ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 353 ตายยกรัง
ตอนที่ 353 ตายยกรัง
ปังๆๆ ตอนนี้พวกทหารแคว้นจินเริ่มทุบประตูห้องแล้ว แต่อินปู้คุยกลับเหมือนกำลังติดลม เพียงก้าวไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อหลบให้พ้นระยะเส้นตรงที่พลธนูข้างล่างจะยิงถึงแล้วก็ร้องเพลงต่อไป “นิ้วชี้เหมือนพลุสองแท่ง ชี้ไปบนดาวที่เปล่งประกาย…”
ตอนนี้เอง ในช่องทีมก็มีเสียงของเยี่ยเว่ยหมิงดังขึ้น [ทุกคนเตรียมตัวให้ดี จุดไฟ ลงมือ! ปู้คุย เจ้าเองก็อย่าลำพองใจ เตรียมถอนตัว!]
หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงออกคำสั่ง จุดที่ถูกน้ำมันสาดรอบๆ ตำหนักบรรทมของหวันเหยียนหงเลี่ยก็ติดไฟขึ้นมาในชั่วพริบตา แล้วสหายร่วมทีมสี่คนที่อยู่รอบๆ ก็นำน้ำมันที่ ‘ขอยืม’ จากโกดังก่อนหน้านี้มาทุ่มใส่ศีรษะพวกทหารแคว้นจินที่ตรงไปยังห้องนอน
การโจมตีนี้สร้างความเสียหายไม่เยอะมาก แต่พอทุ่มลงไป ถังไม้เหล่านั้นก็แตกทันที ทำให้น้ำมันสาดกระจายไปทั่วทุกที่
จากนั้น ทั้งชั้นหนึ่งของตำหนักบรรทมหวันเหยียนหงเลี่ยก็กลายเป็นแดนชำระทะเลเพลิง ส่วนเยี่ยเว่ยหมิง สะพานสวรรค์ น้องดาบและเซียวเหยาถอนใจที่เตรียมตัวไว้แล้วก็ต่างคนต่างใช้ท่าไม้ตาย ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้เสาที่ค้ำตึกสูงหลังนี้ไว้หักโค่นลงสี่ต้นจากทั้งหมดห้าต้น เหลือเพียงเสาตรงกลางต้นเดียว แล้วต่างคนก็ต่างทำลายหน้าต่างและกำแพงใกล้ตัว สังหารพลธนูจำนวนกว่าหนึ่งร้อยที่มีสีหน้างุนงงอยู่ข้างนอก
พลธนูถูกโจมตีระยะประชิด แค่คิดก็รู้แล้วว่าจุดจบเป็นอย่างไร
เพียงชั่วพบหน้ากัน พลธนูเหล่านี้ก็ถูกสี่ผู้เล่นสังหารจนยับเยิน
ส่วนอินปู้คุยบนชั้นสามก็ฉวยโอกาสนี้กระโดดออกมาทางหน้าต่าง อาศัยจุดส่งแรงตรงหลังคาของชั้นสองและชั้นหนึ่ง ทำให้ถึงพื้นได้อย่างสบาย
หลังจากห้าคนนี้รวมกำลังทหารไว้ยังจุดเดียวแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ต่อสู้นาน ไม่สนใจศัตรูกลุ่มใหม่ที่ระบบรีเฟรชออกมาเลย หลังจากสิ้นเสียงคำสั่งของเยี่ยเว่ยหมิง พวกเขาก็พุ่งออกไปทางประตูด้านหลังของจวนท่านอ๋องซึ่งเป็นทางที่พวกเขาเข้ามาก่อนหน้านี้พร้อมกัน
ตอนนี้ก่อเรื่องวุ่นวายพอแล้ว ถึงเวลาถอนกำลังแล้ว
ถ้ามัวต่อสู้นานเพราะโลภรางวัล ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าตัวเองจะติดร่างแหไปด้วย ถึงตอนนั้นถ้าตายยกทีม ค่าผลงานของภารกิจเป็นศูนย์ ก็ไม่รู้จะไปร้องไห้ตรงไหนแล้วจริงๆ
ทว่าไม่ทันรอให้พวกเขาวิ่งไปไกล ข้างหลังก็มีเสียงดังโครม
ไม่ต้องถามก็รู้แล้ว หลังจากเสาตำหนักบรรทมของหวันเหยียนหงเลี่ยหักไปสี่ต้น เสาที่เหลืออีกต้นเดียวก็ค้ำตึกลำบาก ประกอบกับไฟไหม้ชั้นหนึ่งและชั้นสอง ชั้นสามรับน้ำหนักเยอะ ในที่สุดตำหนักก็ถล่มลงมาแล้ว!
