ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 41 มังกรร่อนล่อหงส์
ตอนที่ 41 มังกรร่อนล่อหงส์
[มังกรร่อนล่อหงส์ (ระดับกลาง): เคล็ดกระบี่ที่สูงส่งล้ำลึกมากในยุทธภพ กระบวนท่าดูเหมือนดุเดือดรุนแรง แต่ความจริงเน้นดีบัฟ ป้องกันเป็นหลัก แม้จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าตัวเองมาก แต่ก็ปกป้องตัวเองได้อย่างไม่ต้องกังวล
เงื่อนไขการฝึก:
สติปัญญา 25 แต้ม
ค่าตระหนักรู้ 25 แต้ม
ความแข็งแกร่ง 70 แต้ม
พละกำลัง 60 แต้ม]
ดูจากการแนะนำโดยสังเขป เคล็ดกระบี่นี้ภายนอกไม่มีปัญหาอะไรแม้แต่น้อย
เพียงแต่เยี่ยเว่ยหมิงที่มีประสบการณ์เล่นเกมมาหลายปีกลับรู้ว่าไม่มีสกิลไหนที่สมบูรณ์แบบไร้จุดบกพร่อง เวลาเน้นข้อดีบางอย่างในคำแนะนำสกิล ที่จริงแล้วก็เพียงเพื่อกลบข้อด้อยในด้านอื่นเท่านั้นเอง
บนคำแนะนำตำราลับ ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ เล่มนี้ โอ้อวดความสามารถในการป้องกันตัวเองไว้เกินจริงราวกับไม่มีอยู่บนโลก เยี่ยเว่ยหมิงก็เชื่อเช่นกันว่าความสามารถในการป้องกันของมันยอดเยี่ยมจริงๆ แต่การโจมตีของมัน เกรงว่าคงทำให้คนไม่กล้าสรรเสริญ หากไม่ใช่เพราะมีข้อด้อยโดดเด่นขนาดนี้ ระบบคงไม่แนะนำว่ามันเป็นเคล็ดกระบี่ระดับกลาง อย่างน้อยก็น่าจะเป็นเคล็ดกระบี่ระดับสูงแล้ว!
เยี่ยเว่ยหมิงเชื่อมั่นในหลักการ ‘ยามเจอศัตรูบนทางแคบ คนกล้าหาญคือผู้ชนะ’ อย่างลึกซึ้งมาตลอด สำหรับเคล็ดกระบี่ที่เน้นแต่ความสามารถในการปกป้องตนเอง ที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกสนใจมากนัก
ทว่าเมื่อเจอกับคำขอที่สมเหตุสมผลของเยี่ยเว่ยหมิง โหยวจิ้นกลับให้คำตอบว่า “เมื่อแจกรางวัลภารกิจแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ไม่อาจเปลี่ยนใหม่ได้”
เชื่อนายกับผีน่ะสิ เจ้าหมอนี่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ซ่อนหัวแต่หางโผล่ ชั่วร้ายนัก!
จากนั้นเยี่ยเว่ยหมิงก็ปัดมือ เรียนสกิล ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ แล้ววิ่งออกจากสำนักมือปราบเทพไปโดยไม่บอกลาสักคำ ทิ้งไว้เพียงท้ายทอยอันสง่างามให้อีกฝ่ายเห็น
ชายแท้ ไม่เคยหันกลับมามองคนวิปริต!
