ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 141 ข้าดูเหมือนเป็นคนอย่างนั้นหรือ
ตอนที่ 141 ข้าดูเหมือนเป็นคนอย่างนั้นหรือ
“แน่นอนว่ามาท้าสู้กับเจ้า!”
สาวน้อยชุดแดงกล่าวอย่างตื่นเต้น “ครั้งก่อนเจ้าเอาชนะข้าได้ที่เมืองฝูโจว แม้ตอนนั้นเจ้าจะอาศัยการบิดพลิ้วกติกาเพื่อเอาชนะข้า แต่ตอนหลังข้าก็เข้าใจแล้วเช่นกัน แพ้แล้วก็แพ้ไปสิ มัวโทษฟ้าโทษดินไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
“ข้าล้มลงตรงไหน ข้าก็จะลุกขึ้นมาตรงนั้น!”
ขณะที่พูด สาวน้อยก็ชักดาบเดี่ยวข้างหลังออกมาแล้ว
สิ่งที่ต่างกับครั้งก่อนก็คือ ครั้งนี้คมดาบที่สะพายอยู่บนหลังของนางเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ ตัวดาบแคบยาว ลักษณะของมันก้ำกึ่งอยู่ระหว่างดาบหว่อเตา[1]กับดาบเหมียวเตา[2]
ขณะที่ถือดาบอยู่ในมือ ลักษณะท่าทางของสาวน้อยชุดแดงเริ่มเปลี่ยนเป็นอันตราย ดวงตาทั้งคู่จ้องเยี่ยเว่ยหมิงอย่างอยากรู้อยากลอง ปากบอกว่า “หลังจากครั้งก่อนถูกเจ้าโจมตีแพ้ ข้าคิดถึงวิธีการกู้หน้ากลับมาได้สองวิธี หนึ่งคือเพิ่มค่าสเตตัสของตัวเอง วิธีการที่เร็วที่สุดคือต้องใช้ของที่ชื่อว่า ‘กระสอบข้าวแสนสาหัส’ แต่นึกไม่ถึงว่าของสิ่งนี้จะอยู่ในมือเจ้า…
…นอกจากนี้ก็คือหาวิธีการเอาชนะวิชาสละตนโจมตีนั่นของเจ้าให้ได้” พอพูดถึงตรงนี้ สุดท้ายสาวน้อยชุดแดงก็เผยรอยยิ้มสุดมาดมั่นออกมา “หลังจากพยายามหลายวัน ในที่สุดข้าก็เจอทักษะยุทธ์ที่จะเอาชนะวิชาสละตนโจมตีได้แล้ว จะว่าไปก็น่าขำ ข้าลำบากหาทักษะยุทธ์มาตั้งหลายวัน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นวิทยายุทธ์ระดับสูงของสำนักข้านี่เอง เคล็ดวิชาดาบ ดาบโลหิต…
…เป็นอย่างไร เยี่ยเว่ยหมิง กล้ารับคำท้าของข้าไหม”
ขณะมองดูท่าทางอยากรู้อยากลองของสาวน้อยชุดแดง เยี่ยเว่ยหมิงก็ปฏิเสธไม่ลงจริงๆ จึงกวาดกระบี่อาญาสิทธิ์ในแนวขวางพร้อมบอกว่า “ได้! ข้ารับคำท้าของเจ้า โจมตีเข้ามาสิ!”
นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยชุดแดงได้ยินแล้วก็ถลึงตาทันที พร้อมด่าว่า “หน้าด้านไร้ยางอาย!”
