ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 311 ข่าวปลาหลีฮื้อทอง
ตอนที่ 311 ข่าวปลาหลีฮื้อทอง
ชื่องานชุมนุมกระบี่เขาหัวซานเป็นฉากสำคัญในเนื้อเรื่อง ‘ตำนานวีรบุรุษยิงอินทรี’ อินปู้คุยเขียนเน้นไว้ในกลยุทธ์ที่ให้มา
เพียงแต่ฟังจากน้ำเสียงของอวิ๋นเหมี่ยน…
“อย่าบอกนะว่างานชุมนุมกระบี่เขาหัวซานไม่ได้เป็นเพียงภารกิจเนื้อเรื่อง”
“นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว” อวิ๋นเหมี่ยนกล่าวพร้อมหันตัวไปมองทะเลหมอก “อย่างไรเสีย ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ ก็เป็นเกม ภารกิจเนื้อเรื่องทั้งหมดย่อมต้องพยายามทำให้ผู้เล่นสัมผัสถึงความหลากหลายของเกมอยู่แล้ว งานใหญ่อย่างงานชุมนุมกระบี่เขาหัวซาน มีหรือที่จะกันผู้เล่นส่วนใหญ่ไม่ให้เข้าร่วม”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นอย่างนั้นจริงๆ แค่การเดิมพันระหว่างเจ็ดประหลาดแห่งเจียงหนานกับชิวชู่จี ระบบยังทำเหตุการณ์ใหญ่ๆ อย่าง ‘ประลองยุทธ์เจ็ดสังกัด’ ขึ้นมาเลย แม้แต่งานประลองยุทธ์เลือกคู่ของมู่เนี่ยนฉือก็ยังประกาศให้รู้กันทั่ว แล้วงานใหญ่อย่างชุมนุมกระบี่เขาหัวซาน มีหรือที่จะไม่ให้พวกผู้เล่นเข้าร่วม”
พอพูดถึงตรงนี้ สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงก็มองไปบนตัวอวิ๋นเหมี่ยน “สหายอวิ๋นรู้รายละเอียดของภารกิจ ‘งานชุมนุมกระบี่เขาหัวซาน’ หรือเปล่า”
“ข้าไม่รู้” อวิ๋นเหมี่ยนส่ายหน้า “ข้าเพียงได้ยินอาจารย์ปู่เอ่ยถึง งานชุมนุมกระบี่เขาหัวซานระหว่างผู้เล่น น่าจะจัดขึ้นก่อนงานชุมนุมกระบี่เขาหัวซานครั้งที่สองของเนื้อเรื่อง ส่วนเรื่องกติกาอาจารย์ปู่ไม่ได้บอกละเอียด บอกเพียงว่ามีรางวัลเยอะมาก”
ตอนที่พูด เขาก็ชี้ไปยังภูเขาสองลูกที่อยู่ไกลๆ “ที่นั่นก็คือภูเขาเต่าและงูอันโด่งดัง ในปีนั้นอาจารย์ปู่มองเห็นลักษณะของภูเขาสองลูกนั้นไกลๆ จากตรงนี้ จึงคิดค้น ‘ค่ายกลเจินอู่เจ็ดตัดทอน’ อันน่าสะพรึงขึ้นมา”
“วันนี้ข้าเกิดความรู้สึกบางอย่าง อยากจะยืนมองภูเขาจากตรงนี้เหมือนอาจารย์ปู่เช่นกัน ดูว่าจะตระหนักรู้อะไรได้บ้างหรือเปล่า”
สัมผัสขุนเขา ตระหนักรู้ทักษะยุทธ์?
