ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 226 ภูเขาหิมะวิหคทอง
ตอนที่ 226 ภูเขาหิมะวิหคทอง
“บัดซบ!”
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงข่มขู่โดยไม่ปิดบังเลยสักนิด อวิ๋นหวาซั่งเซียนแม้จะอยากด่าคนมาก เพียงแต่พอคำนึงถึงลักษณะการโอ้อวดอย่างมีระดับของตัวเอง เขาก็ยังอดทนไว้
เขาสะบัดเสื้อโดยคิดไปเองว่าเท่มาก จากนั้นบอกว่า “ข้าคือยอดฝีมืออันดับสองของอู่ตัง อวิ๋นหวาซั่งเซียน ขณะเดียวกัน ข้าก็เป็นคนที่ต้องสังหารเจ้าในภารกิจนี้ด้วย”
“หึ!” เมื่อได้ยินอวิ๋นหวาซั่งเซียนกล้าเรียกตัวเองว่ายอดฝีมืออันดับสองของอู่ตังอย่างภาคภูมิใจ ฉางซิงอวี่ก็ทำเสียงฮึดฮัดทันที ถามอย่างเหยียดหยามว่า “ยอดฝีมืออันดับสองของอู่ตัง อย่างเจ้าคู่ควรแล้วหรือ”
“เอ๋!” ตอนนี้อวิ๋นหวาซั่งเซียนถึงได้สนใจฉางซิงอวี่ อดถามด้วยรอยยิ้มไม่ได้ว่า “นี่ไม่ใช่ศิษย์น้องฉางซิงอวี่หรอกหรือ ทำไมล่ะ แม้แต่เจ้าก็คิดจะหาเรื่องศิษย์พี่คนนี้อย่างนั้นหรือ”
ฉางซิงอวี่ใช้ดาบสองคมสามแฉกชี้อวิ๋นหวาซั่งเซียน “คนไร้ยางอาย ใครเป็นศิษย์น้องของเจ้าไม่ทราบ!”
“พอแล้ว!” เมื่อเห็นสองคนนี้ทำท่าเหมือนจะเถียงกันไม่จบไม่สิ้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ตบบ่าฉางซิงอวี่และหันไปพูดกับอีกสองคนได้ทันเวลา “ข้าว่าฝีมือของทั้งสองคงไม่ธรรมดา ไม่ทราบว่าจะบอกชื่อแซ่ได้หรือไม่ ให้ข้าได้รู้สักหน่อยว่าคู่ต่อสู้วันนี้คือเทพปราชญ์มาจากทิศใดกันแน่”
“สำนักภูเขาหิมะ ขุนเขาลำธารย่อมพานพบ!” ชายรูปร่างกำยำตอบก่อน
ส่วนสาวน้อยข้างบ้านคนนั้นก็ถือดาบทองแนวนอน พร้อมรายงานชื่ออย่างภาคภูมิใจ “สำนักวิหคทอง เซียนสาวน้อยนักกิน!”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเปิดเผยตัวตน เยี่ยเว่ยหมิงก็พยักหน้า และเปิดเผยชื่อกับสำนักของตัวเองเช่นกัน นี่ไม่ใช่ความลับอะไรเลย เหมือนกับที่เขามองเห็นตัวอักษรพิเศษบนศีรษะของอวิ๋นหวาซั่งเซียน เพียงแต่ในสายตาของอีกฝ่าย สถานการณ์ของเขาก็คงต่างกันไม่มากเช่นกัน
แต่สำนักมือปราบ ในฐานะที่เป็นสำนักลึกลับที่พิเศษแห่งหนึ่ง อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่เยี่ยเว่ยหมิงเองก็ยังไม่รู้ว่าสำนักของตัวเองมีวิทยายุทธ์อะไรให้เรียนได้บ้าง ข้อมูลที่มีไม่มีมูลค่ามากนัก แต่ในสถานการณ์ของอีกฝ่ายก็ไม่แน่แล้ว
ขณะที่ปากกำลังรายงานชื่อแซ่ของตัวเอง เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งข้อความไปในช่องทีมอย่างรวดเร็ว [น้องดาบ เจ้ารู้จักทักษะยุทธ์ของแต่ละสำนักดีมากไม่ใช่หรอกหรือ]
[ตอนนี้ข้าหาเบาะแสของพวกเขาออกมาแล้ว บอกจุดเด่นของทักษะยุทธ์ในสำนักพวกนี้มาหน่อย เน้นว่ามีอะไรต้องป้องกันเป็นพิเศษ และมีจุดไหนที่ใช้ประโยชน์ได้]
น้องดาบตอบทันทีว่า [อย่าเรียกข้าว่าน้องดาบ!]
