ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 378 'คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร' เวอร์ชันอัปเกรด
ตอนที่ 378 ‘คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร’ เวอร์ชันอัปเกรด
ในหัวนึกย้อนถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เคยอ่านใน ‘คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร’ อย่างรวดเร็ว แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังไม่เจอบันทึกที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ในภาพบนปกหนังสือ
ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่อยู่ในภาพเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษปราบมาร หรือเป็นตำนานมารร้ายสังหารสัตว์มงคลกันแน่
หรือไม่ก็เป็นแบบปกหนังสือยุคเริ่มแรกที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องราวของ ‘คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร’ เลย
ด้วยความสงสัย เยี่ยเว่ยหมิงดูข้อมูลค่าสเตตัสของ ‘คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร’ หลังจากเปลี่ยนแปลงแล้วอีกครั้ง พออ่านแล้วเขากลับตะลึงงั้นอยู่ตรงนั้น
[คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร: ตำราโบราณที่มีมาก่อนสมัยราชวงศ์ฉิน ตัวหนังสือลึกซึ้งเข้าใจยาก อ่านออกเสียงไม่คล่องปาก ในนั้นเหมือนแฝงหลักการวิชาหมัดที่ล้ำลึกบางอย่างเอาไว้ เมื่อพกคัมภีร์นี้ติดตัว ก็จะทำให้ประสิทธิภาพของวิชาหมัดฝ่ามือเพิ่มขึ้นเยอะมาก เลเวลวิทยายุทธ์ประเภทหมัดฝ่ามือ +1!]
เก็บหนังสือเล่มเดียวเข้ากระเป๋า ไม่น่าเชื่อว่าจะได้โบนัสค่าสเตตัสด้วย?
ทั้งยังมีคุณสมบัติเพิ่มเลเวลทักษะยุทธ์ประเภทหมัดฝ่ามืออีก!
นี่มันนิยายแฟนตาซีอะไรกันแน่
ตอนนี้กลับได้ยินเหมียวฟู่บอกอีกว่า ” ‘คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร’ เล่มนี้เป็นน้ำใจเล็กน้อยที่พวกเราตอบแทนบุญคุณของอมยุทธ์น้อยเยี่ย”
“พวกเราไปแล้วนะ” หวังเซิงเกล่าว
พอพูดจบ วิญญาณของสาวน้อยสองตนก็กลายเป็นจุดแสงแสงสีเขียวสองกลุ่ม จากนั้นสลายหายไปตามสายลม วิธีการออกจากฉากแบบนี้ เมื่อเทียบกับโฉวป้าและเฟิ่งเทียนหนาน ถือว่าดีกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไร ราวกับว่าได้ทำความปรารถนาสำเร็จแล้วจริงๆ ไปสู่สุคติแล้ว
ขณะเดียวกันนี้เอง เสียงประกาศของระบบก็ดังขึ้นข้างหูเยี่ยเว่ยหมิงอีก
[ติ๊ง! คุณทำภารกิจกิจกรรมคนผียังไม่สิ้นวาสนาสำเร็จ ทำให้ความปรารถนาที่จะตอบแทนบุญคุณของ ‘เหมียวฟู่ หวังเซิง’ เป็นจริง ได้รับรางวัลภารกิจ: ค่าวีรบุรุษ 500 แต้ม!]
กระทั่งตอนนี้ ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็เข้าใจแล้วว่าที่แท้การตอบแทนบุญคุณที่น้องสาวสองคนพูดถึง ไม่ใช่ให้เยี่ยเว่ยหมิงไปช่วยพวกนางตอบแทนบุญคุณใคร แต่ให้พวกนางได้ตอบแทนเยี่ยเว่ยหมิงต่างหาก!
