ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 209 เจ้าสำนักชิงเฉิง หลินผิงจือ
ตอนที่ 209 เจ้าสำนักชิงเฉิง หลินผิงจือ
ธนูดีที่เยี่ยเว่ยหมิงบอก ก็คือธนูด้ามเหล็กระดับทองคำ ค่าสเตตัสไม่ได้ยอดเยี่ยมมากนัก แต่ก็พอใช้แก้ขัดได้อยู่
อาวุธชิ้นนี้ได้จากตอนสู้กับหลินจื้อเพ่ย เพียงแต่ไม่มีที่ให้ใช้งานเลย ถึงถูกเก็บให้ฝุ่นเกาะอยู่ในโกดังของสำนักมือปราบเทพมาตลอด
พอมาคิดดูตอนนี้ กลับนำมาใช้เป็นโบนัสส่วนหนึ่งได้พอดี แบบนี้พอแบ่งเงินกันตอนสุดท้าย เขาก็จะได้ส่วนแบ่งมากหน่อย แล้วค่อยไปซื้อโลงศพดีๆ อีกสักสองโลง
สำหรับข้อเสนอของเยี่ยเว่ยหมิง เฟยอวี๋บอกว่าขอดูของก่อนแล้วค่อยว่ากัน เยี่ยเว่ยหมิงส่งสัญญาณมือ ‘OK’ ตอบเขา
หลังจากแบ่งของเสร็จแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็นำโลงศพที่ทำจากลวดทองและไม้หนานมู่ซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วออกมาทันที จากนั้นจึงโยนศพอวี๋ชางไห่ลงไปข้างในค่อยปิดฝาโลงอย่างง่ายๆ เป็นเสร็จเรียบร้อย!
ได้รับ ‘ตระหนักรู้กำลังภายใน’ x1!
ได้รับ ‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ x1!
ได้รับ ‘ตระหนักรู้เคล็ดฝ่ามือ’ x1!
ได้รับ ‘ตระหนักรู้อาวุธลับ’ x1!
ได้รับตำราลับตระหนักรู้สี่เล่มในอึดใจเดียว นอกจากเป็นเพราะเอฟเฟ็กต์เพิ่มเติมของโลงไม้หนานมู่ลวดทองแล้ว ตัวของอวี๋ชางไห่โหมดปกติคงจะมีคุณภาพมากกว่าโหวทงไห่ด้วย!
ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้าสำนัก อย่างน้อยศักยภาพด้านต่างๆ ก็ยังมากกว่าโดยค่าเฉลี่ย
ไม่มีจุดอ่อนที่ชัดเจน
จากนั้น ทั้งสามคนที่ได้ผลตอบแทนเต็มไม้เต็มมือก็กลับไปที่เขตลานบ้านใหญ่ตระกูลอวี๋อย่างมีชีวิตชีวา
ตอนนี้ห้ายอดฝีมือมารวมตัวกันที่นี่หมดแล้ว บรรยากาศในเขตลานบ้านใหญ่ตระกูลอวี๋ก็ประหลาดมากเช่นกัน
อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ ประกาศระบบที่บอกว่าชีชีสังหารอวี๋ชางไห่ แม้จะเป็น NPC ก็ได้ยินแล้วเช่นกัน และในฐานะพี่ใหญ่ระดับสูงของยุทธภพ ลำบากลำบนไล่สังหารมาตั้งนาน สุดท้ายมีศิษย์ชิงเฉิงที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งมาแย่งผลงานไป แค่คิดก็รู้แล้วว่าตอนนี้จั่วเหลิ่งฉานกับเย่ว์ปู้ฉวินอยู่ในอารมณ์ไหน
กลับเป็นหลินผิงจือที่สีหน้าเรียบเฉย เพราะเขารู้สึกค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์นี้
แม้จะไม่ได้สังหารอวี๋ชางไห่เพื่อชำระแค้นเลือดด้วยมือตัวเอง แต่พอคิดได้ว่าคนก่อกรรมทำชั่วอย่างอวี๋ชางไห่ตายอนาถด้วยน้ำมือศิษย์ตัวเอง ก็นับว่ากรรมตามสนองแล้วเช่นกัน
หลินผิงจือบอกว่าเขารับได้อยู่แล้ว
สำหรับเขา ถ้าเทียบกับให้อวี๋ชางไห่ตายด้วยน้ำมือจั่วเหลิ่งฉาน หรือเย่ว์ปู้ฉวิน อย่างน้อยวิธีการตายแบบนี้ก็ทำให้เขาสะใจกว่าเยอะ!