จะว่าไปแล้ว นั่นคือเรื่องของคนใหญ่คนโตในสำนักอย่างจางซานเฟิงไม่ใช่หรอกหรือ
เจ้าเป็นแค่ผู้เล่นคนหนึ่ง จะเข้าไปประสมโรงด้วยทำไม
ตอนที่ในใจกำลังสงสัย กลับเห็นอวิ๋นเหมี่ยนหันตัวมาบอกว่า “กลับนึกไม่ถึง ครั้งนี้ยังไม่ทันได้ตระหนักรู้เรื่องทักษะยุทธ์หรือกฎเต๋า กลับรู้ได้จักยอดฝีมืออย่างสหายเยี่ยแทน ก็ถือว่ามาไม่เสียเที่ยว”
เยี่ยเว่ยหมิงตอบกลับตามมารยาทสองสามประโยค ถือโอกาสกล่าวชมเพื่อผลประโยชน์ แต่จู่ๆกลับมีพิราบสื่อสารตัวหนึ่งบินมาเกาะบนไหล่เขา
เมื่อดูเนื้อหาของจดหมาย เขาก็อดยิ้มเจื่อนไม่ได้ “ได้พบกับสหายอวิ๋นวันนี้ ก็รู้สึกว่าแม้แต่ข้าเองก็ได้เพิ่มระดับความสามารถแล้ว รู้สึกเหมือนได้อยู่เหนือโลกมนุษย์เลย เพียงแต่พิราบสื่อสารตัวนี้กลับโจมตีให้ข้ากลับร่างเดิม ทำให้ข้ารู้ว่าข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น”
ประโยคนี้ของเยี่ยเว่ยหมิงไม่ใช่การชมตามมารยาทเพื่อเอาใจ
แม้ทั้งสองเพิ่งจะพบกันเป็นครั้งแรก ยังคุยกันได้ไม่กี่คำ แต่อวิ๋นเหมี่ยนทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือน NPC นักพรตเต๋ามากกว่าผู้เล่นจริงๆ
ความรู้สึกที่ได้สัมผัสเมฆบางเบาและลมเย็นสบายเหมือนอยู่เหนือโลกมนุษย์ระหว่างที่ใช้เวลากับอวิ๋นเหมี่ยนทำให้เยี่ยเว่ยหมิงผ่อนคลายมาก
เหมือนเป็นน้ำชาที่ดื่มล้างปากหลังจากกินปลาและเนื้อชิ้นใหญ่มา ชำระล้างความธรรมดาบนตัวเขาได้
“สหายเยี่ยชมเกินไปแล้ว ถ้าเจ้ามีธุระก็รีบไปจัดการเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า”
“ที่จริงข้าก็ไม่มีเรื่องด่วนอะไรเช่นกัน” เยี่ยเว่ยหมิงอธิบายอย่างไม่ตั้งใจ “เพียงแต่…ช่างเถอะ ข้ารู้สึกว่าหากพูดเรื่องธรรมดาอย่างนั้นกับสหายอวิ๋นแล้วเป็นเรื่องผิดมหันต์ แต่พอถูกรบกวนแล้ว ข้าก็ไม่มีอารมณ์มามองภูเขาชมทิวทัศน์กับสหายอวิ๋นต่อแล้วล่ะ ข้าขอตัว”
อวิ๋นเหมี่ยนพยักหน้าให้ จากนั้นส่งคำขอเป็นเพื่อน เยี่ยเว่ยหมิงเลือกกดยอมรับแล้วก็ใช้ท่าร่าง ‘ทะยานบันไดเมฆา’ วิ่งลงไปที่จุดพักม้าตรงตีนเขา
แต่ถึงอย่างไรเยี่ยเว่ยหมิงก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น เจ้าจะให้เขาดื่มน้ำชาล้างปากหลังมื้ออาหารนั้นย่อมได้ แต่ถ้าจะให้เขาดื่มน้ำชาเป็นอาหารมื้อหลัก นั่นจะเป็นการเอาชีวิตเขามากกว่า
เขาไม่คิดว่าทำแบบนี้มีอะไรไม่ดี แต่ละคนมีวิธีการดำเนินชีวิตเป็นของตัวเอง ทุกคนล้วนมีข้อดีและข้อเสียของตัวเอง เปรียบดั่งคนดื่มน้ำ เย็นร้อนย่อมรู้เอง
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนจังหวะการดำเนินชีวิตของตัวเองเพียงเพราะอิจฉาอีกฝ่ายในด้านใดด้านหนึ่ง
เพราะถ้าเจ้าดีขนาดนั้นจริงๆ เจ้าจะพบว่าอีกฝ่ายซ่อนความความทุกข์ยากเอาไว้ภายใต้ความรุ่งโรจน์สว่างไสว
……
ก่อนหน้านี้เป็นซานเย่ว์ส่งพิราบสื่อสารมา
สาวน้อยซานเย่ว์ไม่มีธุระสำคัญอะไรเป็นพิเศษ แค่บอกข่าวว่างานประมูลขายวั่นซานประกาศรายชื่อสินค้าที่จะขายในงานประมูลอีกสองวันนี้แล้ว จึงแจ้งให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้ตามหน้าที่ ประกาศิตสร้างพรรคของเขาก็ถูกจัดอยู่ในรายชื่อสินค้าประมูลปิดท้ายตามที่คาดไว้เช่นกัน
ที่จริงข่าวแบบนี้ไม่ถึงขั้นทำให้เยี่ยเว่ยหมิงเกิดความหวั่นไหวอะไร ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ปรึกษากันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
แต่หลังจากซานเย่ว์บอกข่าวนี้แล้วยังแนบรายชื่อสินค้าประมูลมาให้อีกฉบับด้วย และในบรรดาสินค้าประมูลเหล่านี้ กลับมีของแบบเดียวกับที่เยี่ยเว่ยหมิงคิดว่าตัวเองต้องหามาให้ได้!
