ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 217-2 ต่างคนต่างแสดงอภินิหาร (2)
ตอนที่ 217 ต่างคนต่างแสดงอภินิหาร (2)
น้องดาบตอบอย่างมั่นใจมาก “ไม่ต้องทำ เพราะจะหมอนั่นเป็นทาสหมากล้อม ขอเพียงเจ้าไปหาเขาเพื่อเล่นหมากล้อม เจ้าจะไปเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าอยากได้ตำราลับในมือเขา ก็ต้องเล่นต่อเนื่องหนึ่งร้อยแปดกระดาน แล้วก็ห้ามแพ้สักกระดานด้วย”
“แน่นอน เจ้าหมอนั่นเป็นมือสมัครเล่นระดับเจ็ดเท่านั้น ถ้าอยากจะเอาชนะเขาก็ไม่ยาก แต่ในหนึ่งร้อยแปดกระดานที่เจ้าเล่นกับเขา ทุกกระดานเจ้าจะต้องเล่นให้เหมือนเกือบชนะ ทำให้เขามองเห็นความหวังอยู่ตลอด ไม่ทิ้งการแข่งขันกลางคัน เจ้าถึงจะเล่นครบหนึ่งร้อยแปดกระดานแล้วได้ตำราลับมา”
เยี่ยเว่ยหมิงหันกลับไปตอบอย่างแน่วแน่ “คิดเสียว่าข้าไม่เคยถามก็แล้วกัน”
ทักษะหมากล้อมของเยี่ยเว่ยหมิงจัดอยู่ในประเภทมือสมัครเล่นระดับศูนย์ เป็นประเภทที่รู้เพียงว่าหมากล้อมมีหมากสีขาวและหมากสีดำ แม้แต่กระดานหมากล้อมมีตารางกี่ช่องก็ยังไม่รู้เลย เป็นคนนอกวงการอย่างแท้จริง
ถ้าเล่นอย่างเดียวก็ได้ เขายังพิจารณาฝืนรับไว้ได้ แต่ถ้าจะให้เล่นชนะ?
จะว่าไปแล้ว หมากล้อมตัดสินแพ้ชนะอย่างไร
ตอนที่เพิ่งย้ายสายตาไปบนสังเวียน เยี่ยเว่ยหมิงกลับเบิกตากว้างทันที เพราะสถานการณ์บนสังเวียนเหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง!
ที่แท้ หลังจากทำภารกิจขนาดใหญ่มาหลายครั้ง เลเวล ‘เคล็ดดาบตระกูลหู’ ของเฟยอวี๋ก็สูงขึ้นมากแล้ว ตอนนี้ได้กำลังภายในระดับสูงของสำนักชิงเฉิงอย่าง ‘วิชากระเรียนขาวคำรามเก้าชั้นฟ้า’ มาอีก ทำให้พลังต่อสู้สูงขึ้นเหมือนเรือที่ลอยขึ้นตามน้ำ มีลักษณะของยอดฝีมือพอสมควรแล้ว
ทว่าแม้เฟยอวี๋จะเป็นอย่างนี้ เมื่ออยู่ในการต่อสู้กลับเสียเปรียบฉางซิงอวี่โดยสมบูรณ์ หลังจากประเมินกันไม่กี่กระบวนท่า ก็ถูกอีกฝ่ายโจมตีจนเหลือแค่กำลังต้านทานเท่านั้น ไร้ความสามารถโต้ตอบโดยสิ้นเชิง!