ส่วนเรื่อง ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ที่ถ่ายทอดมาจากตระกูลถูกเผยแพร่ออกไป
หลินผิงจือบอกว่าไม่เป็นอะไรเลย
ถ้าเลือกได้ เขาหวังให้ตำรากระบี่ที่ทำให้เขาบ้านแตกสาแหรกขาดเล่มนี้ไม่อยู่เลยเสียดีกว่า!
เทียบกับหลินผิงจือที่แอบสะใจ จั่วเหลิ่งฉานคือคนที่ในใจรู้สึกหงุดหงิดที่สุด
เขาคือคนที่ทุ่มเทมากที่สุดเพื่อตำรากระบี่พิชิตมาร แต่พอถึงตอนสุดท้าย กลับไม่ได้ส่วนแบ่งแม้แต่ขนเส้นเดียว เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ยุติธรรมมาก
การข่มความหงุดหงิดไว้ในใจ ไม่ใช่นิสัยสิงห์ร้ายแห่งยุทธภพอย่างเขา
เขาต้องระบายออกมา!
ดังนั้น หลังจากกลับมาที่เขตลานบ้านใหญ่ตระกูลหลินแล้ว เขาจึงออกคำสั่งล้างเลือดชิงเฉิงทันที โดยอ้างว่าเพื่อกำจัดความชั่วร้ายให้หมดสิ้น แต่ความจริงกลับทำเพื่อระบายความไม่พอใจของเขาเท่านั้นเอง
สำหรับเรื่องแบบนี้ เย่ว์ปู้ฉวินที่มีฉายากระบี่วิญญูชนย่อมพยายามโน้มน้าวอยู่ข้างๆ
เขาไม่ได้เป็นห่วงความเป็นความตายของศิษย์สำนักชิงเฉิงพวกนั้นเท่าไร แต่คาแรกเตอร์กระบี่วิญญูชนที่เขาสั่งสมมาอย่างยากลำบากหลายปีจะพังไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด!
และสิ่งที่ทำให้จั่วเหลิ่งฉานคิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ ครั้งนี้แม้แต่หลินผิงจือที่มีความแค้นล้ำลึกกับสำนักชิงเฉิงก็ยังยืนอยู่ข้างเย่ว์ปู้ฉวิน คัดค้านการตัดสินใจของจั่วเหลิ่งฉานที่ต้องการจะล้างเลือดชิงเฉิง
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้ แม้ในใจจั่วเหลิ่งฉานจะไม่ปลื้ม แต่ก็ไม่ได้ฉีกหน้ากันโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
อย่างไรเสีย ถ้าเย่ว์ปู้ฉวินกับหลินผิงจือรวมตัวกัน ก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับมือกับเขาแล้ว
แม้เขาจะยังเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่กลับใช้วิธีบดขยี้เหมือนที่รับมือกับอวี๋ชางไห่ก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว
หากทั้งสองฝั่งลงมือขึ้นมา แม้เขาจะเอาชนะได้ แต่ศิษย์สำนักซงซานจะบาดเจ็บล้มตายอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเขาก็อาจรั้งหลินผิงจือที่มีท่าร่างเร็วเหมือนผีไว้ไม่ได้
ส่วนเย่ว์ปู้ฉวิน จะฆ่าก็ได้ แต่การฆ่ากระบี่วิญญูชนโดยไม่มีข้ออ้างที่สมเหตุสมผล ในภายหลังหากเขาจะเป็นประมุขห้าขุนเขา หนึ่งในผู้นำฝ่ายธรรมะ ก็จะคุมคนได้ยากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
ไม่อย่างนั้นเย่ว์ปู้ฉวินจะทุ่มเทเพื่อคาแรกเตอร์นี้มาตลอดไปเพื่ออะไรกัน
ถ้าทำไปเพื่อระบายความโกรธอย่างเดียว แล้วต้องแตกหักกับสองผู้แข็งแกร่งอย่างสิ้นเชิง ก็ถือเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยฉลาดจริงๆ
ขณะที่ NPC ระดับสูงทั้งสามกำลังคุมเชิงกันอยู่ ทีมของเยี่ยเว่ยหมิงก็กลับมาถึงแล้ว
เมื่อเห็นกลุ่ม NPC ระดับสูงมีสีหน้าแย่ จู่ๆ เฟยอวี๋ก็ส่งข้อความในช่องทีมอย่างภูมิใจเล็กน้อย [ดูท่าแล้วคงเป็นอย่างที่เจ้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ ชีชีปาดหน้าสังหารอวี๋ชางไห่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไป ถ้าก่อนหน้านี้ในประกาศระบบเป็นชื่อของพวกเรา เกรงว่าพวกเราสามคนคงกลายเป็นเป้าสาธารณะไปแล้ว ถ้าอยากดำเนินภารกิจต่อไปอย่างราบรื่น เกรงว่าคงไม่ง่ายแล้ว]
ลองเปลี่ยนมุมมองไตร่ตรอง ที่จริงก็จินตนาการได้ไม่ยาก
การแข่งขันสังหารอวี๋ชางไห่เพื่อรับ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ครั้งนี้ พวกเยี่ยเว่ยหมิงเป็นคนสร้างสถานการณ์ขึ้นมา ถ้าสุดท้ายพวกเขาเป็นคนสังหารอวี๋ชางไห่ ก็จะให้ความรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ในกองสลากถูกรางวัลที่หนึ่งเอง
ต่อให้จะไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่ก็ไม่มีทางทำให้คนเชื่อถือศรัทธาได้อยู่ดี!
เช่นนั้นต่อไป คนพวกนี้ไม่มาหาเรื่องพวกเขาในภารกิจภาคต่อก็แปลกแล้ว
แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มีชีชีโผล่มา ขณะที่ชิงปาดหน้าสังหารอวี๋ชางไห่ ก็ได้ชิงความแค้นที่เป็นของพวกเขาไปหมดแล้วด้วย ได้ช่วยแก้ไขปัญหาใหญ่ให้พวกเยี่ยเว่ยหมิงไปหนึ่งอย่างแล้ว
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ เขาได้แต่ปาดหน้าสังหารบอสเท่านั้น แต่ไอเทมดรอปของอวี๋ชางไห่ยังเป็นของพวกเยี่ยเว่ยหมิง
เจ้าว่าน่าโมโหหรือไม่
เยี่ยเว่ยหมิงหยิบม้วนผ้าแพรสีทองออกจากห่อสัมภาระ แล้วสะกิดแขนเฟยอวี๋พร้อมบอกว่า “ตอนนี้ถึงเวลาแสดงละครของเจ้าแล้ว ไปประกาศพระราชโองการเถอะ”
เฟยอวี๋งงทันที “ทำไมเจ้าไม่ไปทำเอง”
“งานประเภทประกาศพระราชโองการ ในสายตาของข้าเหมือนเป็นงานของขันที น่าอึดอัดเกินไปแล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงตอบตามความจริง
เฟยอวี๋ “??”
“เจ้าอาศัยอะไรมาคิดว่าข้าจะเชื่อฟังเจ้า”
“เพราะการประกาศพระราชโองการไม่มีความยากเลยสักนิด แต่ในฐานะที่เป็นคำสั่งของจักรพรรดิ รางวัลภารกิจจะเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ จะได้รับค่าประสบการณ์ 10000 แต้มและค่าตบะ 1000 ไม่เชื่อเจ้าก็ลองรับพระราชโองการนี้ไปสิ พอสัมผัสมือแล้วจะพบภารกิจทันที” เยี่ยเว่ยหมิงตอบ
เฟยอวี๋ได้ยินแล้วรับพระราชโองการมาจากมือของเยี่ยเว่ยหมิงอย่างไม่ลังเล จากนั้นตาก็เป็นประกาย แล้วประกาศเสียงดังท่ามกลางการถกเถียงของทั้งสามในเขตลานบ้านใหญ่ตระกูลหลิน “พระราชโองการมาถึงแล้ว หลินผิงจือรับพระราชโองการ!”