เมื่อออกจากสำนักมือปราบเทพ เยี่ยเว่ยหมิงก็ตรงมายังกองควบคุมยุทโธปกรณ์ที่อยู่ไม่ห่างจากสำนักมือปราบเทพ
กองควบคุมยุทโธปกรณ์เป็นหน่วยงานหลอมสร้างอุปกรณ์ที่ขึ้นตรงต่อราชสำนัก หน้าที่หลักก็คือหลอมสร้างยุทธปัจจัยให้กองทัพ ไม่ขาดแคลนพวกช่างฝีมือดี ในจำนวนนั้นมีเฉิงเถี่ยจื้อที่ฝีมือดีที่สุดในกองควบคุมยุทโธปกรณ์ เป้าหมายของเยี่ยเว่ยหมิงก็คือเขาผู้นี้นั่นเอง
หลังเยี่ยเว่ยหมิงมาถึงนอกประตูกองควบคุมยุทโธปกรณ์และเผยป้ายอาญาสิทธิ์พิสูจน์ตัวตนแล้ว NPC ที่รับหน้าที่เฝ้าประตูก็เข้าไปรายงาน ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงได้รับเชิญเข้าประตูมารออย่างเงียบๆ หลังจากนั้นพักหนึ่ง เมื่อชายคนหนึ่งในเครื่องแบบศิษย์สำนักเอ๋อเหมยเดินมาถึงประตู พอเห็นเยี่ยเว่ยหมิงก็ก้าวขึ้นมาทักทายพร้อมรอยยิ้มทันที “เจ้าก็คือเยี่ยเว่ยหมิงที่มาจากสำนักมือปราบเทพสินะ?”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าครู่หนึ่ง ขณะกำลังมองเจ้าหนุ่มตรงหน้าที่แต่งกายไม่เข้าพวก เขาก็ขมวดคิ้วถาม “เจ้าคือ?”
“เฟิงเหลย มือกระบี่สำนักเอ๋อเหมย”
พอได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือผู้เล่น เพียงแต่สำนักเอ๋อเหมยมีลูกศิษย์ผู้ชายด้วยหรือ เยี่ยเว่ยหมิงแสดงออกชัดเจนว่าตัวเองไม่เคยเจอ!
เหมือนมองออกว่าเยี่ยเว่ยหมิงมีสีหน้าแปลกไป มือกระบี่เฟิงเหลยจึงอธิบายอย่างจนใจว่า “ที่จริงก็มีหลายคนเป็นอย่างเจ้า นึกว่าสำนักเอ๋อเหมยรับแค่ศิษย์หญิงเท่านั้น ที่จริงสำนักเอ๋อเหมยก็มีศิษย์ชายเหมือนกัน เพียงแต่บรรพาจารย์ที่ก่อตั้งสำนักเอ๋อเหมยเป็นสตรี ทักษะยุทธ์ที่สืบทอดต่อกันมาส่วนใหญ่จึงเหมาะสำหรับผู้หญิง โดยทั่วไปผู้เล่นชายจะไม่กราบอาจารย์เข้าสำนักเอ๋อเหมย เพราะนั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอะไรนัก”
“เช่นนั้นเจ้า…”
“ข้ามาเรียนเสริมความรู้เบ็ดเตล็ดที่สำนักเอ๋อเหมย” มือกระบี่เฟิงเหลยยิ้มบางๆ แล้วกล่าวเสริมว่า “ศิษย์ชายของสำนักเอ๋อเหมยส่วนใหญ่รับผิดชอบงานเบ็ดเตล็ด อาจารย์ที่ปรึกษาทักษะการดำรงชีวิตต่างๆ ย่อมขาดไม่ได้ แถมทักษะเฉพาะทางยังสุดยอดมากด้วย” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างมีลับลมคมในอีกว่า “ไม่ทราบว่าสหายเยี่ยเคยได้ยินเรื่องดาบฆ่ามังกรกับกระบี่อิงฟ้ามาก่อนหรือเปล่า”
เรื่องนี้เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินมาเยอะสุดๆ ทั้งยังเคยเห็นดาบฆ่ามังกรกับตาตัวเองแล้วด้วย
