ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 393 อยู่ในยุทธภพ ความน่าเชื่อถือสำคัญ
ตอนที่ 393 อยู่ในยุทธภพ ความน่าเชื่อถือสำคัญ
พอได้ยินหลี่มั่วโฉวพูดแบบนี้ ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงกับเพื่อนในทีมก็รู้แล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้เฟยอวี๋ถึงตายได้
ดูท่าแล้ว หากต้องการจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ สิ่งที่ขาดไม่ได้ระหว่างนั้นก็คือต้องพิสูจน์ต่อหลี่มั่วโฉวให้ได้ว่าเจ้ามีศักยภาพมากพอที่จะไม่ถูกนางบีบตายได้ง่ายๆ
ก่อนหน้านี้เฟยอวี๋ไม่มีศักยภาพนี้ ตอนไปตีสนิทนางจึงตาย แต่เยี่ยเว่ยหมิงแสดงศักยภาพที่ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจละเลยความสำคัญได้ ในที่สุดภารกิจนี้ก็มีรากฐานสำหรับการเข้าสู่ช่วงถัดไปแล้ว
เพียงแต่เมื่อหลี่มั่วโฉวแสดงท่าทีแบบนี้ ก็ได้ตัดขาดความคิดที่เยี่ยเว่ยหมิงอยากจะดรอปวิชา ‘มือสามไร้สามไม่’ จากนางโดยสิ้นเชิงแล้วเช่นกัน
ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็พูดเปิดอกแล้ว หากเยี่ยเว่ยหมิงยังดึงดันจะสู้กับอีกฝ่ายให้รู้แพ้รู้ชนะต่อไป เจตนาฆ่าคนของเขาก็อาจชัดเจนเกินไป
ด้วยความเฉียบแหลมและเด็ดขาดที่หลี่มั่วโฉวแสดงออกมา เมื่อเจอเหตุการณ์นี้นางจะต้องหนีโดยไม่ลังเลแน่นอน สกัดอย่างไรก็สกัดไม่อยู่
หลังจากล้มเลิกความคิดที่จะฆ่ามอนสเตอร์ดรอปตำราลับ เยี่ยเว่ยหมิงก็มองนักพรตหญิงที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่านางเจริญตาน่ามองขึ้นเยอะ
อีกฝ่ายทั้งมีความโหดเหี้ยม เด็ดขาดและเฉียบแหลม เมื่อนำข้อดีต่างๆ มารวมกัน ก็อดทำให้เยี่ยเว่ยหมิงเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันไม่ได้
ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้เล่นเหมือนกับพวกเขา เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ถือสาที่จะคบหานางเป็นสหาย
หลังจากเรียบเรียงความคิดแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็กล่าวอย่างใจเย็นว่า “สำหรับสิ่งที่เจ้าประสบมา พวกเราทุกคนเข้าใจดี แต่ในเรื่องราวทั้งหมด คนที่ทำผิดต่อเจ้าจริงๆ มีเพียงลู่จ่านหยวนคนเดียวเท่านั้น คนอื่นล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์…
…ดังนั้น พวกเราได้รับการไหว้วานจากลู่จ่านหยวนให้มาเจรจาสันติกับเจ้าสักหน่อย ดูว่าภายหลังจากจบสัญญาสิบปีนี้แล้ว เจ้าจะเปิดทางรอดให้สักทาง ไว้ชีวิตคนในครอบครัวเขาได้หรือไม่”
หลี่มั่วโฉวได้ยินแล้วสีหน้ายังไม่เปลี่ยนแล้ว เพียงถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้าพูดจบแล้วหรือ”
“ยังไม่จบ!”
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะหนี จึงรีบบอกว่าตัวเองยังพูดไม่จบ จากนั้นก็เสนอเงื่อนไขของตัวเองออกมาเสียเลย “ที่จริงถ้าเจ้าอยากระบายความโกรธ พวกเราก็เจรจากันได้…ด้วยสติปัญญาของเจ้า น่าจะรู้จักกิจกรรมของระบบครั้งนี้กระมัง”
หลี่มั่วโฉวยังคงรักษาท่าทีที่ดูเย็นชาและสูงส่ง บอกใบ้ให้เขาพูดต่อไป
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ้มเหมือนดีใจ “ที่จริงถ้าเจ้าอยากล้างแค้น การทำไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์อะไรนั่นเป็นเป็นวิธีระบายอารมณ์ที่ไม่มีประโยชน์เลย มีสำนวนหนึ่งกล่าวไว้ว่าอะไรนะ…
…หากต้องการคลายปมความแค้นในใจ ก็ต้องชักกระบี่ฟันคู่แค้น!…
…เดิมทีลู่จ่านหยวนนั่นตายไปแล้ว แบบนี้เรียกว่าคนชั่วย่อมถูกฟ้าลงโทษ แต่สำหรับเจ้าแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้ระบายไฟแค้นที่สุมอยู่ในอกออกมา แบบนั้นจะรู้สึกคับข้องใจมาก…
…แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ในภารกิจของกิจกรรมระบบครั้งนี้ เขาได้ปรากฏตัวในสภาพวิญญาณอีกครั้งแล้ว!”