[ได้เลยน้องดาบ!]
[ไม่มีปัญหาน้องดาบ!]
[เจ้ารีบบอกมาสิ น้องดาบ!]
[…]
น้องดาบรู้สึกว่าตัวเองไม่มีทางเถียงกับเจ้าหมอนี่ได้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ แค่ชื่อที่ธรรมดามากชื่อหนึ่งก็ยังถูกเขานำมาเรียกล้อเล่นได้ขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นเป็นมือปราบหน้าเหม็น มือปราบเละเทะ
หน้าด้านไร้ยางอาย สกปรกชั้นต่ำ เจ้าเล่ห์มากแผนการ…ทำได้สวย!
เดี๋ยวก่อนนะ เหมือนข้ากำลังเข้ามาปะปนอยู่กับของแปลกอะไรสักอย่างหรือเปล่า
อย่างไรเสีย ตอนนี้เป้าหมายที่เยี่ยเว่ยหมิงวางแผนทำร้ายไม่ใช่ตน น้องดาบก็ยังรู้สึกว่าความเจ้าเล่ห์มากแผนการของเขาไม่ได้น่ารำคาญขนาดนั้น หลังจากจัดระเบียบความคิดครู่หนึ่งก็ส่งข้อความลงในช่องทีม
[เคล็ดกระบี่ของสำนักภูเขาหิมะไม่ถือว่าสูงส่งมากนัก แต่กลับมีเอกลักษณ์ เคล็ดกระบี่มีความเรียบง่ายสง่างาม มีกระบวนท่าหลากหลายเหมือนสลับฉากดอกเหมย เมืองหิมะ พายุทราย อูฐ]
[ส่วนวิชาดาบวิหคทองก็เป็นดาวข่มของเคล็ดกระบี่สำนักภูเขาหิมะ ระดับของความข่มก็ดูได้จากผลของ ‘เคล็ดกระบี่ดรุณีหยก’ ที่มีต่อ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’]
[อาจเป็นเพราะผู้อาวุโสที่คิดค้น ‘เคล็ดกระบี่ภูเขาหิมะ’ กับ ‘วิชาดาบวิหคทอง’ ไม่ได้ฝีมือสูงเท่าปรมาจารย์ของสำนักฉวนเจินกับสำนักสุสานโบราณ ทักษะยุทธ์สองวิชานี้จึงไม่ได้มีกำลังภายในความสอดคล้องกันที่กำหนดเป็นพิเศษ ในด้านประสิทธิภาพก็สู้ไม่ได้แน่นอน]
[แต่ก็เพราะเหตุนี้เอง ทักษะยุทธ์สองวิชานี้จึงใช้กำลังภายในอะไรก็ได้ทั้งนั้น เวลาใช้ร่วมกันก็ไม่มีเงื่อนไขจำกัดว่าต้องเป็นคู่รักกันถึงจะแสดงประสิทธิภาพออกมาได้]
[ดูจากระดับความรู้ใจกันตอนสองคนนี้ใช้ทักษะยุทธ์ด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าสมบูรณ์แบบกว่า ‘กระบี่คู่ผนึกรวม’ ของเจ้ากับสะพานสวรรค์น้อยตั้งเยอะ แต่ถ้าจะให้ข้าสู้แบบหนึ่งต่อสอง เกรงว่าต้องให้พวกเขาใช้กระบวนท่าทั้งหมดก่อน แล้วตอนที่ใช้กระบวนท่าซ้ำอีกครั้งถึงจะมีโอกาสชนะ]
น้องดาบในฐานะที่เป็นกึ่งแฟนพันธุ์แท้ต้นฉบับ นางไม่ได้รู้เนื้อเรื่องที่อยู่ในต้นฉบับเดิม แต่กลับรู้จุดเด่นในทักษะยุทธ์ของสำนักต่างๆ ได้อย่างชำนาญเหมือนนับสมบัติในบ้านตัวเอง โดยเฉพาะบรรดาทักษะยุทธ์ที่มีจุดเด่นค่อนข้างชัดเจน โดยทั่วไปนางมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคืออะไร
ก็เหมือน ‘ไท้ซัวเป็นไฉน’ กับ ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ ที่เยี่ยเว่ยหมิงใช้ก่อนหน้านี้ นางมองประเดี๋ยวก็รู้แล้วว่าชื่อวิชาอะไร
ดังนั้นในบางครั้ง เมื่อเทียบความรู้ของนางกับความรู้ของอินปู้คุยแล้ว ความรู้ของนางยังมีประโยชน์มากกว่า
ตอนที่น้องดาบกำลังใช้เวลาส่งข้อความในช่องทีมเงียบๆ คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างเยี่ยเว่ยหมิงต่างคนต่างรายงานชื่อแซ่ของตัวเอง น้องดาบที่ส่งข้อความสุดท้ายเสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า [สำนักดาบโลหิต หนึ่งดาบสามเฉือน!]