ตอนนี้มีของดีที่ช่วยเพิ่มเลเวลวิชาหมัดวางอยู่ในกระเป๋าแล้ว ทั้งยังได้ค่าวีรบุรุษห้าร้อยแต้มเต็มๆ คาดว่าต่อให้ฆ่า BOSS ร่างมารตายสักคน ก็อาจไม่ได้ผลตอบแทนดีกว่านี้ก็ได้
เป็นอย่างที่คาดไว้ คนดีได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน เกิดเป็นคนต้องทำความดีสะสมไว้เยอะๆ
พอเก็บ ‘คัมภีร์ขุนเขามหาสมุทร’ เวอร์ชันอัปเกรดแล้ว ทั้งสี่คนก็มุ่งตรงไปยังร้านค้าอุปกรณ์
ในบรรดาอุปกรณ์ระดับทองคำเหมือนกัน อุปกรณ์สองชิ้นที่ซานเย่ว์บอกถือว่ามีค่าสเตตัสธรรมดา แย่กว่าหนึ่งระดับเมื่อเทียบกับกระบี่มังกรคำรามและกระบี่จินสยาของสะพานสวรรค์น้อย หลังจากได้มาแล้วทำได้เพียงพกติดตัวไว้เตรียมใช้งานเท่านั้น
ถ้าไม่ต้องต่อสู้กับสัตว์มาร แน่นอนว่าใช้งานกระบี่มังกรคำรามกับกระบี่จินสยาจะถนัดมือกว่า
เมื่อมีกระบี่สองเล่มนี้เตรียมไว้แล้ว ไพ่ลับที่สี่คนมีไว้รับมือกับสัตว์มารก็เพิ่มมาอีกสอง ความมั่นใจย่อมมากขึ้นกว่าเดิม
จากนั้นพวกเขาก็ต่างคนต่างใช้ท่าร่าง บุกฝ่าไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ของเมืองหลวงเปี้ยนจิง เน้นเจอผีได้เร็ว
ทว่าบางครั้ง ยิ่งเจ้าเฝ้าคอยอะไร เจ้ากลับยิ่งไม่เจอสิ่งนั้น เหมือนกับเวลาที่ต้องการหาของบางอย่าง ไม่ว่าอย่างไรก็หาไม่เจอเสียที แต่พอถึงเวลาที่เจ้าไม่ตั้งใจหา ของสิ่งนั้นกลับมาโผล่อยู่ตรงหน้าเจ้าเองตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
การเจอผีหลายครั้งก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะตอนนี้เริ่มตั้งใจหาผีเอง ผ่านไปนานแล้วกลับยังหาไม่เจอสักตน
เดินวนตรอกซอกซอยทั้งเล็กทั้งใหญ่ของเมืองหลวงแล้วรอบหนึ่ง เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็อดบ่นไม่ได้ว่า “อย่าบอกนะว่าการเจอผีก็มีเวลาจำกัดเหมือนกัน หลังจากกำจัดผีหรือช่วยผีทำตามปรารถนาสำเร็จหนึ่งตน ต้องให้เวลาผ่านไปสักระยะถึงจะเจอผีตนใหม่ได้”
“ข้ารู้สึกว่าฮวงจุ้ยอาจมีผลมากกว่านะ” ตอนนี้ฉางซิงอวี่หยุดเดินแล้วเช่นกัน วิเคราะห์อยู่ข้างๆ ว่า “เมืองหลวงเปี้ยนจิงคือแหล่งรวมเทือกเขาเหมือนเส้นชีพจรมังกร โอกาสที่ผีจะปรากฏตัวก็ต้องน้อยกว่าอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่นเขาอู่ตัง ในรัศมีห้าร้อยเมตรใกล้วิหารเจินอู่ไม่ปรากฏผีสักตน”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วงง ซักไซ้ต่อโดยสัญชาตญาณ “เจ้าไม่ได้อยู่ที่เขาอู่ตังเสียหน่อย ข้าไม่เห็นเจ้าใช้พิราบสื่อสารส่งจดหมายด้วย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่มีผี”
ฉางซิงอวี่ยักไหล่ “ตอนนี้ในช่องของสำนักกำลังคุยกันคึกคักมาก ข้าก็ไม่ใช่คนโง่ มีหรือที่จะไม่รู้”
