนินกลับมีเงาร่างสีน้ำเงินโผล่มาจากกลางป่า พุ่งมาชนหน้าอกเยี่ยเว่ยหมิงที่อยู่ข้างหน้าสุดโดยตรง
ตุ้บ!
หลังจากเกิดเสียงกายเนื้อกระทบกัน เยี่ยเว่ยหมิงที่ดันค่าสเตตัสไว้สูงมากย่อมไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าไร แต่ผู้ที่มาชนกับเขากลับกระเด็นไปไกลห้าเมตร จากนั้นก็ตกลงพื้นด้วยท่าคางคกทองก้นจ้ำเบ้า
ในขณะเดียวกันนี้เอง ตัวเลขดาเมจสามหลักก็ลอยขึ้นมาเหนือศีรษะผู้เล่นคนนี้
-233!
เมื่อเห็นว่าตัวเองชนคน เยี่ยเว่ยหมิงที่อึ้งไปครู่เดียวก็รีบส่ายหน้ากล่าวว่า “ขออภัยจริงๆ เมื่อครู่รีบเดินทาง…เป็นเจ้า วั่งเหยียน!”
ที่แท้ผู้โชคร้ายที่ถูกเยี่ยเว่ยหมิงชนกระเด็นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นวั่งเหยียน ผู้เล่นสำนักหัวซานที่มีวาสนาได้พบหน้ากันครั้งหนึ่งที่จวนลู่ติ่งกง
เมื่ออีกฝ่ายเห็นเยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกคาดไม่ถึงเช่นกัน ขณะกำลังลุกขึ้นมา ปากก็อดบ่นไม่ได้ว่า “ใช่แล้ว บังเอิญจริงๆ แต่ค่าสเตตัสเจ้านี่ก้าวร้าวเกินไปหรือเปล่า แม้ข้าจะโผล่มากะทันหัน แต่เจ้าก็ไม่น่าชนจนเกือบตายอย่างนี้สิ”
ในเมื่อเป็นคนคุ้นเคยกัน ทั้งยังเป็นเรื่องเข้าใจผิด คู่กรณีของเรื่องนี้ก็ไม่ถึงขั้นต้อง PK กัน หลังจากต่างฝ่ายต่างหัวเราะใส่กัน พูดจาไร้สาระกันสองสามประโยคแล้ว ก็ต่างคนต่างกล่าวอำลา รีบไปทำธุระของตัวเอง
หลังจากฉากที่แทรกเข้ามาฉากนี้ผ่านไป พวกเขาก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง และเดินทางพร้อมพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะกันต่อไป
ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน ในที่สุดพวกเขามาก็มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ภัตตาคารรู้รส’ ของเมืองหังโจว แล้วสั่งอาหารเต็มโต๊ะ
เมื่อเห็นสุราอาหารถูกนำมาวางครบแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้ว่าถึงเวลาต้องคุยธุระหลักแล้ว เขาจึงเอ่ยปากด้วยสีหน้าจริงจัง “ตามที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้ ที่บอกว่าจะกินไปด้วยและคุยเรื่องกระบี่จินสยาไปด้วย ตอนนี้…แม่งเอ๊ย กระบี่จินสยาล่ะ?…
…ข้าจำได้ว่าทีแรกเก็บไว้ในห่อสัมภาระแล้ว ทำไมถึงหายไปได้!”