[ปลาหลีฮื้อทอง] ปลาหลีฮื้อสีทองที่หายากในรอบร้อยปี กินแล้วไม่เพียงแค่รักษาอาการบาดเจ็บได้ดีมาก ทั้งยังมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกยุทธ์มากด้วย พลังชีวิตสูงสุด +1500
ค่าพลังชีวิตสูงสุดที่เอ่ยถึงตรงนี้ ก็ย่อมหมายถึงค่าพลังชีวิตของผู้เล่นเท่านั้น ถ้าสำหรับ NPC ก็เป็นยาเทวดาที่หายากชนิดหนึ่ง
ที่สำคัญที่สุดก็คือ นี่คือหนึ่งในวัตถุดิบยาเจ็ดอย่างที่ต้องใช้ในภารกิจสุดยอดวิชาของหวังเฟยแห่งเซี่ยตะวันตก!
ตอนที่กำลังวิ่งตะบึงลงเขา เยี่ยเว่ยหมิงก็ตอบจดหมายซานเย่ว์ไปด้วย
[เจ้ายังอยู่ในงานประมูลวั่นซานใช่ไหม]…เยี่ยเว่ยหมิง
[เปล่า ข้ากำลังฆ่ามอนสเตอร์อัปเลเวลอยู่กับสะพานสวรรค์น้อย เพิ่งได้รับจดหมายจากเสิ่นวันซานเช่นกัน ก็เลยส่งข่าวต่อให้เจ้า มีเรื่องอะไรหรือเปล่า]…ซานเย่ว์
[ไม่มีอะไร เรื่องนี้ข้าจะไปคุยกับเสิ่นวันซานโดยตรง พวกเจ้าตั้งใจอัปเลเวลกันต่อไปเถอะ]…เยี่ยเว่ยหมิง
พอตอบจดหมายเสร็จแล้ว เขาก็มาถึงจุดพักม้าของเขาอู่ตัง แล้วขึ้นรถม้าไปที่เมืองหังโจว ก่อนจะวิ่งเหินเป็นเส้นตรงไปยังงานประมูลวั่นซานท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้เล่นที่อยู่แถวนั้น
สาเหตุที่เขาไม่เดินบนถนนใหญ่แต่กระโดดข้ามหลังคาบ้านคนอื่นแทน ก็เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างด่วน ไม่ใช่เพราะเพิ่งเรียน ‘ทะยานบันไดเมฆา’ มาแล้วอดไม่ได้ที่จะโอ้อวด
ไม่ใช่แน่นอน!