ในเกม ‘วีรบุรุษนิรันดร์กาล’ ผู้เล่นคนไหนที่เข้าสำนักจะส่งข่าวของสำนักได้ เพียงแต่ทุกข้อความจะถูกระบบคิดค่าใช้จ่ายสิบเหรียญทอง
เมื่อเข้าเกมมาช่วงแรก ตัวเลขนี้แม้จะไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่ตอนนี้เกมก็เปิดเซิร์ฟมาเกินครึ่งปีแล้ว ในมือพวกผู้เล่นพอจะมีทรัพย์สมบัติอยู่บ้าง สำหรับผู้เล่นทั่วไปในปัจจุบัน สิบเหรียญทองแม้จะไม่ถึงขั้นไร้ค่าจนไม่ชายตามอง แต่สำหรับผู้เล่นบางส่วนที่ฐานะไม่ดี นี่ถือเป็นราคาอาหารหนึ่งมื้อได้เลย
แต่บางครั้งถ้าจะส่งข้อความระบายอารมณ์ในสำนัก เงินจำนวนเท่านี้ก็เล็กน้อยมาก
แน่นอน ที่อธิบายมาข้างต้นไม่นับรวมสำนักมือปราบเทพ
เยี่ยเว่ยหมิงในฐานะยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสำนักมือปราบเทพ หลังจากได้ยินฉางซิงอวี่พูดแบบนี้ก็ได้แต่แสดงความจนใจ “ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าคงลืมไปแล้วว่ายังมีฟังก์ชันห้องสนทนาของสำนักอยู่”
แต่ถ้าจะบอกว่าแถววิหารเจินอู่ของเขาอู่ตังไม่มีผีโผล่มาก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นภูเขาเซียน เขาอู่ตังมีรูปปั้นของเทพเจ้าเจินอู่เฝ้าอยู่ ทั้งยังมีเทพเซียนตัวเป็นๆ เลเวลสองร้อยอย่างจางซานเฟิงอยู่ในวิหารใหญ่ ควบคุมโชคชะตาบางพื้นที่ได้ก็ไม่แปลก
พอเป็นแบบนี้ ก็เหมือนว่าบริเวณใกล้ๆ สำนักใหญ่กับเมืองหลวงล้วนไม่ใช่สถานที่สำหรับเจอผี หรือควรไปเดินเล่นแถวๆ ถิ่นธุรกันดารที่แม้แต่นกก็ยังไม่อุจจาระใส่?
ตอนที่ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาในใจ เยี่ยเว่ยหมิงก็นำแผนที่ระบบขึ้นมาตรวจดูสถานที่ที่ตัวเองเคยไปแล้ว
บางทีหมู่บ้านนั้นอาจเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว?
“พี่ใหญ่เยี่ย” ตอนนี้เอง จู่ๆ สะพานสวรรค์น้อยก็พูดขึ้นว่า “ข้าเพิ่งเห็นศิษย์พี่ศิษย์น้องหลายคนในสำนักคุยกันว่าในเขตอำนาจของสำนักสุสานโบราณมีโอกาสเจอผีเยอะมาก นอกเสียจากผู้เล่นที่รับภารกิจเกี่ยวกับผีมาแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าเดินอยู่ในสำนักไม่ถึงร้อยเมตรก็จะเจอผีแน่นอน”
ใช่แล้ว!
พอได้ยินสะพานสวรรค์น้อยพูดแบบนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็ตบหน้าผากตัวเองอย่างตื่นเต้น “ข้าบอกแล้วไง เจอผีในสุสานโบราณถือเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว โชคดีที่สะพานสวรรค์น้อยเตือนไว้ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็อาจหลับหูหลับตาเดินอยู่อีกนาน”
“ตีนเขาจงหนาน สุสานคนเป็น ช่วยผีเพื่อความสุข เริ่มต้นที่ข้า!”
เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งเยี่ยเว่ยหมิง เพื่อนในทีมสี่คนก็ใช้ท่าร่างวิ่งไปที่จุดพักม้าทันที หลังจากใช้จุดพักม้าส่งตัวไปที่ตีนเขาจงหนาน เยี่ยเว่ยหมิงก็นำทุกคนไปที่สุสานโบราณ ระหว่างทางส่งข้อความในช่องทีมว่า [ซานเย่ว์ สหายฉาง พวกเจ้าสองคนเคยไปสุสานโบราณแล้วใช่ไหม]
[ข้าเคยไปมาตั้งนานแล้ว] ซานเย่ว์ขยิบตาให้คนแรก แล้วบอกอย่างภาคภูมิใจว่า [อย่าลืมนะว่าข้าเป็นคนแนะนำสะพานสวรรค์น้อยให้พวกเจ้ารู้จัก ก่อนที่พวกเจ้าจะรู้จักสะพานสวรรค์น้อย ข้าเคยได้รับคำเชิญจากนางให้ไปเล่นที่สุสานโบราณมาแล้วด้วย]
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วพยักหน้า จากนั้นย้ายสายตาไปที่ฉางซิงอวี่ที่อยู่ข้างกัน
อีกฝ่ายส่ายหน้างงๆ เห็นได้ชัดว่าสงสัยมากว่าทำไมจู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
จากนั้นเขาก็ถูกเยี่ยเว่ยหมิงเตะออกจากทีม
ฉางซิงอวี่ขมวดคิ้ว พร้อมถามอย่างไม่พอใจ “สหายเยี่ย หมายความว่าอย่างไร”
เยี่ยเว่ยหมิงหยุดเดินแล้วหันตัวมาพูดกับฉางซิงอวี่ “ถึงอย่างไรพวกเราก็มาจับผีที่สุสานโบราณ มีเรื่องสำคัญต้องรีบทำ ข้าไม่อยากประลองฝีมือกับหนึ่งในบรรดาเจ็ดศิษย์ฉวนเจินในด่านที่ไม่สำคัญแบบนี้”
“ก็ได้”
หลังจากพยักหน้าสื่อว่ายอมรับสิ่งที่เยี่ยเว่ยหมิงพูด ฉางซิงอวี่ก็ก้าวไปบนเส้นทางเล็กๆ ที่มีป่า สองข้างซึ่งเป็นทางเข้าสำนักสุสานโบราณ
ยังเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร ตรงหน้าก็มีเงาที่สวมชุดนักพรตฉวนเจินลอยมาแล้ว
ฉางซิงอวี่หยุดเดินแล้วจ้องเงาร่างนั้น กลับเห็นผู้ที่มาขวางทางเป็นสตรีวัยกลางคนถือกระบี่ยาวคนหนึ่ง พอนางปรากฏตัว ก็ตะคอกฉางซิงอวี่ด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นทันที “ข้างหน้าคือเขตต้องห้ามของสำนักฉวนเจิน ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามบุกรุก!”
สาเหตุที่ฉางซิงอวี่มาที่นี่วันนี้ ก็เพื่อจับผีที่สุสานโบราณ ย่อมต้องถูกอีกฝ่ายตะคอกห้ามไว้อยู่แล้ว
พอได้ยินดังนั้นเขาก็ชักดาบสองคมสามแฉกออกมาทันที แล้วก้าวออกมาตรงจุดที่อีกฝ่ายยืนอยู่ พอเขาก้าวออกมา ก็ทำให้เห็นข้อมูลของนักพรตเต๋าหญิงวัยกลางคนที่เป็น BOSS แล้ว
[ซุนปู๋เอ้อร์]
หนึ่งในเจ็ดศิษย์แห่งสำนักฉวนเจิน พูดน้อยและรักอิสระ
เลเวล: 61
……
เมื่อเห็นค่าสเตตัส BOSS และชื่อปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของซุนปู๋เอ้อร์ ซานเย่ว์ก็อดแขวะไม่ได้ “อาหมิง อย่างเจ้านี่ถือว่าปากไม่เป็นมงคลหรือเปล่า”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วเขินนิดหน่อย สะพานสวรรค์น้อยที่อยู่ข้างๆ กลับส่ายหน้า “ควรจะบอกว่าพี่ใหญ่เยี่ยปากศักดิ์สิทธิ์มากกว่า พูดอะไรก็เป็นจริง”