พอมองฉางซิงอวี่ ก็เห็นทวนเงินด้ามหนึ่งในมือ ท่ามกลางกระบวนท่าที่ปล่อยออกและเก็บเข้า กลับทำให้เกิดลักษณะพลังที่มุ่งหน้าไม่เหลียวหลัง ราวกับจิงชี่เสิน[1]ทั้งร่างกายมาก่อตัวอยู่ด้วยกัน ทุกทวนที่แทงออกไปล้วนทำให้เกิดความรู้สึกกดขี่อย่างที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แม้แต่เยี่ยเว่ยหมิงที่นั่งอยู่ล่างสังเวียนก็ยังรู้สึกได้รางๆ ถึงกลิ่นอายที่เข่นฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ส่วนกระบวนท่าวิชาทวนของอีกฝ่าย เยี่ยเว่ยหมิงกลับรู้สึกคุ้นตามาก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ตอนนี้เอง สุดท้ายเฟยอวี๋ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีอย่างดุดันจนต้องลงจากสังเวียน
ผลแพ้ชนะถูกตัดสินแล้ว ค่าสเตตัสของทั้งสองกลับมาเต็มเหมือนเดิมทันทีท่ามกลางแสงสีขาว เฟยอวี๋เก็บดาบเหยียนหลัวแล้วกุมหมัดคารวะอีกฝ่าย “วิชาทวนของสหายฉางดุดันอย่างที่คาดไว้ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้จากใจจริง ไม่ทราบว่าสหายฉางเปิดเผยสักหน่อยได้หรือไม่ ว่าวิชาทวนที่เจ้าใช้เมื่อครู่นี้คือมีชื่อว่าอะไรกันแน่”
ฉางซิงอวี่ได้ยินแล้วครับยิ้มอย่างถ่อมตัว ก่อนจะตอบเสียงเรียบว่า “วิชาทวนตระกูลหยาง เป็นวิทยายุทธ์ที่ไม่เข้าขั้นวิชาหนึ่งเท่านั้น”
วิชาทวนตระกูลหยาง?
เมื่อได้ยินชื่อนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็นึกออกทันทีว่าเคยเห็นวิชาทวนนี้เมื่อไร
บนสังเวียนประลองยุทธ์เลือกคู่เนี่ยนฉือแชมเปียนส์คัพตอนนั้น หยางเถี่ยซินที่ใช้ชื่อว่ามู่อี้ก็เคยใช้วิชาทวนนี้ ถูกลูกชายของเขาจับแขวนโจมตี โจมตีเหมือนเป็นน้องชายคนหนึ่ง
วิชาทวนระดับนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะแสดงประสิทธิภาพออกมาได้น่ากลัวขนาดนี้ เช่นนั้นคำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลก็คือ…
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เยี่ยเว่ยหมิงคิดได้ เฟยอวี๋ก็คิดได้เช่นกัน ทั้งยังหลุดปากถามออกมาด้วยว่า “เลเวลสิบหรือ”
ฉางซิงอวี่เพียงพยักหน้าเล็กน้อย ถือว่ายอมรับแล้ว
ใช่จริงๆ ด้วย!
ถ้าอยากจะแสดงประสิทธิภาพของ ‘วิชาทวนตระกูลหยาง’ ที่ยังไม่เข้าขั้นให้ออกมาแข็งแกร่งขนาดนี้ ความเป็นไปได้เดียวก็คือ ฉางซิงอวี่ฝึกวิชาทวนนี้จนอัปถึงเลเวลสิบแล้ว เป็นเลเวลเต็มที่เปลี่ยนของผุพังให้กลายเป็นความอัศจรรย์!
เรื่องนี้ ขนาดไม่มีสกิลเทพคอยช่วยโกงอย่าง ‘เวทบรรจุศพ’ ฉางซิงอวี่คนนี้ยังฝึกจนเคล็ดวิชาที่ไม่เข้าขั้นถึงเลเวลสิบได้ภายในเวลาอันสั้น นอกจากความดึงดันกับความเด็ดเดี่ยวแล้ว เกรงว่าทักษะการเล่นส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้แน่นอน
อย่างไรเสีย ถ้าดูจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นอกจาก ‘วิชาทวนตระกูลหยาง’ ของเขาที่ยอดเยี่ยมแล้ว ค่าสเตตัสของเขาก็ไม่ด้อยกว่าเฟยอวี๋สักนิดเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ถึงตัดสินได้ว่า จำนวนรวม ‘ค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์’ ของฉางซิงอวี่นั่นไม่ด้อยกว่าเฟยอวี๋แน่นอน
ต่อให้มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง นั่นก็เป็นเพราะว่าเฟยอวี๋เพิ่มค่าตบะไปที่ทักษะยุทธ์ระดับสูงมากกว่า แต่เขากลับเพิ่มมันไปที่วิทยายุทธ์ไม่เข้าขั้นในอึดใจเดียวจนเลเวลเต็ม
ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ใช้ค่าตบะจำนวนเท่ากัน เขาอาศัยการเพิ่มประสิทธิภาพให้วิทยายุทธ์ระดับต่ำจนถึงเลเวลสิบ แต่กลับได้เปรียบกว่าโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่าการคาดเดาแบบนี้ เดาได้เพียงความเป็นไปได้เท่านั้น แต่ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ เกรงว่าคงมีเพียงฉางซิงอวี่ที่รู้ดีที่สุด
สิ่งเดียวที่ตัดสินได้ก็คือ ตัวเขาเองเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาเลย
เขามองน้องดาบที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง อย่าบอกนะว่าฉางซิงอวี่ก็เหมือนกับนาง ก่อนเข้ามาในเกมเป็น…
“ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในเกม ข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมรบมืออาชีพ เล่นเกมโดยเฉพาะ” เหมือนมองออกว่าทุกคนสงสัยในตัวเขามาก ฉางซิงอวี่จึงประกาศคำตอบเสียเลย
เป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมาย แต่ก็สมเหตุสมผลดี
เมื่อการประลองสองสนามจบลง น้องดาบที่อดใจรอไม่ไหวมานานแล้วก็ถลันตัวขึ้นบนสังเวียน จากนั้นหันกลับมากระดิกนิ้วให้เยี่ยเว่ยหมิงอย่างสง่างาม พร้อมกล่าวท้าทาย “มือปราบหน้าเหม็น ตอนนี้ข้ามีวิธีเอาชนะ ‘คนผีร่วมวิถี’ ของเจ้าแล้ว กล้ามาสู้กับข้าหรือเปล่า”
“อ้อ?” เยี่ยเว่ยหมิงเผยรอยยิ้มที่เหนือความคาดหมาย เขากระโดดขึ้นไปบนสังเวียนด้วยท่วงท่าการเปิดสนามที่ดูน่าเกลียดมาก จากนั้นหันตัวไปถามน้องดาบ “อย่าบอกนะว่าเจ้าไปเรียนเคล็ดดาบอันธพาลอะไรมาอีก แล้วเตรียมจะให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา”
คาดไม่ถึงว่าน้องดาบได้ยินแล้วกลับส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วนำถุงมือข้างหนึ่งมาใส่ไว้บนมือ “วันนี้ข้าไม่ใช้ดาบ ข้ามารับการชี้แนะเคล็ดกระบี่ของสหายเยี่ยด้วยมือเปล่าก็พอ”
น้องดาบพูดเช่นนี้ ย่อมไม่ขาดคำพูดเหน็บแนมอยู่แล้ว ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงเกิดความคิดที่จะไม่ใช้กระบี่เช่นกัน
ขนาดผู้หญิงที่ฝึกเคล็ดดาบเป็นหลักอย่างข้ายังไม่ใช้อาวุธ เปลี่ยนมาเป็นสู้กับเจ้าด้วยมือเปล่าแล้ว เจ้าเป็นผู้ชายที่มีศักยภาพแข็งแกร่ง ไม่อายบ้างหรือที่ถือกระบี่ล้ำค่ามารังแกคนอื่น
เยี่ยเว่ยหมิงแสดงออกว่า เขาไม่อาย!
กลับเห็นเขาชี้กระบี่แสงทองไปทางน้องดาบไกลๆ แล้วพูดอย่างสบายอารมณ์มากกว่า “ตามใจเจ้า”
“เป็นอย่างที่คาดไว้ เยี่ยเว่ยหมิงก็คือเยี่ยเว่ยหมิง” น้องดาบส่ายหน้าเล็กน้อย “เสียแรงที่ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดจะใช้วิธียั่วยุเพื่อให้เจ้าเลิกใช้อาวุธที่ตัวเองได้เปรียบ ดูท่าข้าคงคิดมากเกินไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ดูกระบวนท่าของข้าแล้วกัน!”
ขณะที่พูด น้องดาบก็ใช้ท่าร่างอันปราดเปรียวว่องไวของนางอีกครั้ง เงาร่างแวบหายไป มาปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้าเยี่ยเว่ยหมิง มือขวายื่นกรงเล็บออกมา ตรงไปยังลำคอของเยี่ยเว่ยหมิง
วิชากรงเล็บนี้ ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกคุ้นเคยมาก
เพราะเขาเคยเห็นอานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวของมันจากใครหลายคน!
[1] จิงชี่เสิน 精气神 ในทางเต๋าจัดว่าเป็นหัวใจหลักของมนุษย์ จิง คือสารสำคัญในร่างกาย เช่นฮอร์โมน เชื้ออสุจิ ชี่ คือพลังปราณ เสิน คือจิตวิญญาณหรือจิตสำนึก ถ้าขาดหนึ่งในสามนี้ไปก็ไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ได้อีก