ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 472 วิเคราะห์ความจริงอย่างละเอียด
ตอนที่ 472 วิเคราะห์ความจริงอย่างละเอียด
“นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ตำรากระบี่ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ นั่น มีเจ้าของไปเล่มหนึ่งแล้ว ตั้งแต่เริ่มภารกิจจนถึงตอนนี้ เพิ่งใช้เวลาไปประมาณสองชั่วโมงเท่านั้น”
เฟยอวี๋ส่าหน้าถอนหายใจ แล้วจู่ๆ ก็หันไปมองเยี่ยเว่ยหมิงด่วยสีหน้ามีเลศนัย พร้อมถามว่า “เป็นอย่างไร ความรู้สึกเวลาโดนคนอื่นชิงตัดหน้าตอนทำภารกิจ”
สำหรับคำพูดหยอกล้อของเฟยอวี๋ เยี่ยเว่ยหมิงทำได้เพียงตอบเสียงเรียบ “สมเหตุสมผลแล้ว”
เฟยอวี๋ได้ยินแล้วอึ้ง “ฟังจากที่เจ้าพูด เจ้ารู้จักเจ้าหมอนั่นหรือ เขาเก่งมากใช่ไหม”
“ไม่ใช่ปัญหาว่าเก่งหรือไม่เก่ง” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างสับสน “ถ้าจะพูดให้ถูก ควรจะบอกว่าเขาไม่ธรรมดา”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วก็เล่าเรื่องที่หุบเขาว่านเจี๋ยก่อนหน้านี้ให้เฟยอวี๋ฟังรอบหนึ่ง ก่อนจะเสริมว่า “ตามต้นฉบับเดิม ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ เป็นความลับที่ต้วนอวี้ครอบครองคนเดียว สาเหตุที่จิวหมัวจื้อได้ไป คำอธิบายเดียวที่สมเหตุสมผลก็คือ มีผู้เล่นบางคนมีบทบาทสำคัญในภารกิจเนื้อเรื่องครั้งนี้…
…ซึ่งผู้เล่นที่เข้าร่วมภารกิจครั้งนี้ยังยืนอยู่ฝั่งจิวหมัวจื้อด้วย ที่ข้ารู้จักมีแค่พวกเขาสามคนเท่านั้น”
“ไม่ใช่สี่คนหรือ” เฟยอวี๋งง
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า “ต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียงเป็นศิษย์ของสกุลต้วนต้าหลี่ แม้จะร่วมมือบางอย่างกับอีกฝ่ายได้ แต่ทรยศสำนักไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน ถึงอย่างไรก็เกิดความเสียหายเยอะเกินไป…
…ดังนั้น คนที่แสดงบทบาทในภารกิจนี้ได้ก็เหลือแค่สามคน เชิญร่ำสุรา เมฆเคลื่อนเดียวดาย แล้วก็ข้ากำลังหาของ”
พอพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่สนใจเฟยอวี๋อีก เขานำกระดาษสีขาวที่เขียนอะไรไว้เต็มออกมาจากกระเป๋า บนนั้นเขียนอักษรหลายแถวเชื่อมต่อกัน กระดาษถูกวาดยั้วเยี้ยไปหมด หลังจากเฟยอวี๋กวาดตามองแวบหนึ่ง ก็อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ว่า “นี่คือ…แผนผังความคิด?”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าโดยไม่ตอบอะไร แต่เปิดอ่านหน้าแรกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ย้ายสายตาไปบนแผ่นที่สอง บนแถวที่เขียนว่า ‘ถ้าเป็นข้า…’
ขณะที่อ่านตัวหนังสือเหล่านี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็เปรียบเทียบสิ่งที่ตัวเองเดาก่อนหน้านี้กับสถานการณ์ต่างๆ ในตอนนี้
หลังจากตัดคำตอบบางอย่างที่ผิดออก ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ก็เพิ่มมากขึ้น
พอนึกเรื่องพวกนี้ได้ เยี่ยเว่ยหมิงก็หาต้นไม้ใหญ่เสียเลย จากนั้นใช้กระบี่ตัด แล้วกางแผนผังความคิดลงบนนั้น
เขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ ขณะที่เก็บกระบี่ชิงชัย ก็นำดาบธรรมจักรใหญ่ที่เพิ่งได้ตอนฆ่ามอนสเตอร์ก่อนหน้านี้ออกมา แล้วโยนให้เฟยอวี๋ที่อยู่ข้างกาย “ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เจ้ายังใช้ดาบที่ดรอปได้จากเหยียนจีตอนนั้นอยู่อีกหรือ เป็นคนเรียบง่ายเหมือนกันนะ ดาบนี้ข้าเพิ่งได้มาจากพระทิเบตเลเวลเจ็ดสิบ ข้าให้เจ้า”
“เอามันไป คอยปกป้องข้าด้วย” ในเมื่อให้ค่าตอบแทนไปแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็กำชับเฟยอวี๋อย่างไม่เกรงใจเช่นกัน “อย่าให้พระทิเบตที่รีเฟรชออกมาใหม่รบกวนความคิดของข้า”
ขณะที่พูดอยู่นั้น เขาก็นำพู่กันกับหมึกออกมาแล้ว เขาหยิบกระดาษสีขาวแผ่นใหม่ออกมา แล้วคัดลอกเนื้อหาส่วนที่ผ่านการตรวจสอบจากแผนผังความคิดแผ่นแรกลงไป จากนั้นวาดเส้นบนเครื่องหมายคำถามเหล่านั้นเยอะขึ้น แล้วเขียนความเป็นไปได้ต่างๆ ที่ตัวเองคิดออกไว้บนนั้น
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังมีสมาธิกับการเขียนแผนผังความคิดของเขา เฟยอวี๋ก็ถืออาวุธชิ้นใหม่อย่างดีอกดีใจพุ่งเข้าไปสังหารพระทิเบตเลเวลหกสิบห้าที่รีเฟรชออกมาใหม่บริเวณนั้น
ข้างหูมีเสียงต่อสู้ดังขึ้นไม่หยุด แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็จดจ่ออยู่กับการวาดแผนผังความคิดเท่านั้น
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงเขียนความเป็นไปได้ที่ตัวเองคิดออกเสร็จหมดแล้ว กระดาษแผ่นนั้นก็ถูกลายมือที่เหมือนหัวแมลงวันของเขาเขียนไว้เกินครึ่งแล้ว
เสร็จแล้วเขาก็เขียนสรุปไว้ใต้ตัวอักษรเหล่านั้นอีก
ผู้เล่นสี่คนนี้มีความสัมพันธ์ด้านการร่วมงานที่มั่นคง ตอนนี้ยังไม่พบช่องโหว่ที่ชัดเจน แต่ระหว่างพวกเขากับจิวหมัวจื้อ กลับเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง วินาทีที่ตำรากระบี่ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ ออกจากวัดเทียนหลง พวกเขาสี่คนก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นหนึ่งในผู้แย่งชิงตำรากระบี่เหล่านั้นแล้ว!