เพล้ง!
ชื่อของน้องดาบเพิ่งจะถูกรายงานออกมา จู่ๆ ในมุมลับอีกแห่งของวัดร้างก็มีเสียงของใช้ถูกทำลายแตกดังมา
เยี่ยเว่ยหมิงยิ้มแห้ง “ที่แท้ก็ยังมีสหายซ่อนตัวอยู่อีก เหตุใดไม่ปรากฏตัวสักหน่อยเล่า”
ตอนนี้ เห็นผู้เล่นคนหนึ่งที่รูปร่างค่อนข้างผอมเดินออกมาจากมุมลับ ในมือถือดาบยาวโค้งแบบที่ไม่ต่างกับของน้องดาบเท่าไรนัก หลังจากเห็นทุกคนแล้ว เจ้าตัวก็ยิ้มอย่างเก้อเขินก่อน จากนั้นโบกมือทักทายน้องดาบ “ศิษย์พี่หญิง ท่านก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ”
“คนธรรมดาเดินดิน?” เมื่อเห็นผู้ชายที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ คนนี้ น้องดาบก็ยิ้มทันที “เจ้าเองก็อยากทำลายภารกิจของข้าเหมือนกันหรือ”
“เปล่านะ! ไม่ใช่แน่นอน!”
ศิษย์สำนักดาบโลหิตที่ชื่อว่าคนธรรมดาเดินดินเห็นได้ชัดว่าเคยถูกน้องดาบสั่งสอนมาก่อน พอเห็นนางก็เหมือนหนูเห็นแมว ส่ายหน้าเหมือนป๋องแป๋ง แต่สุดท้ายก็ยังรวบรวมความกล้าบอกว่า “เอ่อ คือ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ถึงอย่างไรก็เป็นการขอร้องจากสหาย ข้าเองก็ได้รับภารกิจที่เกี่ยวข้องมาเช่นกัน จะเสียสัจจะวาจาก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
“เช่นนั้นก็เตรียมโดนหักค่าประสบการณ์กับค่าประสบการณ์ของทักษะยุทธ์แล้วกัน” น้องดาบยังคงยิ้มอย่างสดใส “เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้มีเหตุผล กลับไปข้าก็จะไม่ได้สังหารเจ้าแล้ว”
คำพูดของน้องดาบบ้าระห่ำจนไร้ขอบเขตจริงๆ แม้แต่เพื่อนในทีมอย่างพวกเยี่ยเว่ยหมิงก็ยังรู้สึกว่านางทำเกินไป
ขุนเขาลำธารย่อมพานพบที่อยู่ตรงข้ามก็ยิ่งโมโหจนก้าวออกมา ตอนที่จะออกหน้าแทนสหาย กลับคาดไม่ถึงว่าคนธรรมดาเดินดินจะดึงเขาไว้กับที่ แล้วพยักหน้าบอกน้องดาบด้วยรอยยิ้มสู้ชีวิต “ขอบคุณศิษย์พี่หญิงใหญ่มากที่เข้าใจ!”