แม้พวกนางจะแสดงความเห็นเหมือนกัน แต่เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าคำพูดของสะพานสวรรค์น้อยฟังรื่นหูกว่าหน่อย
ตอนนี้ฉางซิงอวี่กับซุนปู๋เอ้อร์ลงมือสู้กันแล้ว
ต้องบอกว่าฉางซิงอวี่ก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือระดับบนๆ ของเกมเหมือนกัน ส่วนซุนปู๋เอ้อร์ก็คือผู้ที่ฝีมืออ่อนแอที่สุดในบรรดาเจ็ดศิษย์ฉวนเจิน ประกอบกับอ่อนแอลงเมื่ออยู่ในโหมดภารกิจ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉางซิงอวี่ที่ดุเหมือนเสืออยู่แล้ว
เวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามนาที นางก็ถูกโจมตีจนแพ้ยับเยินอยู่ภายใต้ทวนยาวของฉางซิงอวี่แล้ว
ตอนหลังก็ยิ่งถูกฉางซิงอวี่ทำคริติคอลดาเมจต่อเนื่องหลายที ตายคาที่แล้ว
[ประกาศระบบ: …]
ขณะเก็บไอเทมดรอปจากซุนปู๋เอ้อร์เข้ากระเป๋า ฉางซิงอวี่ก็หันมาพูดกับเยี่ยเว่ยหมิงอย่างคับแค้นใจว่า “สหายเยี่ย ทำไมเจ้าไม่บอกข้าล่วงหน้าว่าถ้าฆ่านักพรตฉวนเจินที่เฝ้าด่าน จะต้องถูกหักค่าวีรบุรุษ ค่าวีรบุรุษร้อยแต้มแม้จะไม่เยอะ แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องรีบสะสมค่าวีรบุรุษ เจ้าทำข้าเสียหายหนักจริงๆ!”
เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าตัวเองได้รับความไม่เป็นธรรม
เขามองฉางซิงอวี่อย่างจนใจแวบหนึ่งแล้วบอกว่า “ระหว่างสำนักฝ่ายธรรมะด้วยกัน ถ้าไม่มีเหตุผลที่ชอบธรรม ก็จะฆ่า NPC ตายตามอำเภอใจไม่ได้ นี่เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ จะว่าไปเจ้าก็ลงมือโหดเหมือนกัน ที่จริงถ้าอยากผ่านด่าน ขอเพียงโจมตีให้นางแพ้ก็พอแล้ว ทำไมดึงดันจะฆ่าคนให้ได้”
“ก็ได้ ข้ายอมรับว่าข้าโลภอยากได้กำลังภายในของสำนักฉวนเจิน” ฉางซิงอวี่กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “แตสหายเยี่ยรับประกันได้หรือว่าตัวเองไม่เคยพลาดสังหารคนดีเลย”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าอย่างมั่นใจมาก “ข้ารับประกันได้”
“แล้วหนึ่งดาบสามเฉือนล่ะ”
“นางยังไม่ตาย”
“แล้วนางไม่เหมือนซุนปู๋เอ้อร์หรือ” ฉางซิงอวี่กล่าวอย่างไม่ถือสา “อย่างไรเสีย NPC ในโหมดภารกิจแบบนี้ ตายกี่ครั้งก็ยังรีเฟรชออกมาใหม่ได้ ข้ายังไม่ถึงขั้นแบกรับข้อหามีคุณธรรมแค่เปลือกนอกเพราะเรื่องนี้หรอกมั้ง การเจอผีคือเรื่องสำคัญ พวกเราอย่ามัวเสียเวลาเถียงเรื่องคุณธรรมกันตรงนี้เลย”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า พร้อมกับเอาโลงไม้หวงฮว่าออกมาเก็บศพของซุนปู๋เอ้อร์อย่างชำนาญ
ได้รับ ‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ ×1
ได้รับ ‘ตระหนักรู้กำลังภายใน’ ×1
ได้รับ ‘ตระหนักรู้กฎเต๋า’ ×1
……