หลินผิงจือได้ยินแล้วฮึกเหิม รีบหันตัวไปคุกเข่าตรงหน้าเฟยอวี๋ “ข้าน้อยหลินผิงจือรับพระราชโองการ! ขอฝ่าบาททรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”
“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฝ่าบาททรงมีพระราชบัญชา หลินผิงจือมีวิทยายุทธ์ลึกล้ำ…บลาๆๆ ตอนนี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเทียนซือ[1]คุ้มครองประเทศ พระราชทานนามเต๋าหลินผิงจือ เป็นผู้นำถ่ายทอดวิทยายุทธ์ของสำนักชิงเฉิง เก็บรักษาตำรากระบี่พิชิตมาร จบพระราชโองการ!”
นี่ต่างหากที่เป็นข้อต่อสุดท้ายของภารกิจ ‘ปราบชิงเฉิง’!
ผลลัพธ์ที่หวงโส่วจุนต้องการ ไม่ใช่การกำจัด หรือลบชื่อสำนักที่อยู่ในยุทธภพมาเป็นร้อยปีอย่างชิงเฉิง แต่ต้องการเชือดไก่ให้ลิงดูและทำให้สำนักนี้เชื่อฟัง ทางที่ดีคือกลายเป็นกำลังสนับสนุนใหญ่ของสำนักมือปราบเทพ!
และการแต่งตั้งให้หลินผิงจือที่ได้รับเมตตาจากสำนักมือปราบเทพเป็นเจ้าสำนักชิงเฉิง ก็ย่อมเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว
ขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงโน้มน้าวให้จางซานเฟิงออกหน้าเป็นผู้รับรองได้
หากช่วยหลินผิงจือคนเดียว สำนักอู่ตังเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอาจได้ไม่คุ้มเสีย แต่ถ้าหลินผิงจือคนนี้เป็นเจ้าสำนักชิงเฉิงในอนาคต เช่นนั้นก็ได้ข้อสรุปอย่างอื่นแล้ว
ฐานะในยุทธภพของสำนักชิงเฉิงแม้จะเทียบกับอู่ตังไม่ได้ แต่ก็เป็นสำนักใหญ่ของฝ่ายธรรมมะอยู่ดี หากเจ้าสำนักชิงเฉิงมีความซาบซึ้งใจต่ออู่ตัง ก็ย่อมทำให้ฐานะในยุทธภพของของอู่ตังมั่นคงขึ้นได้อยู่แล้ว!
ส่วนจั่วเหลิ่งฉานกับเย่ว์ปู้ฉวินแม้จะไม่พอใจกับผลลัพธ์นี้ แต่ก็ไม่ได้ ‘ตำรากระบี่พิชิตมาร’ ไปอยู่ดี พวกเขาทำได้เพียงยอมรับว่าตัวเองโชคร้าย
โดยเฉพาะสำหรับจั่วเหลิ่งฉาน เดิมทียังไม่ยอมเสียหน้าลดท่าที แต่พระราชโองการนี้กลับเป็นบันไดชั้นดีให้เขาลงได้ทันเวลา หลังจากพูดทิ้งท้ายตามมารยาท ก็นำศิษย์ทั้งสองรวมทั้งศิษย์สำนักซงซานเหล่านั้นสะบัดชายเสื้อเดินจากไป
ระหว่างนั้น ก่อนที่ดาบฟันรองเท้าแตะจะจากไปก็ยังไม่ลืมหัวเราะแห้งๆ พลางกล่าวอำลาพวกเยี่ยเว่ยหมิง
มารอบนี้ แม้จั่วเหลิ่งฉานจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย แต่กลับไม่เกี่ยวอะไรกับผู้เล่นอย่างพวกเขาเลย พวกเขาไม่ได้รับความเสียหายใดๆ ถึงขั้นว่าก่อนที่จั่วเหลิ่งฉานจะไป ยังประกาศภารกิจที่ชื่อว่า ‘ไล่สังหารชีชี’ ตั้งรางวัลไว้เยอะมาก
