ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 384 คุมเชิงกันที่ศาล
ตอนที่ 384 คุมเชิงกันที่ศาล
“จวนว่าการคือสถานที่สำคัญ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าใกล้!”
เมื่อถูกทหารยามสองคนของจวนว่าการขัดขวาง เยี่ยเว่ยหมิงก็ได้แต่ชูกระบี่อาญาสิทธิ์ขึ้นมาเงียบๆ
เมื่อเห็นว่าเป็นคือตัวแทนของอำนาจแห่งจักรพรรดิ ทหารยามสองคนก็ตกใจจนตัวสั่น รีบคุกเข่าบนพื้น เสียงที่ตะโกนว่า ‘หมื่นปี’ เปลี่ยนทำนองเพราะความหวาดกลัวสุดขีด
เยี่ยเว่ยหมิงไม่สนใจบ่าวเฝ้าประตูสองคนนี้ พาน้องดาบกับฉางซิงอวี่เดินไปยังโถงใหญ่ของจวนว่าการโดยตรง
ระหว่างทาง มือขวาของเยี่ยเว่ยหมิงชูกระบี่อาญาสิทธิ์ไว้ตลอด ขอเพียงเป็นเจ้าหน้าที่ในจวนว่าการ เมื่อเห็นกระบี่ล้ำค่าที่มีอำนาจประหารก่อนรายงานทีหลังเล่มนี้ ก็ไม่มีใครที่ไม่ตกใจจนตัวสั่น เสียงตะโกนว่า ‘หมื่นปี’ ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย
พอพุ่งเข้ามาในโถงใหญ่ของจวนว่าการ เยี่ยเว่ยหมิงก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่เดิมเป็นของหลิงทุ่ยซืออย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็ใช้กระบี่อาญาสิทธิ์ตบลงบนเอกสารคดีตรงหน้า
เพียะ! หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น บรรดาเจ้าหน้าที่ในจวนที่นั่งคุกเข่าก็ตกใจจนตัวสั่น แต่กลับได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ให้หลิงทุ่ยซือมาพบข้า!”
ที่จริงแล้ว ไม่ต้องให้เยี่ยเว่ยหมิงบอก ก็มีพวกบ่าวไพร่ที่อยู่ห่างจากตรงนี้ฉวยโอกาสตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงไม่สนใจพวกเขาวิ่งไปรายงานหลิงทุ่ยซือให้รู้แล้ว
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งพูดจบ หลิงทุ่ยซือก็พาผู้ช่วยคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายเซี่ยเยียนเค่อแต่สง่าราศีต่างกันหมื่นแปดพันลี้เร่งฝีเท้าเดินมายังโถงใหญ่แล้ว หลังจากเห็นเยี่ยเว่ยหมิงนั่งอยู่บนตำแหน่งหลักอย่างหยาบคาย ในดวงตาหลิงทุ่ยซือก็ฉายแววเคียดแค้นแวบหนึ่ง แต่พอเห็นกระบี่อาญาสิทธิ์วางอยู่บนเอกสารคดี สายตาเคียดแค้นก็เปลี่ยนเป็นสายตาหวาดกลัวทันที
เขาคุกเข่าเลียนแบบเจ้าหน้าที่ในจวนทันที กล่าวว่าหมื่นปีแล้วถามว่า “ท่านมาเยือนถึงจิงโจว ไม่ทราบว่ามีเรื่องสำคัญอะไรมอบหมายให้ผู้น้อยไปจัดการหรือขอรับ”
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงนำเอกสารที่เขาจัดเรียงในห้องเก็บเอกสารของสำนักมือปราบเทพฉบับนั้นออกมา หลังจากมอบปราดหนึ่งก็บอกว่า “หลิงทุ่ยซือ บุคคลสำคัญของไหวโจว เมื่อยี่สิบหกปีก่อนเข้าร่วมการสอบขุนนางระดับจิ้นซื่อ[1]และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาท ได้รับการแต่งตั้งให็เป็นเจ้าเมืองจิงโจว…
…ในระหว่างนั้นมีโอกาสโยกย้ายตำแหน่งหลายครั้ง แต่เจ้าก็ปฏิเสธอ้อมๆ ทุกครั้ง เจ้าจึงรับตำแหน่งเจ้าเมืองจิงโจวมานานถึงยี่สิบหกปี ข้าพูดผิดหรือไม่”
จู่ๆ หลิงทุ่ยซือที่อยู่ในท่าหมอบราบคาบบนพื้นก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นในใจ แต่ปากก็ยังตอบอย่างไม่อวดดี หรือถ่อมตัวเกินไป “นึกไม่ถึงว่าท่านจะทราบพื้นเพของผู้น้อยแจ่มแจ้งเช่นนี้ ใต้เท้าพูดไม่ผิดสักนิด นั่นคือประวัติส่วนตัวของผู้น้อยเองขอรับ”
ขณะที่ตอบ ลูกตาของหลิงทุ่ยซือที่กำลังจ้องพื้นก็กลอกไปมา คนเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนอย่างเขา ตอนนี้รู้สึกได้ถึงอำนาจคุกคามที่มาจากเยี่ยเว่ยหมิง จึงเริ่มคิดแผนรับมือแล้ว
ตอนนี้เอง กลับได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงเปลี่ยนประเด็นสนทนากะทันหัน “อย่าเอาแต่คุกเข่า ใต้เท้าหลิงลุกขึ้นมาคุยกันเถอะ”
“ขอบคุณใต้เท้า!”
