ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 149 รีเฟรชอ๋าวป้าย
ตอนที่ 149 รีเฟรชอ๋าวป้าย
ในเมื่อเหวยเสี่ยวเป่าบอกแล้วว่าให้พวกเขาวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างสง่าผ่าเผย ทั้งสองก็ย่อมไม่ต้องทำตัวกระบิดกระบวนอีกอีก
อินปู้คุยเริ่มแบ่งปันข้อมูลที่เขารู้มาทันที “ไห่ต้าฟู่เป็นขันทีเฒ่าที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ทักษะยุทธ์เลิศล้ำ เชี่ยวชาญฝ่ามือแปรกระดูก เป็นเคล็ดฝ่ามือร้ายกาจที่มีความหมายเหมือนชื่อ หลังจากโจมตีบนร่างกายแล้ว ภายนอกดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่กลับทำให้กระดูกแตกได้ ว่ากันว่าเป็นผู้สืบทอดของสำนักคงต้ง”
“อ๋าวป้าย ได้รับฉายาว่าเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่ง ดูถูกความสามารถไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ความสามารถของเขาน่าจะอ่อนแอที่สุดในบรรดาสี่คน”
“เฝิงซีฟ่าน ฉายาหนึ่งกระบี่ไร้เลือด ถนัดใช้ปลายกระบี่แตะจุดตาย สังหารคนโดยไม่เห็นเลือด”
“ประมุขพรรคมังกรเทพ หงอันทง ข้าตัดสินได้คร่าวๆ ว่าคนนี้เก่งสุดในบรรดาสี่คน ดังนั้นควรตัดออกคนแรก ส่วนที่หลืออีกสามคน สหายเยี่ยรู้สึกว่ามั่นใจกับคนไหน”
พอได้ยินอินปู้คุยอธิบายจุดเด่นทีละคน เหวยเสี่ยวเป่าก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่เขาก็ยังไม่พูดมาก
เพราะเขาเชื่อว่าช่องโหว่ที่อยู่ในข้อมูลของอินปู้คุย เยี่ยเว่ยหมิงเองก็น่าจะค้นพบแล้วเช่นกัน
เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากฟังอินปู้คุยบอกเล่าข้อมูลของสี่คนนี้เสร็จ เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่ายหน้าทันที “การทดสอบนี้ เมื่อก่อนข้าเคยท้าสู้มาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นข้าเลือกประตูบานที่เขียนว่าปาถูหลู่ แต่อ๋าวป้ายที่ข้าเผชิญหน้าด้วย เหมือนจะคลาดเคลื่อนกับที่เจ้าบรรยายนิดหน่อย อย่างน้อยจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เมื่อครู่นี้เจ้าก็ไม่ได้เอ่ยถึง”
“สหายเยี่ยกำลังหมายถึง?”
เยี่ยเว่ยหมิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอ็นทองแดงกระดูกเหล็ก อาวุธฟันแทงไม่เข้า!”
พอเหวยเสี่ยวเป่าที่อยู่ข้างๆ ได้ยินประโยคนี้ ในที่สุดมุมปากก็เจือรอยยิ้มบางๆ แล้ว ขอเพียงมีความรู้ถึงจุดนี้ ก็ไม่เสียเปรียบด้านข้อมูลข่าวสารแล้ว
อินปู้คุยได้ยินแล้วก็อึ้งเช่นกัน แล้วก็อดอุทานออกมาไม่ได้ “จะเป็นไปได้อย่างไร”
หากอ๋าวป้ายมีศักยภาพแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆ ยังจะถูกขันทีเล็กๆ ที่เพิ่งเรียนมวยปล้ำไม่กี่วันจับตัวไปหรือ
จากนั้นเขาก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้ทันที ส่ายหน้าบอกว่า “ดูท่าแล้ว การทดสอบนี้คงเป็นกับดักเช่นกัน อีกทั้งกับดักนี้ก็พุ่งเป้ามาที่แฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับเดิมอย่างข้าด้วย”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งก็กล่าวเสริมว่า “ว่ากันว่าในสมัยก่อน นิยายยอดยุทธ์คุณธรรมหลายเรื่องล้วนเคยผ่านการปรับบทตอนทำเป็นภาพยนตร์ มีหลายตัวละครที่ถูกปรับบท หรือไม่ก็ทำให้อ่อนแอลง ส่วนอ๋าวป้ายคนนี้ ก็ถูกเสริมให้ร้ายกาจขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย”