จะว่าไปแล้ว เจ้าเด็กโชคร้ายคนนี้เคยผ่านประสบการณ์อันโหดร้ายอย่างไรมากันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะกลัวน้องดาบถึงขั้นนี้
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า แล้วย้ายสายตาไปยังอวิ๋นหวาซั่งเซียนจอมอวด “หลวงจีนไว้ผมล่ะ พวกเรามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อมาหาพวกเจ้า”
“เช่นนั้นก็บังเอิญเกินไปแล้ว” อวิ๋นหวาซั่งเซียนยักไหล่ “เพราะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามีคนคิดจะทำไม่ดีกับเขา พวกเราก็เลยถือโอกาสรับภารกิจคุ้มครอง ตอนนี้เขาออกจากวัดร้างแห่งนี้ไปแล้ว หากสหายเยี่ยอยากจะทำภารกิจให้สำเร็จ พวกเราสู้กันที่นี่สักตั้งก่อน หากพวกเจ้าแพ้ ก็ค่อยไปสะกดรอยตามหาเขา”
“อ้อ?” เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วเลิกคิ้ว “ถ้ากล่าวเช่นนี้ พวกเราก็ทำได้เพียงทำใจแล้วเดินจากไป แล้วติดประกาศทั่วทั้งถนนสายเล็กสายใหญ่ในเมืองหลวง บอกทุกคนให้รู้ว่าหลวงจีนไว้ผมแท้จริงแล้วคือทูตขวาฟ่านเหยาแห่งพรรคจรัสปลอมตัวมา”
“ฮ่าๆ! เจ้าเด็กนี่ช่างน่าสนใจ!” เยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งพูดจบ พระจีนรูปหนึ่งจากแดนซีอวี้ก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าทั้งสี่แล้ว เขามองเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตามีเลศนัย “เพื่อป้องกันไม่ให้แฟนนิยายต้นฉบับเดิมทำลายเนื้อเรื่อง เรื่องแบบนั้นต่อให้เจ้าเขียนออกมาก็ไม่มีใครเชื่อ”
[หลวงจีนไว้ผม]
พระที่มีประวัติลึกลับจากแดนซีอวี้
เลเวล: 65 (บาดเจ็บสาหัส)
พลังชีวิต: 250000/250000
กำลังภายใน: 180000/180000
เมื่อเห็นเลเวลของหลวงจีนไว้ผมคนนี้ พวกเยี่ยเว่ยหมิงก็แอบตกใจพร้อมกัน
นึกไม่ถึงว่าหลวงจีนไว้ผมที่อยู่ในภารกิจระดับเจ็ดดาวจะแข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้ ต่อให้จะอยู่ในสถานะบาดเจ็บสาหัส แต่ยังมีพลังน่ากลัวถึงเลเวลหกสิบห้า
เจอบอสแบบนี้ ต่อให้ทุกคนรวมพลังกันก็ใช่ว่าจะโจมตีสังหารได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่สูญเสียสมาชิกเสมอไป มิหนำซ้ำข้างกายเขายังมีผู้เล่นฝีมือไม่ธรรมดาคอยช่วยอยู่อีกสี่คนด้วย
แน่นอน นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ผู้เล่นที่อยู่ข้างกายเจ้าหมอนี่อาจไม่ได้มีแค่สี่คน!
ใครจะไปรู้ว่าพวกเขายังมีคนอื่นดักซุ่มอยู่หรือเปล่า พวกนั้นอาจจะซ่อนตัวอยู่ที่บางจุดในวัดร้างอู๋เจียน อาจจะโผล่ออกมาโจมตีพวกเขาถึงชีวิตได้ทุกเมื่อก็ได้
เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ ถังซานไฉ่ก็ถามในช่องทีมทันที [ทำอย่างไรดี]
[เข้าไปไม่ได้] เยี่ยเว่ยหมิงตอบทันที [ข้าจะล่อหลวงจีนไว้ผมออกไป จากนั้นข้ากับสหายถังจะรับหน้าที่ถ่วงเวลาเขาไว้ ส่วนพวกเจ้าสี่คนรีบกำจัดลูกสมุน กำจัดพวกเขาให้หมด แล้วค่อยมารับมือกับบอสก็ยังไม่สาย]
[ตามความเข้าใจของข้า หลวงจีนไว้ผมคนนี้เหมือนจะออกจากวัดร้างไม่ได้นะ] ฉางซิงอวี่คัดค้าน
[ลองดูก่อนแล้วกัน]
พอพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่เปลืองน้ำลายอีก เขากวักมือหนึ่งที กระบี่แสงทองที่ถูกอุปกรณ์ภายนอกอย่างกระบี่อาญาสิทธิ์ปิดบังไว้ก็ปรากฏอยู่ในฝ่ามือของเขาแล้ว เขาชี้กระบี่ไปยังฟ่านเหยาที่อยู่ไกลๆ
ปากของเขากลับพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงของบิดาที่สั่งบุตรชาย “ไอ้หลานชาย โผล่หัวออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”