เมื่อเห็นหลี่มั่วโฉวเผยสีหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด เยี่ยเว่ยหมิงก็ชี้แนะอย่างอดทนต่อไปว่า “ขอเพียงเจ้ารับประกันได้ว่าหลังจากครบสิบปีนี้แล้ว เจ้าจะไม่ลงมือกับคนในครอบครัวของลู่จ่านหยวน แล้วพวกเราจะพาเจ้าไปพบวิญญาณของเขาเดี๋ยวนี้…
…จากนั้น เจ้าก็ลงมือด้วยตัวเองได้เลย สุดยอดวิชาที่โด่งดังพวกนั้นของเจ้า มือสามไร้สามไม่ วิชาแส้ปัด เข็มเงินวิญญาณน้ำแข็ง ฝ่ามือเบญจพิษอะไรนั่น ลองใช้ทุกวิชาบนตัวเขาสักหนึ่งทีสิ…
…หลังจากเจ้าระบายความโกรธจนหนำใจแล้ว ค่อยตบสักฉาดให้วิญญาณของเขาแตกสลาย แบบนั้นสะใจมากไม่ใช่หรือ”
หลี่มั่วโฉวได้ยินแล้วสีหน้าเปลี่ยน จากนั้นสะบัดแส้ปัดพร้อมบอกว่า “คำแนะนำของเจ้า ข้าไม่สนใจหรอก ในฐานะชาวยุทธ์คนหนึ่ง ข้าให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือ ข้าบอกว่าสิบปีนี้จะไม่หาเรื่องเขา ก็คือไม่หาเรื่องเขาสิบปี”
ไม่ทันรอให้เยี่ยเว่ยหมิงพูดอะไรอีก พอหลี่มั่วโฉวแสดงท่าทีเสร็จแล้วก็ใช้ท่าร่างที่รวดเร็วอ่อนช้อยของนางวิ่งหนีไปไกล ถึงขนาดว่าแม้แต่ลาน้อยที่นางขี่มาก่อนหน้านี้ นางก็ไม่สนใจจะพาไปด้วยแล้ว
ช่วงที่สองของภารกิจ เจรจาล้มเหลว!
ขณะมองตามเงาร่างของหลี่มั่วโฉวจนหายไปจากสายตา เฟยอวี๋ก็อดถามอย่างกลัดกลุ้มไม่ได้ “ตอนนี้ พวกเราควรจะทำอย่างไร”
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คำสัญญาสิบปีนั่น อิงตามภูมิหลังของภารกิจที่ปู้คุยเล่าให้ฟัง ตอนวันแต่งงานของลู่จ่านหยวนกับเหอหยวนจวินก่อนหน้านี้ หลี่มั่วโฉวก็ไปหาเรื่องมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่กลับมียอดฝีมือจากวัดเทียนหลงท่านนหนึ่งมาขัดขวางไว้ นางจึงถูกบีบให้ตั้งคำมั่นสัญญาสิบปี ภายในสิบปีนี้ นางห้ามไปหาเรื่องพวกลู่จ่านหยวน…
…NPC ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับคำสัญญา ต่อให้ตอนนี้ลู่จ่านหยวนเป็นเพียงผีตนหนึ่ง แต่หลี่มั่วโฉวก็ยังไม่อยากผิดสัญญาที่ตัวเองพูดไว้โดยไม่ได้เต็มใจและลงมือกับเขา”
“ข้าว่าไม่แน่หรอก” ตอนนี้น้องดาบกลับบอกว่า “ข้าเห็นก่อนหน้านี้หลี่มั่วโฉวทำสีหน้าแปลกๆ เกรงว่านอกเสียจากจะจบระยะเวลาสัญญาอย่างที่เจ้าบอกเท่านั้น บางทีการตบผีให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวอาจระบายความโกรธได้ แต่นางก็ยังหวังจะฆ่าทั้งครอบครัวของลู่จ่านหยวนด้วย เพิ่มระดับการล้างแค้นให้มากที่สุด!”