เยี่ยเว่ยหมิงขมวดคิ้ว “ทำไมพูดจาไร้มารยาทอย่างนั้น”
“เชอะ!” สาวน้อยชุดแดงแลบลิ้น “ข้าขอยืนยันอีกครั้ง ที่เจ้าสั่งสอนวั่งเหยียนก่อนหน้านี้ ข้าเห็นทุกอย่างชัดเจนแล้ว!…
…แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีการอะไรทำให้ทหารของระบบเชื่อฟังคำสั่งเจ้า แต่มีอยู่สิ่งหนี่งที่ข้ามั่นใจ นั่นก็คือหากลงมือต่อสู้กันที่นี่ เจ้าสังหารข้าได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากข้าเป็นฝ่ายโจมตีเจ้าก่อน จะต้องถูกทหารของระบบสี่คนนั้นแทงตายทันทีแน่นอน!…
…วางอุบายกับสตรีเช่นนี้ เจ้าไม่รู้สึกเจ็บปวดมโนธรรมบ้างหรืออย่างไร”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วยิ้มอย่างเก้อเขิน เอามือลูบจมูกพร้อมบอกว่า “ไม่รู้สึกเจ็บปวดหรอก แต่อายที่ถูกคนเปิดโปงต่อหน้ามากกว่า”
“ที่แท้เจ้าจะวางอุบายกับข้าจริงๆ แต่กลับมาบอกว่าข้าไม่ควรเปิดโปงเจ้าต่อหน้าอย่างนั้นหรือ”
“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว”
…
ในเมื่อบอกแล้วว่าต้องการประลองยุทธ์ แน่นอนว่าต้องหาสถานที่ทิวทัศน์งดงามสักแห่ง หรือไม่ก็เป็นสถานที่ที่มีเอกลักษณ์และมีความหมายให้รำลึกถึง
ทำอย่างนั้นถึงจะอวดเก่งได้ใช่ไหมล่ะ
เขาจึงค้นหาทิวทัศน์อันโด่งดังบริเวณเมืองหังโจวอย่างละเอียด
แถวเจดีย์เหลยเฟิงมีผู้เล่นเยอะเกินไป ศึกตัดสินจะกลายเป็นละครลิงให้กลุ่มคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านมามุงดูได้ง่าย
pass!
ซีหู สะพานขาด สองแห่งนี้มักทำให้คนนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวความรักของปีศาจสาวพันปี หากสุดหล่อกับสามงามคู่หนึ่งไปต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายที่นั่น ก็มักให้ความรู้สึกว่าไม่เหมาะสมกับบรรยากาศ
pass!
วัดหลิงอิ่น ไม่ฆ่าฟันกันในสถานที่บริสุทธ์ผุดผ่องของชาวพุทธ เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ต้อนรับ
pass!
คิดไปคิดมา เหมือนจุดที่มีกลิ่นอายสังหารมากที่สุดจะเป็นศาลาเฟิงปัว
ตามเลเวลที่เพิ่มขึ้นของผู้เล่น โจรทะเลสาบซีหูเลเวลสิบเติมเต็มความต้องการของผู้เล่นในการฝึกอัปเลเวลได้ยากแล้ว ดังนั้นพวกผู้เล่นที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมีมากแน่นอน อีกทั้งในสถานที่โด่งดังและมีทิวทัศน์งดงามใกล้เมืองหังโจว ก็เหลือเพียงสถานที่นี้มีกลิ่นอายสังหารมากสุดในตำนาน
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เยี่ยเว่ยหมิงค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานที่นั้น เคยโจมตีหมู่มาแล้วครั้งหนึ่ง ถือว่ายังได้เปรียบในสนามต่อสู้อยู่บ้าง
ขณะที่เดินไป เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังไม่ลืมสืบข้อมูลจากสาวน้อยชุดแดง “ข้าจำสิ่งที่เจ้าบอกตอนเจ้าเพิ่งโผล่มาก่อนหน้านี้ได้ ว่าหากตายต่อเนื่องกันเกินสามครั้งภายในหนึ่งชั่วโมง ก็จะเลือกจุดคืนชีพเองได้ เจ้าแน่ใจในข้อมูลนี้นะ”
“น่าจะไม่มีปัญหา” สาวน้อยชุดแดงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “จำได้ว่าก่อนที่จะเจอพวกเจ้าเป็นครั้งแรก ระหว่างที่ทำภารกิจข้าบังเอิญเจอเจ้าคนน่ารังเกียจคนหนึ่ง อาศัยว่าตัวเองเลเวลสูง มีอุปกรณ์ดี เลยมาพูดจาแทะโลมข้า”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วหลุดขำ “ช่างเป็นเจ้าหนุ่มที่ไม่เคยเปิดหูเปิดตา จากนั้นเขาก็ถูกเจ้าไล่สังหาร?”