เมื่อกล่าวขอบคุณแล้ว หลิงทุ่ยซือก็ลุกขึ้นจากพื้น
ตอนนี้เอง กลับเห็นน้องดาบส่งความข้อความเหน็บแนมในช่องทีม [ดูไม่ออกเลยนะว่าใต้เท้าเยี่ยจะมีบารมียอะขนาดนี้]
ฉางซิงอวี่ [ใต้เท้าเยี่ยช่างมีพลังอำนาจ!]
เยี่ยเว่ยหมิง [เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว จริงจังหน่อย ข้ากำลังสะสางคดีอยู่นะ!]
ไม่สนใจตัวตลกสองคนข้างหลังที่กำลังแสร้งทำตัวจริงจังอีก เยี่ยเว่ยหมิงพลันเปลี่ยนประเด็นสนทนา เหมือนกำลังคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปกับหลิงทุ่ยซือ “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ เพิ่งได้ยินนักเล่าเรื่องในโรงเตี๊ยมเล่าเรื่องยุคสามก๊ก จู่ๆ ก็รู้สึกสนใจเฉาเชาขึ้นมา ไม่ทราบว่าใต้เท้าหลิงคิดอย่างไรกับคนผู้นี้”
หลิงทุ่ยซือได้ยินแล้วอึ้ง แต่กลับไม่กล้าตอบคำถามของขุนนางที่ฮ่องเต้ส่งตัวมาทำงานแทน แสร้งกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวผึ่งผายทันที “ยุคบ้านเมืองสงบสุขเป็นขุนนางที่มีความสามารถ ยุคบ้านเมืองวุ่นวายเป็นสิงห์ร้ายที่มีความเห่อเหิมทะเยอทะยาน ที่จริงแล้วก็เป็นขุนนางที่สร้างความวิบัติคนหนึ่งเท่านั้น ทุกคนล้วนอยากสังหารเขา!”
“อ้อ?” เยี่ยเว่ยหมิงได้ฟังแล้วเลิกคิ้ว จู่ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันตราย “ใต้เท้าหลิงพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกแล้ว ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าอ่านบทความในหนังสือกราบบังคมทูล ตอนเจ้าทดสอบหน้าพระพักตร์ปีนั้น บทความเขียนได้ไหลลื่น วิเคราะห์เรื่องใหญ่ๆ ในใต้หล้าได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล ในนั้นสรรเสริญเฉาเชาไว้เยอะแยะเชียว”
หลิงทุ่ยซือได้ยินแล้วหัวใจกระตุกวูบ แต่ภายนอกกลับไม่แสดงออก “ตอนนั้นผู้น้อยยังอายุน้อยด้อยประสบการณ์ ตอนอ่านประวัติศาสตร์จึงชอบความสามารถมากกว่านิสัย ผู้น้อยถึงได้สรรเสริญอยู่บ้าง แต่เมื่ออายุมากขึ้น ประสบการณ์ก็ยิ่งมากขึ้น มุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ ก็ย่อมเปลี่ยนตาม ทัศนคติแตกต่างจากปีนั้นโดยสิ้นเชิง ทำให้ใต้เท้าขบขันแล้ว”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วกลับพูดว่ามิบังอาจ จากนั้นบอกว่า “ที่จริงข้าจำผิด หนังสือกราบบังคมทูลที่ข้าเพิ่งพูดไปไม่ใช่ของใต้เท้าหลิง แต่เป็นกระดาษคำตอบระหว่างที่ทดสอบหน้าพระพักตร์ของหลี่คูโหลว ผู้พิพากษาอำเภออินกู่”
ในช่องทีมมีนิ้วหัวแม่มือสองนิ้วยกให้
เยี่ยเว่ยหมิงเล่นมุกนี้ แม้แต่สหายร่วมทีมอย่างพวกเขาสองคนก็ยังตั้งตัวไม่ทัน!