ดังนั้นศิษย์สำนักซงซานเหล่านี้จึงมีสีหน้าร่าเริงสดใสมาก
หลังจากจั่วเหลิ่งฉานออกไปแล้ว เย่ว์ปู้ฉวินก็กล่าวแสดงความยินดีกับเจ้าสำนักชิงเฉิงคนใหม่อย่างหลินผิงจือ จากนั้นจึงกล่าวอำลาและเดินออกไปอย่างอิสระผ่อนคลาย กล่าวได้ว่าพยายามแสดงความเป็นวิญญูชนออกมาเต็มที่
ส่วนในใจจะผ่อนคลายเหมือนสีหน้าหรือไม่ คงจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้
หลังจากนั้น พวกเยี่ยเว่ยหมิงก็กล่าวอำลาหลินผิงจือ แล้วออกไปจากเขาชิงเฉิงเช่นกัน
ตอนที่มาถึงตีนเขาชิงเฉิง เยี่ยเว่ยหมิงก็ใช้เคล็ดฝ่ามือ ‘มังกรซ่อนกบดาน’ ตบลงบนพื้นจนเกิดหลุมขนาดใหญ่ จากนั้นโยนโลงศพที่บรรจุร่างอวี๋ชางไห่ลงไป แล้วนำพลั่วมาเกลี่ยดินฝัง
ซานเย่ว์เห็นดังนั้นก็รีบหยิบพลั่วเหล็กมาช่วยเช่นกัน ส่วนเฟยอวี๋ก็ยืนมองเงียบๆ อยู่ข้างกัน
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วย แต่เป็นเพราะเขาไม่มีพลั่วเหล็ก
หลังจากกลบโลงศพแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ตั้งป้ายหินตรงหน้าหลุมศพ บนนั้นเขียนตัวอักษร ‘สุสานอวี๋ชางไห่’ ขณะเดียวกันก็บ่นว่า “โลงศพระดับสูงเวลาจะใช้งานยุ่งยากมาก ไม่เพียงแค่ใช้ซ้ำไม่ได้ หลังจากฝังแล้วก็ยังต้องตั้งป้ายหน้าหลุมด้วย ไม่อย่างนั้นต่อให้ฝังเรียบร้อยแล้ว ก็ยังถูกหักค่าวีรบุรุษอยู่ดี พวกเจ้าคิดว่ายุ่งยากไหม”
ส่วนตัวอักษรบนป้าย ตอนตั้งป้ายใช้วิธีเคาะตัวอักษรก็สลักเข้าไปได้แล้ว
แต่เพื่อประหยัดเวลา เยี่ยเว่ยหมิงจึงทำทุกอย่างให้เรียบง่าย แม้แต่คำว่า ‘แห่ง’ ที่เห็นบ่อยที่สุดบนป้ายหลุมศพก็ขี้เกียจพิมพ์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำนำหน้าหรือลงท้ายประโยค กล่าวได้ว่าถ้าถูไถได้ก็ถูไถไปก่อน ขี้เกียจเปลืองตัวอักษรที่ไม่จำเป็น
หลังจากฝังศพอวี๋ชางไห่เสร็จแล้ว ภารกิจใหญ่ของสำนักอย่าง ‘ปราบชิงเฉิง’ ก็ถือว่ามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ตอนนี้พวกเขาแค่ต้องกลับสำนักมือปราบเทพไปรับรางวัล แล้วภารกิจนี้ก็จะเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
พอนึกถึงรางวัลของภารกิจนี้ หัวใจของเยี่ยเว่ยหมิงก็เริ่มมีไฟลุกขึ้นมาแล้ว
อยากรู้ว่า ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เลเวลสิบซึ่งเป็นระดับสมบูรณ์จะมอบความประหลาดใจอะไรให้เขากันแน่
[1] เทียนซือ 天师 ตำแหน่งปรมาจารย์สวรรค์ในลัทธิเต๋า