“ข้าก็ไม่ได้รีบสังหารเขาหรอก แต่ล่อเขาไปที่จุดคืนชีพนอกป่าแห่งหนึ่ง แล้วก็ดักสังหารเขาต่อเนื่องสามครั้ง” สาวน้อยชุดแดงตอบ
“ตอนนั้นข้าคิดจะสังหารเขาวนไปเรื่อยๆ ในอึดใจเดียว ผลปรากฏว่าหลังจากสังหารเขาครั้งที่สาม เขาก็หนีไปที่จุดคืนชีพอื่นแล้ว”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงกลับขมวดคิ้ว “อาศัยแค่เรื่องนี้ เจ้าก็วิเคราะห์ได้แล้วหรือว่าผู้เล่นจะเลือกจุดคืนชีพเองได้อย่างอิสระ ไม่ใช่เพียงการสุ่มเปลี่ยนจุดคืนชีพหรือเพราะสาเหตุอื่น”
“ตอนนั้นข้าไม่มีอารมณ์มาวิเคราะห์เรื่องนี้อยู่แล้ว” สาวน้อยชุดแดงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ตอนหลังข้าบังเอิญเจอเจ้าหมอนั่นอีกครั้ง หลังจากรับปากเขาแล้วว่าจะไม่ไล่สังหารเขาอีก เขาถึงได้ยอมบอกความลับนี้กับข้า”
ที่แท้หากไม่มีความลับนี้มาเป็นข้อแลกเปลี่ยน เจ้าคงคิดจะสังหารเขาทุกครั้งที่เจอสินะ
เยี่ยเว่ยหมิงยืนไว้อาลัยให้คนลามกโชคร้ายนั่นเงียบๆ สามนาที จากนั้นเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เจ้าก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับเหมือนกันหรือ”
“ก็นับว่าเป็นครึ่งหนึ่งกระมัง”
“ครึ่งหนึ่ง?”
สาวน้อยชุดแดงพยักหน้า แล้วอธิบายต่อ “จำได้ว่าตอนเด็กๆ พ่อข้าเคยเล่านิยายยอดยุทธ์คุณธรรมให้ฟังอยู่บ้าง แต่ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ลืมรายละเอียดของเนื้อเรื่องไปเยอะแล้ว…
แต่พ่อข้าบรรยายเรียบเรียงฉากต่อสู้อันยอดเยี่ยมกับทักษะยุทธ์ในนิยายออกมาเยอะมาก ทำเป็นเล่มไว้โดยเฉพาะ ตอนนั้นข้าหยิบมาอ่านเป็นประจำ
ตามที่พ่อข้าบอกมา ให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นมาทำงานบู๊ แม้จะเป็นการวางแผนรบบนกระดาษ แต่ความคิดแปลกใหม่มากมายของพวกเขาก็มีจุดให้เรียนรู้เยอะมาก…
…ดังนั้น สำหรับทักษะยุทธ์มากมายที่มีจุดเด่นค่อนข้างชัดเจน ข้ามองคร่าวๆ ปราดเดียวก็แยกออกแล้ว ยกตัวอย่างเช่นไท้ซัวเป็นไฉนที่เจ้าเคยใช้ก่อนหน้านี้อย่างไรล่ะ”
“อ้อ” เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ แล้วถามต่อ “หากพูดเช่นนี้ ก็แสดงว่าเจ้ามาจากตระกูลที่ฝึกวิทยายุทธ์หรือ”
“หึ! พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ข้าก็โมโห!”