พอได้ยินชื่อหลี่คูโหลว หลิงทุ่ยซือก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ามือตัวเองเริ่มเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ปากกลับรีบบอกว่า “ที่จริงผ่านไปหลายปีขนาดนั้นแล้ว รายละเอียดเนื้อหาในกระดาษคำตอบปีนั้น ผู้น้อยจำได้ไม่ชัดเจนแล้วจริงๆ ขอรับ”
ตอนนี้สายตาเยี่ยเว่ยหมิงกลับเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น หยิบกระบี่อาญาสิทธิ์ที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง “จำไม่ได้ หรือว่าไม่รู้เลย”
“ใต้เท้าหมายความว่าอย่างไรขอรับ”
“หมายความว่าอย่างไร?” ตอนนี้น้ำเสียงของเยี่ยเว่ยหมิงเริ่มเย็นเยียบ “ปีนั้นเจ้าเมืองจิงโจวหลิงทุ่ยซือกับหลี่คูโหลวผู้พิพากษาอำเภออินกู่เดิมทีเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน สอบได้อันดับหนึ่งแต่ได้รับหน้าที่สำคัญจากฝ่าบาทเหมือนกัน จากนั้นก็ต่างคนต่างพาครอบครัวไปรับตำแหน่ง…
…แต่สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงเลยก็คือ ระหว่างทางที่นั่งเรือข้ามแม่น้ำหวงเหอ กลับถูกโจรลำน้ำสองคนสังหาร ซึ่งก็คือหลิวหง ประมุขพรรคทรายมังกรกับฝ่ามือชาดแดงหลี่เปียว!…
…จากนั้น โจรใจกล้าทั้งสองก็ต่างคนต่างนำหลักฐานการรับตำแหน่งของพวกเขาไปรับตำแหน่งเอง ได้เป็นเจ้าเมืองจิงโจวกับผู้พิพากษาประจำอำเภออินกู่อย่างสง่าผ่าเผย!”
“เจ้าว่าข้าพูดถูกไหม” ขณะมองหลิงทุ่ยซือที่เริ่มหน้าเขียว เยี่ยเว่ยหมิงก็เผยรอยยิ้มแห่งความมั่นใจในชัยชนะออกมา “หลิวหง ประมุขพรรคหลิว?”
เมื่อได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงกล่าวถึงฐานะที่แท้จริงของตัวเองตรงๆ หลิงทุ่ยซือก็ยังไม่ยอมรับความผิดที่ตัวเองทำลงไป เถียงข้างๆ คูๆ ว่า “ใต้เท้ามีกระบี่อาญาสิทธิ์อยู่ในมือ อยากฆ่าก็ฆ่าได้เลย ผู้น้อยไม่ขัดขืน แต่หากท่านจะกล่าวหากันลอยๆ ข้าหลิงทุ่ยซือไม่ยอมเด็ดขาด!”
“ไม่ยอม?” เยี่ยเว่ยหมิงแสยะยิ้ม “ก็ได้ เช่นนั้นใต้เท้าหลิงก็เชิญตามข้าไปที่สำนักมือปราบเทพที่เมืองหลวงสักเที่ยว ได้รับความไม่ยุติธรรมอะไรก็คุยกับหวงโส่วจุนได้เลย ข้าเชื่อว่าเขาต้องทวงความยุติธรรมให้ท่านแน่”
ทวงความยุติธรรมบ้าบออะไรล่ะ!
หลิงทุ่ยซือย่อมรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนดีอะไร มีหรือที่จะกล้ามยอมให้พวกเยี่ยเว่ยหมิงจับไปที่สำนักมือปราบเทพ
เมื่อเห็นว่าไม่มีทางเหลือให้กู้สถานการณ์แล้ว เขาก็แข็งใจตะโกนสั่งทันที “ลงมือ!”
[1] สอบระดับจิ้นซื่อ คือเป็นการสอบขุนนางรอบสุดท้าย เป็นการคัดเลือกหน้าพระพักตร์ จักรพรรดิจะเป็นผู้ทดสอบด้วยตัวเอง