“พอเป็นเช่นนี้ อีกสามคนที่ข้าวิเคราะห์ไป ก็ใช้เป็นเพียงข้อมูลประกอบการพิจารณาเท่านั้น เชื่อถือไม่ได้เด็ดขาด!”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า “เชื่อที่อ่านในหนังสือทั้งหมด สู้ไม่อ่านหนังสือยังดีกว่า แต่อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้ไม่ต้องคิดเรื่องเลือกคนให้วุ่นวายแล้ว” ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็เดินนำไปข้างหน้าแล้ว ผลักประตูบานใหญ่ที่เขียนอักษรว่า ‘ปาถูหลู่’ ออก
อินปู้คุยเห็นสถานการณ์แล้วตะลึง “เจ้ารู้อยู่แจ่มแจ้งว่าอ๋าวป้ายถูกเสริมแกร่ง ยังจะเลือกเขาอีกหรือ”
“อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมไปแล้ว ข้าเพิ่งบอกไปแล้ว ว่าศัตรูคนนี้ข้าเคยสู้ด้วยครั้งหนึ่ง” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มบางๆ ขณะที่พูดก็ขยิบตาให้อินปู้คุย “ในฐานะคู่ต่อสู้ที่เคยถูกข้าเอาชนะมาแล้วครั้งหนึ่ง ข้ารู้ว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ตรงไหน”
พอพูดจบ เขาก็ก้าวเข้าไปในมิติทดสอบ
อินปู้คุยได้ยินแล้วดีใจมาก รีบตามเข้าไป
ส่วนเหวยเสี่ยวเป่าที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาไม่ไหล สีหน้ากลับร้อนรนอย่างชัดเจน อยากจะเอ่ยปากพูดอะไรหลายครั้ง แต่กลับอดทนเก็บไว้
จนกระทั่งเห็นทั้งสองหายเข้าไปในหลุมดำแล้ว ถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างจนใจ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “หวังว่าครั้งนี้พี่ใหญ่เยี่ยจะสร้างปฏิหารย์ได้”
…
พอเข้ามาในประตูเหล็ก ภาพที่ปรากฏสู่สายตาก็คือสิ่งปลูกสร้างหน้าตาเหมือนวังขนาดมหึมา บนป้ายประตูหลักเขียนอักษรตัวใหญ่ว่า ‘ห้องหนังสือ’
จากนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกเพียงว่าข้างกายมีเงาคนคนหนึ่งแฉลบผ่าน แต่กลับเป็นอินปู้คุยที่ถูกส่งเข้ามาในดันเจี้ยนภารกิจนี้เหมือนกัน
เมื่อสมาชิกมาครบแล้ว ระบบก็แจ้งเตือนราวกับนัดเวลาไว้
[ติ๊ง! พวกคุณเข้าในเขตลับของดันเจี้ยน ‘ปาถูหลู่’ แล้ว เชิญไปที่ห้องหนังสือ โจมตีสังหารอ๋าวป้าย!]
[แจ้งเตือนภารกิจ: ฐานะของพวกคุณตอนนี้คือยอดฝีมือในราชสำนักที่ขอคำชี้แนะทักษะยุทธ์จากอ๋าวป้าย ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างคุณกับดังนั้นอ๋าวป้ายจึงห้ามให้คนอื่นแทรกแซง แต่อ๋าวป้ายมีฉายาว่า ‘ปาถูหลู่’ ซึ่งแปลว่าเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งในภาษาแมนจู ไม่อาจดูถูกความสามารถ กรุณาต่อสู้อย่างระมัดระวัง]
อ๋าวป้ายคนนี้ไม่ได้รับความสำคัญจริงๆ เขาถูกระบบทำให้กลายเป็นทหารโดดเดี่ยวต่อเนื่องสองภารกิจ เป็น BOSS หัวเดียวกระเทียมลีบที่ไม่มีแม้กระทั่งลูกน้องสักคนเดียว
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
มีแต่แบบนี้เท่านั้น ตัวเองถึงจะทำภารกิจสะดวก ไม่ใช่หรอกหรือ
เยี่ยเว่ยหมิงกับอินปู้คุยสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็มองออกถึงความมั่นใจในสายตาของกันและกัน จากนั้นทั้งสองก็เดินขึ้นบันไดเคียงข้างกันไป เดินไปทางห้องหนังสือ
ตอนที่พวกเขาเดินขึ้นบันไดไปทีละก้าว ฉากตรงหน้าก็เริ่มปรากฏต่อหน้าทั้งสองจากบนลงล่าง
พอประตูของห้องหนังสือเปิดออก ทั้งสองก็เห็นชายชราเคราขาวสวมหมวกสีแดงคนหนึ่งยืนอยู่กลางตำหนักใหญ่ เป็นอ๋าวป้ายนั่นเอง!