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เกิดเสียงดังโครม บนตัวของทั้งห้าก็มีแสงสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการอัปเลเวลสว่างวาบขึ้นมา
พวกเขาสบตากันแวบหนึ่งถึงได้พุ่งตัวออกจากจวนท่านอ๋องจ้าวอย่างอิ่มเอมใจ จบการเดินทางของดันเจี้ยนนี้อย่างเป็นทางการ
[ประกาศระบบ: ผู้เล่นสำนักมือปราบ เยี่ยเว่ยหมิง ผู้เล่นสำนักดาบโลหิต หนึ่งดาบสามเฉือน ผู้เล่นสำนักสุสานโบราณ สะพานสวรรค์คริสตัล ผู้เล่นพรรคกระยาจก เซียวเหยาถอนใจ ผู้เล่นสำนักอู่ตัง อินปู้คุย ผ่านด่านแผนที่พิเศษ ‘จวนท่านอ๋องจ้าว’ สำเร็จ หลังจากนี้จวนท่านอ๋องจ้าวจะกลายเป็นดันเจี้ยนใหม่สำหรับให้ผู้เล่นท้าสู้ ผู้เล่นเลเวลสี่สิบถึงห้าสิบจะเข้าดันเจี้ยนนี้ได้ผ่านประตูหลังของจวนท่านอ๋องจ้าวที่เมืองเทียนจิน]
[ประกาศระบบ: สำนักมือปราบเทพ…]
……
ท่ามกลางเสียงประกาศระบบต่อเนื่องสามรอบ ระบบก็เริ่มคำนวณรางวัลผ่านด่านให้พวกเยี่ยเว่ยหมิงแล้วเช่นกัน
หลังจากผ่านการคำนวณอันซับซ้อน (เป็นตัวเลขกลุ่มหนึ่งที่วิ่งผ่านหน้าจออย่างรวดเร็วซึ่งไม่ว่าใครก็มองเห็นไม่ชัดเจน) น้องดาบที่รับหน้าที่วางเพลิงกับอินปู้คุยที่รับหน้าที่ร้องเพลงล่อศัตรูก็ได้ผลตอบแทนมากกว่าเยี่ยเว่ยหมิงที่ออกแรงโจมตี BOSS เยอะที่สุด ทั้งสองต่างก็ได้ค่าประสบการณ์หนึ่งล้านกว่าแต้มและค่าตบะสามแสนกว่าแต้ม เยี่ยเว่ยหมิงได้น้อยกว่านั้นนิดหน่อย แต่ก็ยังดีที่ได้ค่าประสบการณ์เก้าแสนแต้มและได้ค่าตบะสองแสนแปดหมื่นแต้ม
แต่เขาก็ไม่ได้นึกเสียใจทีหลัง เพราะตั้งแต่ต่อสู้ในแผนที่พิเศษนี้มา เขาคือคนที่ได้ค่าวีรบุรุษเยอะที่สุด!
ส่วนน้องดาบที่รับหน้าที่วางเพลิงทุกขั้นตอน ในการต่อสู้ที่ชอบธรรมครั้งนี้ ค่าวีรบุรุษของนางหายไปเกินครึ่งแล้ว…
อินปู้คุยที่เลเวลต่ำสุดในบรรดาพวกเขา บนตัวมีแสงสีขาวแสดงถึงการอัปเลเวลเป็นครั้งที่สาม เจ้าหมอนี่ดีใจจนพูดไม่หยุด “เป็นอย่างที่คาดไว้! อยู่กับสหายเยี่ยได้กินแต่ของแซ่บ!”