สำหรับเยี่ยเว่ยหมิง เสิ่นวั่นซานบอกเขาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นหลังจากเขามาถึง แทนที่คนงานจะขัดขวางเขา กลับเชิญเขาเข้าไปพบเสิ่นวันซานในโถงจัดงานอย่างสุภาพด้วยซ้ำ ทั้งยังนำน้ำชามาวางให้ด้วย
“ใต้เท้าเยี่ยรอสักครู่ขอรับ ผู้น้อยจะไปแจ้งเถ้าแก่ให้” NPC ที่ทำหน้าที่รับแขกกล่าว ก่อนจะหันตัวเดินออกจากห้องไป ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็ยกน้ำชาขึ้นมาจิบ พบว่าครั้งนี้เป็นชาดอกมะลิ แม้คุณภาพจะไม่ดีเท่าชาเขียวเหมาเจียนครั้งก่อน แต่กลับมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ถือว่ามีรสชาติที่ไม่เหมือนใครเช่นกัน
ทันใดนั้น ม่านประตูทางเข้าโถงด้านหลังถูกเปิดออก สาวน้อยชุดสีชมพูคนหนึ่งเดินเยื้องย่างออกมา พอเห็นเยี่ยเว่ยหมิงนางก็พยักหน้ายิ้ม นั่งประจำตำแหน่งเจ้าบ้านเหมือนที่เสิ่นวันซานนั่งครั้งก่อน แล้วกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ท่านคงเป็นใต้เท้าเยี่ยสินะ ผู้น้อยเสิ่นหรงทักทายเจ้าค่ะ”
หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าเสิ่นหรงหน้าตางดงามมาก คล้ายกับหวังอวี่เยียนที่เจอที่หมู่บ้านชื่อสยาก่อนหน้านี้อยู่หลายส่วน อีกทั้งผู้หญิงคนนี้ยังมีลักษณะท่าทางสง่างามและใจกว้างด้วย หากเทียบกับหวังอวี่เยียน นางมีสง่าราศีมากกว่าหนึ่งระดับ
กอปรกับแซ่เสิ่นพอดี อย่าบอกนะว่า?
“ใต้เท้าเยี่ยเดาไม่ผิดหรอก ข้าคือบุตรสาวของเสิ่นวั่นซาน” เสิ่นหรงเอ่ยขัดการคาดเดาของเยี่ยเว่ยหมิงเสียเลย จากนั้นถามว่า “ไม่ทราบว่าใต้เท้าเยี่ยมาครั้งนี้ มาเพราะเรื่องงานประมูลขายในอีกสองวันข้างหน้าหรือเปล่า”
“ใช่แล้ว!” ในเมื่อสาวน้อยตรงไปตรงมาขนาดนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็เข้าประเด็นหลักแล้วเช่นกัน “ไม่ปิดบังความจริง ในรายการสินค้าประมูลครั้งนี้ ข้าสนใจของชิ้นหนึ่งมาก อยากจะขอให้คุณหนูเสิ่นถามท่านพ่อให้สักหน่อย ดูว่าจะทำเรื่องกู้เงินให้ข้าได้หรือไหม ให้ข้ายืมเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเข้าร่วมการประมูลซื้อ แล้วค่อยหักออกจากเงินที่ขายประกาศิตสร้างพรรคได้ แบบนี้เป็นอย่างไร”
“เรื่องแบบนี้ไม่ต้องคุยกับพ่อข้าก็ได้” เสิ่นหรงยิ้ม “ที่จริงบัตรแขกผู้มีเกียรติที่ท่านพ่อข้าให้ใต้เท้าเยี่ยไว้ครั้งก่อน ในนั้นรวมเงินสินเชื่อไว้หนึ่งหมื่นเหรียญทองแล้ว คิดว่าในงานประมูลขายครั้งนี้ นอกจากประกาศิตสร้างพรรคของใต้เท้าเยี่ยแล้ว ซื้อของอย่างอื่นด้วยก็ยังไม่น่าจะเกินวงเงินนี้”
หนึ่งหมื่นเหรียญทองพอใช้ด้วยหรือ
ตามหลักแล้วก็น่าจะพอ
ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหนึ่งในหมื่น[1]!
ในเมื่ออยู่ในสถานการณ์พิเศษที่ไอเทมภารกิจขัดกัน แค่พลังชีวิตสูงสุดหนึ่งพันห้าร้อยแต้มนั่นอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้เล่นมากมายแห่กันไปซื้อปลาหลีฮื้อทองแล้ว
แม้ค่าสเตตัสนี้จะเทียบได้กับอุปกรณ์ทองคำชิ้นหนึ่งเท่านั้น
แต่หลังจากใช้แล้วก็จะเพิ่มไปบนตัวถาวร เมื่อเทียบกับอุปกรณ์แล้วถือว่าสูงกว่าหนึ่งระดับ!