แตกต่างกับที่เจอกันก่อนหน้านี้ ตอนนี้อ๋าวป้ายสวมเครื่องแบบประชุมขุนนาง บนคอห้อยสร้อยเฉาจู[1] สวมหมวกขนนกยูง ท่าทางเหมือนผู้ที่มีอำนาจสูงยิ่ง บนตัวเผยกลิ่นอายความเผด็จการโดยธรรมชาติ ทำให้ผู้ที่พบเห็นหวาดเกรง
เมื่อเทียบกับอ๋าวป้ายที่หิวโซสามวันสามคืน บนตัวมีพันธนาการอย่างที่เยี่ยเว่ยหมิงเจอก่อนหน้านี้ ถือว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดินจริงๆ!
ขณะที่เดินไป เยี่ยเว่ยหมิงก็เคราะห์ให้อินปู้คุยฟังด้วยเสียงต่ำเบาว่า “จุดอ่อนของอ๋าวป้ายคือจุดเซี่ยอิน เจ้าสนใจแค่โจมตีตรงนั้นแรงๆ ก็พอแล้ว”
อินปู้คุยพนักหน้าน้อยๆ ทั้งสองเดินมาถึงนอกประตูใหญ่ของห้องหนังสือแล้ว
ตอนนี้ สายตาที่เหมือนเสือของอ๋าวป้ายจับต้องอยู่บนตัวคนทั้งสองแล้ว อีกฝ่ายยิ้มอย่างสนใจพร้อมกล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนก็คือยอดฝีมือราชองครักษ์ที่เหวยเสี่ยวเป่าเอ่ยถึงอย่างนั้นหรือ แต่ถ้าอยากจะท้าสู้กับข้า ก็ต้องเตรียมตัวว่าจะถูกโจมตีตายเอาไว้ทุกเมื่อก็แล้วกัน!…
…ถึงอย่างไรข้าก็ออกศึกมาทั้งชีวิต แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรู้จักคำว่าปรานี!”
“อย่างนั้นหรือ” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มน้อยๆ แต่ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ไว้ในมือแล้ว “กระบี่อาญาสิทธิ์ในมือข้าเล่มนี้ นำมาฟันทหารผ่านศึกอย่างเจ้าโดยเฉพาะ วันนี้เกรงว่าใต้เท้าอ๋าวคงจะมีเคราะห์มากกว่ามีโชคแล้ว”
“แค่กๆ!” เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงพูดเปิดฉาก อินปู้คุยที่อยู่ข้างกันก็อดเตือนไม่ได้ “น่าจะเป็นราชครูอ๋าว”
เยี่ยเว่ยหมิงโบกมืออย่างทนรำคาญไม่ไหว “ใกล้เคียงกันนั่นแหละ อย่างไรเสียก็เป็นคนใกล้ตายคนหนึ่ง จะเรียกอย่างไรก็ไม่ต่างกันมาก”
“ฮ่าๆๆ…” อ๋าวป้ายได้ยินแล้วหัวเราะลั่น “นำขันสิ้นดี! ตั้งแต่บุกเบิกแคว้นนี้มา ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีกระบี่อาญาสิทธิ์อะไรทั้งนั้น เจ้านำกระบี่ของราชวงศ์ก่อนมาฟันขุนนางของราชสำนักนี้ เห็นได้ชัดว่าคิดก่อกบฎ วันนี้ต่อให้ข้าสังหารพวกเจ้าคาที่ ก็ไม่มีใครพูดไร้สาระแม้สักประโยคเดียว!”
ขณะที่พูด บนตัวอ๋าวป้ายก็พลันพวยพุ่งพลังอันแข็งแกร่งออกมา ร่างกายกระโจนเข้ามาราวกับเสือตะครุบเหยื่อ ชิงโจมตีทั้งสองก่อน
ขณะเดียวกันนี้เอง บนศีรษะของอ๋าวป้ายก็มีข้อมูลค่าสเตตัสของเขาลอยขึ้นมา
[อ๋าวป้าย]
ผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งแมนจู เคยมีอำนาจมากในราชสำนัก ฆ่าคนนับไม่ถ้วน
เลเวล: 45
พลังชีวิต: 76000/76000
กำลังภายใน: 10000/10000
[1] สร้อยเฉาจู 朝珠เครื่องประดับของจักรพรรดิและบรรดาเชื้อพระวงศ์ในสมัยราชวงศ์ชิง มีที่มาจากประคำของศาสนาพุทธ มีลูกประคำ 108 เม็ด มีหลายสีแตกต่างกันตามฐานะและยศขุนนาง