“แต่ข้าได้ยินมาว่า แม้กระบี่อิงฟ้าจะเป็นสมบัติของเอ๋อเหมย แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่สำนักเอ๋อเหมยแล้ว”
“ที่ข้าพูดย่อมไม่ได้หมายถึงตัวดาบกับกระบี่อยู่แล้ว” มือกระบี่เฟิงเหลยอธิบายว่า “ว่ากันว่าดาบฆ่ามังกรกับกระบี่อิงฟ้า ผู้ที่สร้างขึ้นมาเป็นคนในครอบครัวของจอมยุทธ์หญิงกัวเซียง[1] บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักเอ๋อเหมย ทั้งยังใช้วิธีลับในการหลอมสร้างดาบกับกระบี่ด้วย วิธีนี้มีถ่ายทอดที่สำนักเอ๋อเหมยเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีใครรู้สุดยอดทักษะนี้ก็เท่านั้นเอง ข้าพูดนอกเรื่องไปไกลแล้ว ไม่ทราบว่าวันนี้สหายเยี่ยมาด้วยธุระอะไร”
ด้วยการเตือนของเขา เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้ฉุกคิดถึงธุระหลัก “วันนี้ข้ามาเพื่อขอเข้าพบใต้เท้าเถี่ย”
มือกระบี่เฟิงเหลยได้ยินแล้วกระปรี้กระเปร่าทันที “น้องชายไร้ความสามารถ แต่เป็นศิษย์ของใต้เท้าเถี่ย หากสหายเยี่ยมีเรื่องอะไรจะคุย ก็บอกข้าก่อนได้เลย หากข้าแก้ไขปัญหาไม่ได้ ข้าค่อยช่วยรายงานใต้เท้าเถี่ยให้เจ้า เป็นอย่างไร”
นี่เถี่ยจื้อคิดจะอาศัยโอกาสนี้ฝึกฝนลูกศิษย์เหรอ
เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้พูดมาก นำกระบี่ชิงจู๋ออกมาทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รบกวนสหายเฟิงเหลยช่วยดูสักหน่อย ว่าจะชำระธาตุพิษบนกระบี่เล่มนี้ทิ้งได้หรือเปล่า”
ไม่ผิดหรอก! นี่ก็คือวิธีการที่เยี่ยเว่ยหมิงใช้แก้ไขผลข้างเคียงของกระบี่ชิงจู๋ ในเมื่ออาวุธที่ชุบพิษหักค่าวีรบุรุษ เช่นนั้นล้างพิษบนนั้นออกก็หมดปัญหาแล้วไม่ใช่หรือ
อย่างไรเสียด้วยสเตตัสของกระบี่ชิงจู๋ ต่อให้ลบรายการดาเมจธาตุพิษออก ก็ยังเป็นกระบี่ล้ำค่าคุณภาพสูงสุดอยู่ดี
แนวคิดนั้นงดงามอย่างไม่ต้องสงสัย แต่คำตอบที่เขาได้รับกลับเป็น “เป็นไปไม่ได้ อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้เป็นเถี่ยจื้ออาจารย์ของข้าก็ทำไม่ได้”
ท่ามกลางสายตาตั้งคำถามของเยี่ยเว่ยหมิง มือกระบี่เฟิงเหลยอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง “กระบี่ชิงจู๋เล่มนี้ใช้กรรมวิธีพิเศษของแดนม้งสร้างขึ้นมา ตอนที่หลอมสร้าง ใช้วิธีลับหลอมแร่โลหะกับพิษให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้โลหะของตัวกระบี่ที่ขึ้นรูปแล้วกลายเป็นเหล็กพิษที่มีพิษร้ายแรงในตัวของมันเอง ตัวกระบี่ทั้งข้างนอกและข้างในล้วนเป็นพิษร้าย แล้วจะล้างออกได้อย่างไร”