แต่ใครจะไปรู้ อาจจะมีเศรษฐีบ้านนอกเงินเยอะมาทำให้ราคาประมูลขายปลาตัวนี้ผันผวนก็ได้
แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่คิดจะต่อรองราคากับเสิ่นหรงอีก เพราะเมื่อครู่นี้เขาเพิ่งนึกออกว่ามีอีกเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน
หลังจากบอกลาเสิ่นหรงแล้วออกจากร้านประมูลวั่นซานมาแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งพิราบสื่อสารให้น้องดาบทันที
[ร้านประมูลวั่นซานเมืองหังโจว อีกสองวันจะมีการเข้าร่วมประมูลซื้อปลาหลีฮื้อทอง ถึงตอนนั้นเจ้าเจียดเวลามาหาข้าสักครั้ง พวกเราจะไปประมูลซื้อมันด้วยกัน ค่าใช้จ่ายออกคนละครึ่ง]…เยี่ยเว่ยหมิง
ในเมื่อเป็นภารกิจของทั้งสองคน มีสิทธิ์อะไรมาให้ข้าออกเงินคนเดียว
อีกทั้งน้องดาบก็ถือเป็นเศรษฐีนีน้อยๆ คนหนึ่ง ตัวเองมีวงเงินสินเชื่อหนึ่งหมื่น ถ้ารวมกับเงินของนาง ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะพอสำหรับซื้อปลาตัวนั้นแล้ว
ก่อนหน้านี้เยี่ยเว่ยหมิงคิดเพียงว่าจะกุมทรัพยากรไว้ในมือเยอะๆ พอเพิ่งเปลี่ยนความคิดถึงได้พบว่าไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเลย!
ไม่ใช่แค่ปลาหลีฮื้อทองเท่านั้น ของอย่างอื่นก็ต้องแบ่งให้เท่ากันด้วย รับผิดชอบคนละสองสามอย่าง จะให้เด็กนั่นมาชุบมือเปิบไม่ได้
ใช่แล้ว เป็นอย่างนี้แหละ!
หลังจากส่งข้อความไปพักหนึ่ง ก็ได้รับข้อความตอบกลับจากน้องดาบ
[อีกสองวันเจอกัน]…หนึ่งดาบสามเฉือน
พอเห็นน้องดาบท่าทีใจกว้างขนาดนี้ ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงเผยรอยยิ้มพึงพอใจ
ตอนที่เดินไปยังจุดพักม้า เขากลับบ่นอยางไม่ค่อยพอใจ “ปลาหลีฮื้อทอง ศพของตู๋กูฉิวไป้ ข้ายังไม่ทันขายประกาศิตสร้างพรรคก็จ่ายเงินไปเยอะขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเหลืออยู่เท่าไร”
“เฮ้อ…ข้าคงมีชะตากรรมยากจนจริงๆ!”
ตอนที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็มาถึงจุดพักม้าแล้ว เขายัดตำลึงเงินใส่มือคนขับม้าพร้อมบอกว่า “ไปซูโจว”
ถ้าอยากได้โลงศพที่ดีที่สุดของร้านขายโลงศพฉี่หลิง ก็ต้องสั่งจองล่วงหน้าสามวัน ต้องไปวางเงินมัดจำก่อน หลังจบงานประมูลขายประกาศิตสร้างพรรคถึงจะได้รับสินค้าทันที ไม่ถึงขั้นถ่วงให้งานสำคัญล่าช้า
หลังจากวางเงินมัดจำหนึ่งพันเหรียญทอง เยี่ยเว่ยหมิงก็ไปเก็บตัวตีมอนสเตอร์แถวๆ นั้นวันหนึ่ง จนกระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ถึงได้มาเจอกับซานเย่ว์และน้องดาบ ก่อนจะไปที่ร้านประมูลวั่นซานด้วยกัน
การประมูลขายประกาศิตสร้างพรรคแผ่นแรก และการแย่งซื้อปลาหลีฮื้อทอง กำลังจะเกิดขึ้นวันนี้!
[1] ไม่กลัวหนึ่งหมื่น แต่กลัวหนึ่งในหมื่น 不怕一万,就怕万一 หมายถึง ไม่กลัวสิ่งที่คาดการณ์ไว้ แต่กลัวสิ่งที่ไม่คาดคิด