“ใครจะไปรู้ล่ะ” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า แล้วพูดอย่างกลุ้มใจนิดหน่อย “ก่อนหน้านี้ปู้คุยบอกไว้แล้วไม่ใช่หรือ หลังจากหลี่มั่วโฉวถูกลู่จ่านหยวนหลอกให้รักแล้วทิ้ง นิสัยนางก็เปลี่ยนไปมาก หมายความว่าเราต้องแก้ปัญหาจากตรงนี้”
ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว เคาะศีรษะตัวเองแล้วพูดต่อ “ดังนั้น หลี่มั่วโฉวในตอนนี้ เกรงว่าจิตคงไม่ค่อยปกติแล้ว คนแบบนี้การตอบสนองทางความคิดต้องต่างจากคนปกติแน่นอน พวกเราใช้มุมมองของคนปกติวิเคราะห์ความคิดนางไม่ได้หรอก เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องที่เปลืองแรงแต่ไม่ได้รับผลตอบแทน…
…เพื่อให้ภารกิจของเฟยอวี๋ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ข้ารู้สึกว่าฆ่านางให้ตายไปเลยจะสะอาดเรียบร้อยที่สุด” แม้ปากจะพูดอย่างนี้ แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับขมวดคิ้วเป็นปมแล้ว
เห็นได้ชัด กลยุทธ์ที่เขาเสนอมาแม้ไม่เลว แต่ถ้าอยากกำหนดกลยุทธ์แบบมีเป้าหมาย แม้แต่เขาก็ทำได้ยากในตอนนี้
ถึงอย่างไรก็ต้องสังหาร BOSS โหมดปกติเลเวลเก้าสิบที่พร้อมหนีได้ทุกเมื่อให้ตาย เป็นเรื่องที่ยากเกินไปจริงๆ!
แต่ลองคิดกลับกัน ยิ่งเป็นภารกิจที่ยาก ก็หมายความว่ารางวัลยิ่งอุดมสมบูรณ์
ภารกิจของเฟยอวี๋ การตามหาคนในขั้นแรกถือว่ากำจัดความยุ่งยากได้เยอะแล้ว ถึงอย่างไรหลี่มั่วโฉวก็ไม่ใช่ BOSS ที่อยู่ประจำเป็นหลักแหล่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีทักษะที่สอดคล้องกับการตามหา ในระยะเวลากิจกรรมหนึ่งวันก็ไม่ยังไม่แน่ว่าจะเจอตัว
จากนั้นก็เป็นขั้นตอนลงมือต่อสู้ ถ้าคนที่ลงมือไม่ใช่เยี่ยเว่ยหมิง ต่อให้ทุกคนโจมตีเข้าไปพร้อมกัน แต่ถ้าคิดจะโจมตีจนเกิดผลงานที่หลี่มั่วโฉวยอมรับก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี
อย่างไรเสีย นางก็คือ BOSS ร่างแท้โหมดปกติเลเวลเก้าสิบ!
จากนั้นก็เป็นขั้นตอนการเจรจา แม้แต่เยี่ยเว่ยหมิงยังหลอกนางไม่สำเร็จ แค่ดูจากจุดนี้ก็รู้ถึงระดับความยากแล้ว
ภารกิจที่ยากทุกขั้นตอนแบบนี้ หากทำสำเร็จได้ เกรงว่ารางวัลภารกิจที่ทุกคนจะได้รับก็อาจไม่น้อยกว่าภารกิจช่วยชีวิตติงเตี่ยนก่อนหน้านี้
“ที่จริง ถ้าอยากใช้วิธีการที่สันติทำภารกิจของสหายเฟยอวี๋ให้สำเร็จ ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง” เมื่อเห็นว่าแม้แต่เยี่ยเว่ยหมิงยังเผยสีหน้าลำบากใจ ฉางซิงอวี่ที่อยู่ข้างๆ กลับพูดขึ้นว่า “ข้ารูจักสหายอยู่คนหนึ่ง บางทีอาจจะมองความคิดที่แท้จริงของหลี่มั่วโฉวออก ขอเพียงควบคุมสภาพจิตใจของนางได้ อาจจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ไม่ยาก”
เมื่อได้ยินดังนั้น น้องดาบที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกทึ่งมาก นางชูนิ้วหัวแม่มือพร้อมบอกว่า “ตามตรรกะที่เจ้ามือปราบหน้าเหม็นวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ มีเพียงคนประสาทเท่านั้นที่เข้าใจคนประสาทด้วยกันเอง สหายฉาง นึกไม่ถึงว่าวงสังคมของเจ้าจะกว้างขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเพื่อนเป็นบ้าด้วย!”