ดูจากเรื่องนี้ก็รู้แล้วว่าฉางซิงอวี่จัดเป็นผู้เล่นมืออาชีพที่มองเกมเป็นเกมอย่างเดียว มองปัญหาทุกอย่างจากมุมมองของผู้เล่นคนหนึ่ง
ไม่เหมือนเยี่ยเว่ยหมิง หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในเกมมาครึ่งปี ก็เกิดความผูกพันกับสำนักมือปราบเทพและ NPC บางคนแล้ว ถือว่าเริ่มก้าวแรกสำหรับการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกนี้แล้ว
เมื่อเทียบกัน เห็นได้ชัดว่าฉางซิงอวี่ใช้เหตุผลและสติปัญญามากกว่า แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับได้รับประสบการณ์การเล่นเกมมากกว่า แต่ก็บอกไม่ได้ว่าใครถูกใครผิด
หลังจากตอนย่อยผ่านไปแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ดึงฉางซิงอวี่กลับเข้ามาในทีมอีกครั้ง แล้วทั้งสี่ก็เข้าไปในเขตอำนาจของสำนักสุสานโบราณ
ป่าทึบยังเป็นป่าทึบเหมือนตอนแรก เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีลาร่ากับครอฟท์ควบคุมผึ้งมาลอบโจมตี เพื่อนในทีมชื่นชมทิวทัศน์งดงามระหว่างทางได้อย่างสบายใจ ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
ทว่าตอนผ่านป่าลึกมาเมื่อครู่นี้ พวกเขากลับตะลึงค้างเพราะภาพตรงหน้า!
พวกเขาเห็นอะไร?
BOSS ร่างมารตนหนึ่ง กำลังเล่นซ่อนหากับสาวๆ สำนักสุสานโบราณเหมือนเล่นเกมงูกินหาง
ไม่แปลกใจที่พวกเยี่ยเว่ยหมิงตกใจขนาดนี้ เพราะฉากที่เห็นนอกสุสานโบราณตอนนี้ ดูแล้วน่าขบขันจริงๆ
เห็นสาวๆ สำนักสุสานโบราณกลุ่มหนึ่งกำลังร้องวี้ดว้ายพร้อมหลบหนี ในบรรดาพวกนางยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ถือกระบี่ล้ำค่าเล่มใหญ่ ข้างหลังมี BOSS ร่างมารที่หน้าตาคล้ายเฟิ่งเทียนหนานร่างมารอยู่ตนหนึ่ง
ไม่ว่าน้องสาวกระบี่ใหญ่คนนี้จะวิ่งไปไหน สาวๆ คนอื่นของสำนักสุสานโบราณที่อยู่ใกล้ก็ร้องกรี๊ดและหนีกระเจิง ส่วน BOSS ร่างมารที่อยู่ข้างหลังก็คำรามพร้อมไล่สังหาร
จากนั้นน้องสาวกระบี่ใหญ่ก็วิ่งอีก สาวๆ สุสานโบราณที่ล้อมอยู่ก็ร้องกรี๊ดแล้วหนีกระเจิงอีก BOSS ร่างมารไล่ตามมาอีกแล้ว…
ทำเป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้นานมาก แม้น้องสาวกระบี่ใหญ่คนนั้นจะวิ่งไปทางที่มีคน แต่วิชาตัวเบาของสำนักสุสานโบราณก็ดีกว่าสำนักอื่นเยอะ BOSS ที่กลายเป็นมารแล้วเคลื่อนไหวได้ไม่เร็ว ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว กลับยังไม่เกิดการบาดเจ็บล้มตายเลยสักนิด!
อีกทั้งเมื่อดูจากสีหน้าของสาวๆ สำนักสุสานโบราณเหล่านี้ก็มีความตระหนกอยู่สามส่วน ความหวาดกลัวสามส่วน ความสับสนอลหม่านสามส่วน อีกหนึ่งส่วนคือความลนลาน
ส่วนที่เหลืออีกเก้าสิบส่วน มารดาเจ้าเถอะ มันคือความตื่นเต้น!
จะว่าไปแล้ว หญิงสาวบอบบางของสำนักสุสานโบราณกลุ่มนี้ กำลังเล่นกิจกรรมวันสารทจีนให้เหมือนกำลังผจญภัยในบ้านผีสิงชัดๆ!