“โหดขนาดนี้เชียวหรือ”
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงไม่เชื่อ มือกระบี่เฟิงเหลยก็เลยส่งคำขอเป็นเพื่อนให้เขา จากนั้นส่งข้อมูลจากระบบให้ทีละรายการ [จากการสำรวจของคุณ กรรมวิธีหลอมสร้างกระบี่ชิงจู๋นั้นใช้ของจากแดนม้ง…]
ก็ได้ๆ แค่เห็นว่าเป็นสกิลของระบบเหมือนเวทชันสูตรศพ ก็ถือว่าไม่เลวแล้วจริงๆ
หลังจากรู้ว่าวิธีการล้างพิษออกล้มเหลว เยี่ยเว่ยหมิงก็เดินออกจากกองควบคุมยุทโธปกรณ์ด้วยความจนใจ แล้วใช้พิราบส่งจดหมายกลุ่ม [ใครรู้วิธีเพิ่มค่าสติปัญญากับค่าตระหนักรู้บ้าง]
มือกระบี่เฟิงเหลย [อยากได้ค่าตระหนักรู้ก็ไปเรียนหนังสือ ส่วนสติปัญญานั้นไม่แน่ใจ]
บะหมี่หมั่นโถว [ทักษะยุทธ์พิเศษช่วยเพิ่มสติปัญญา ถ้าอยากได้ค่าตระหนักรู้ก็ไปเรียนหนังสือ]
เจียวไท่หลาง: [สติปัญญาไม่แน่ใจ แต่ที่สำนักหัวซานมีการบ้านให้เรียนทุกวัน ช่วยเพิ่มค่าตระหนักรู้ได้ สำนักของพวกเจ้าไม่มีหรือ]
ซานเย่ว์ […]
โหยวโหยว […]
อินปู้คุย […]
เสวียนเสี่ยวปี่ […]
จ้างเย่ว์ [ข้า XXXXX โว้ย เจ้ามัน XXXXX…]
เยี่ยเว่ยหมิงถือโอกาสบล็อกจ้างเย่ว์ที่พูดจาไม่ไพเราะอีกครั้ง แล้วสรุปข้อความที่ได้รับจากพวกเขา ได้ความว่า ถ้าอยากจะเพิ่มค่าตระหนักรู้ก็ไปเรียนหนังสือ ถ้าอยากเพิ่มสติปัญญา? ขอโทษนะ ฉันก็อยากเพิ่มเหมือนกัน!
มาถึงโรงเรียนของนครหลวงเมืองเปี้ยนเหลียง เยี่ยเว่ยหมิงพบว่าตำราทุกเล่มในนี้ล้วนติดราคาไว้ชัดเจน
[ร้อยสกุล: 100เหรียญทอง!]
[วินัยศิษย์: 300เหรียญทอง!]
[คัมภีร์สามอักษร: 300เหรียญทอง!]
[ทำนองคู่ลี่เวิง: 400เหรียญทอง!]
……
……
[ตำราพันอักษร: 1000 เหรียญทอง!]
[อธิศาสตร์: 2000 เหรียญทอง!]
[คัมภีร์ทางสายกลาง: 3000 เหรียญทอง!]
[คัมภีร์หลุนอวี่: 4000 เหรียญทอง!]
[เมิ่งจื่อ: 5000 เหรียญทอง!]
[คัมภีร์ซือจิง…]
……
เมื่อเห็นราคาของตำราเรียนคลาสสิกเหล่านั้น แล้วมองดูเงินอันน่าสงสารของตัวเองที่มีไม่ถึงยี่สิบเหรียญ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกว่าตัวเองแย่แล้ว
ร้อยสกุลราคาหนึ่งร้อยเหรียญทอง ตำราพันอักษรราคาหนึ่งพันเหรียญทอง พวกนายเรียนหนังสือที่นี่จะต้องเก็บเงินตามตัวอักษรหรือไง
แบบว่าตัวอักษรละหนึ่งเหรียญทองน่ะ!
ใครมันบอกว่าคนจนเรียนบุ๋นคนรวยเรียนบู๊ ยืนขึ้นมาหน่อยเถอะ ฉันรับรองว่าจะตบให้ตายเลย!
[1] จอมยุทธ์หญิงกัวเซียง 郭襄 หรือที่รู้จักกันในชื่อก๊วยเซียง