“เป็นอะไรไป”
สาวน้อยชุดแดงบ่นอย่างไม่พอใจ “ข้าฝึกยุทธ์มาตั้งแต่เด็กจริงๆ เมื่ออยู่ในเกมนี้ข้าได้เปรียบมาแต่เดิมอยู่แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีหลายคนคิดว่านี่คือ BUG พออ้าปากก็พูดเหน็บแนมข้าเลย!…
…ที่จริงแล้ว ต่อให้ในชีวิตจริงเคยฝึกยุทธ์มาก่อน ตอนอยู่ในเกมก็ได้เปรียบแค่เรื่องพลังสายตากับความรู้สึกตัวเท่านั้น เป็นความได้เปรียบนิดหน่อยเท่านั้นเอง!…
…คนที่เคยเล่นเกมมาก่อน เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยเล่นเกม ความได้เปรียบที่มีก็ไม่ถือว่าเป็นความได้เปรียบแล้วหรือ…
…คนที่เคยเล่น Dota ถ้าไปเล่น LOL ความได้เปรียบแต่เดิมนั้นก็ไม่นับเป็นความได้เปรียบแล้วหรือ…
…อีกทั้งความได้เปรียบที่คนเหล่านั้นมี ก็เป็นสิ่งที่ได้มาโดยธรรมชาติตอนหาความสุขใส่ตัว!…
…ส่วนข้า ตั้งแต่เจ็ดขวบข้าก็ฟันดาบกลางอากาศหนึ่งพันครั้งทุกวัน ตอนอายุแปดขวบฟันสองพันครั้ง ตอนเก้าขวบสามพันครั้ง…ปัจจุบันช่วงก่อนขึ้นยานอวกาศ อย่างน้อยข้าก็ฝึกดาบที่จืดชืดนี้วันละสี่ชั่วโมงทุกวัน!…
…แล้วความได้เปรียบแบบนี้ ก็จะเพิ่มขึ้นไม่หยุดตามความสามารถโดยรวมของผู้เล่น แต่มันก็จะลดน้อยลงเช่นกัน”
ในที่สุดก็พบสิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงตาเป็นประกายทันที “หมายความว่าอย่างไร”
“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่สังเกตเห็น เมื่อเลเวลทักษะยุทธ์ที่เจ้าฝึกเพิ่มขึ้น ไม่เพียงแค่จุดด้อยในกระบวนท่าที่ใช้ลดน้อยลงเรื่อยๆ เท่านั้น ถึงขั้นว่าแม้แต่ค่าพลังสายตาก็สูงขึ้นด้วย”
“นี่ก็ถือเป็นจุดยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงของเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ เกมนี้ค่อยๆ หลอมรวมให้คุณสมบัติโดยรวมของผู้เล่นเพิ่มขึ้นผ่านการเชื่อมต่อระหว่างระบบโฮโลแกรมกับสมองของผู้เล่น การกรอกข้อมูลเหล่านี้ไปที่ผู้เล่นนั้นฟังดูง่าย แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำความเข้าใจได้ยากมาก หรือจะเรียกมันว่า…การตระหนักรู้?…
…เรื่องรายละเอียดข้าก็พูดได้ไม่ชัดเจนนัก อย่างไรเสีย หลังจากเจ้าฝึกเคล็ดกระบี่ระดับกลางจนเลเวลเต็มแล้ว สำหรับเจ้า ความได้เปรียบที่ข้ามีก็จะอันตรธานหายไปเอง”
พอพูดถึงตรงนี้ บนใบหน้าของสาวน้อยก็ไม่เพียงแค่ไร้ความท้อใจใดๆ กลับเผยสีหน้าอยากรู้อยากลอง “แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะข้าจะได้อาศัยทรัพยากรของเกมนี้ เพิ่มความสามารถของตัวเองไปอีกขั้น”
ขณะที่พูด ทั้งสองก็เดินออกจากเมืองหังโจวแล้ว เมื่อเห็นศาลาเฟิงปัวอยู่ไกลๆ สาวน้อยชุดแดงก็มองเงาร่างทั้งสี่ที่รออยู่ในศาลาตั้งแต่แรกแล้ว แต่กลับอดขมวดคิ้วไม่ได้ “ข้าว่านะ ที่เจ้าเลือกสถานที่ต่อสู้เป็นที่นี่ คงไม่ได้เตรียมจะพาพวกของเจ้ามารุมโจมตีข้าหรอกใช่ไหม”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” เยี่ยเว่ยหมิงรีบปฏิเสธ “คนเถรตรง จิตใจดีงาม ไม่เห็นแก่ตัวเช่นข้า ข้าดูเหมือนคนที่จะสมคบกับคนอื่นทำเรื่องอย่างนั้นหรือ”
สาวน้อยชุดแดงเงียบไปสองวินาที เหมือนกำลังครุ่นคิดหาคำตอบของคำถามนี้ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็พยักหน้าแล้ว
“เหมือน!”
[1] ดาบหว่อเตา 倭刀 หรือดาบคาตานะ มีใบดาบทรงโค้ง คมด้านเดียว
[2] ดาบเหมียวเตา 苗刀 หรือดาบแม้ว มีใบดาบใหญ่เป็นพิเศษ