เยี่ยเว่ยหมิงทุบกำปั้นที่หน้าอกพร้อมด่าปนเสียงหัวเราะว่า “เลิกพูดเหลวไหล ฝั่งพวกเราถ่วงเวลาทหารที่จวนท่านอ๋องได้เต็มที่ที่สุดแล้ว ตอนนี้ภารกิจเสร็จสิ้น ควรกลับไปเจอพวกเขาที่โรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลแล้ว”
“เรื่องนั้น” ตอนนี้สะพานสวรรค์น้อยกลับถามอย่างไม่แน่ใจ “ตอนนี้มีอันตรายดักอยู่ทั่วเมืองเทียนจิน เจ้าแน่ใจนะว่าพวกเขาจะรอพวกเราอยู่ที่โรงเตี๊ยมเย่ว์ไหล”
“ต้องไปที่นั่นอยู่แล้ว!” เยี่ยเว่ยหมิงนำห่อยาออกมาหนึ่งห่อ “ยาถอนพิษที่ต้องให้หวังชู่อียังอยู่ในมือข้าอยู่เลย พวกเขาจะไปไกลกว่านี้ได้อย่างไร รอให้รายงานผลภารกิจเสร็จแล้ว พวกเราค่อยหาที่นั่งลงคุยกัน ช่วยกันจัดการปัญหาเรื่องการแบ่งของรางวัลก็ได้ ถ้าใครไม่พอใจของที่ระบบแบ่งมาให้ ก็ค่อยแลกกันเองภายในทีม”
พวกเพื่อนๆ ในทีมเอาแต่คิดถึงเมนูงานกินเลี้ยงงูของเขา พอได้ยินแบบนี้ก็ไม่มีความเห็นแย้งใดๆ
ระหว่างที่เดิน เยี่ยเว่ยหมิงก็กวาดสายตามองตำราลับสองเล่มในกระเป๋า แน่นอนว่ามันคือของที่ดรอปได้จาก BOSS ใหญ่อย่างเหมยเชาเฟิงกับโอวหยางเค่อ แค่คิดก็รู้ถึงมูลค่าของมันแล้ว
[ชั่วอึดใจหมื่นลี้ (ระดับสูง) วิชาตัวเบาระดับสูงที่ถ่ายทอดจากเขาอูฐขาว]
[เงื่อนไขการฝึก
กำลังภายในสูงสุด: 1000
แปดก้าวไล่ทันคางคก: เลเวล 10!]
ทันทีที่เห็นตำราลับเล่มนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็นึกถึง ‘เคล็ดวิชาจักรวาล’ ก่อนหน้านี้ทันที
ทำไมเงื่อนไขการฝึกของ ‘ชั่วอึดใจหมื่นลี้’ ถึงเหมือนกับเงื่อนไขการฝึกของ ‘เคล็ดวิชาจักรวาล’ ขนาดนี้
แต่ปัญหาก็คือ วิชาตัวเบาแขนงนี้ของเขาอูฐขาวจะไปเกี่ยวข้องกับ ‘แปดก้าวไล่ทันคางคก’ ได้อย่างไร
หลังจากฝึกฝนจน ‘แปดก้าวไล่ทันคางคก’ ถึงระดับสมบูรณ์อย่างยากลำบาก ก็จะไล่ตาม ‘คางคก’ ตัวนี้ทัน จากนั้นก็ฝึกวิชาตัวเบาของคางคกโดยเฉพาะ?
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เยี่ยเว่ยหมิงที่เคยลำบากเพราะวิชาตัวเบาที่ไม่ถูกใจมาก่อนกลับไม่ล้มเลิกความคิดที่จะอัปเกรดวิชาตัวเบา ‘ชั่วอึดใจหมื่นลี้’ เขาต้องเก็บไว้ฝึกเองแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนเห็นโอวหยางเค่อใช้วิชาตัวเบาแขนงนี้ เขาก็รู้สึกว่าหล่อมากไม่ใช่หรอกหรือ
ส่วนเคล็ดวิชาที่ดรอปได้จากเหมยเชาเฟิง เยี่ยเว่ยหมิงไม่คิดจะเก็บไว้ฝึกเอง แต่เตรียมจะใช้มันเพื่อขุดศักยภาพแฝงของน้องดาบ ดูว่าบนตัวนางยังมีของดีมีค่าอะไรอีก
ถ้าถามว่าทำไมเยี่ยเว่ยหมิงถึงมั่นใจในตัวเองขนาดนี้
ก็เพราะ…
[เศษวิชากรงเล็บกระดูกขาวเก้าอิม (เล่มท้าย) (ระดับสูง)]
[เดิมทีเหมยเชาเฟิงคิดจะแบ่ง ‘วิชากรงเล็บกระดูกขาวเก้าอิม’ เป็นสองส่วน ถ่ายทอดให้หยางคังผู้เป็นลูกศิษย์สองครั้ง ก่อนหน้านี้ถ่ายทอดเล่มต้นไปแล้ว นี่คือเล่มท้าย เงื่อนไขการฝึก: …]
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องยุ่งยากที่เหมยเชาเฟิงแบ่ง ‘วิชากรงเล็บกระดูกขาวเก้าอิม’ เป็นสองส่วน แค่เพราะน้องดาบเคยฝึกเล่มต้นมาก่อน เขาก็มีเหตุผลที่จะเชื่อแล้วว่าน้องดาบจะต้องเสียสละของล้ำค่าบางอย่างแน่นอน ยอมขาดทุนนิดหน่อยก็ไม่เป็นอะไร
หึหึ หึหึ…