เยี่ยเว่ยหมิงหยุดพู่กัน ยกมุมปากเผยรอยยิ้มสื่อว่าเข้าใจ
ตอนแรกยืมมือจิวหมัวจื้อปลดล็อคกิจกรรมตำรากระบี่ก่อน จากนั้นอาศัยความได้เปรียบที่สะสมมาก่อนหน้านี้ทำให้มันกลายเป็นของตน
เป็นสไตล์ของเชิญร่ำสุราจริงๆ
เขาแสดงอานุภาพของความเอาแน่เอานอนไม่ได้ออกมาจนถึงที่สุด!
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า เก็บสำรวมอารมณ์สะท้อนใจ แล้วเขียนตัวอักษรอีกสองแถวใต้เครื่องหมายคำถาม
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าข้าคือพระทิเบตที่พกตำรากระบี่
ถ้าข้าคือผู้ออกแบบเกม
อิงตามสมมติฐานสองข้อนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็เขียนความเป็นไปได้ทั้งหมดออกมาอีกครั้งราวกับเลียนแบบของเดิม
หลังจากผ่านไปอีกพักหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงก็เขียนทุกสิ่งที่ตัวเองจินตนาการได้จนเสร็จแล้วกวาดสายตามองทั้งกระดาษอีกครั้ง ดวงตาทั้งคู่กลับลุกวาว
“เรื่องการแย่งชิงตำรากระบี่ แม้ข้าจะไม่ได้วางแผนมานานเหมือนพวกเชิญร่ำสุรา แต่ก็มีความได้เปรียบโดยธรรมชาติแน่นอน แต่ถ้าวิเคราะห์จากส่วนที่ตัวเองรู้…บางทีตรงนั้นอาจจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด!”
“อ้อ?” พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงมั่นใจในตัวเองขนาดนี้ เฟยอวี๋ก็อดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “นี่เจ้าเจอเบาะแสแล้วหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้าแล้วอธิบายว่า “เกี่ยวกับภารกิจ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยมีประสบการณ์กับตัว อีกทั้งพระทิเบตที่เป็นลูกสมุนของจิวหมัวจื้อ ข้าก็ยิ่งมีข้อมูลเป็นศูนย์…
…แต่ถ้าข้าเดาไม่ผิด มีความเป็นไปได้สูงว่าที่นั่นจะมีตำรากระบี่อยู่เล่มหนึ่ง…
…แน่นอน ในเมื่อมันมีอยู่ แต่ก็มีแค่เล่มเดียวอยู่ดี” เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “ถ้าจะให้หาโอกาสตามก้นเจ้าพวกนั้น ไม่สู้ข้าลองทำตามวิธีคิดของตัวเองก่อนดีกว่า ข้าจะไปดูก่อน รอข้ากลัมาแล้วเราค่อยร่วมงานกัน…
…ข้าบอกแล้ว ตำรากระบี่มีเพียงเล่มเดียว แล้วพวกเราจะแบ่งกันอย่างไร” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แต่กลับโอบไหล่เฟยอวี๋ แล้วพูดข้างหูเขาว่า “แทนที่จะมาคิดถึงตำรากระบี่ที่ไม่รู้ว่าข้าจะหาเจอหรือเปล่า ข้าว่าเจ้าแสดงทักษะที่ได้เปรียบของตัวเองดีกว่าไหม ลองเปลี่ยนแนวคิดดูสักหน่อย”
เฟยอวี๋ได้ยินแล้วตาเป็นประกาย “เปลี่ยนอย่างไร”
“ชื่อที่ข้าพูดถึงก่อนหน้านี้ เจ้าจำได้หมดแล้วใช่ไหม” เยี่ยเว่ยหมิงยิ้ม “ถ้าข้าเป็นเจ้านะ ในเมื่อไม่มีทางตามหาพระทิเบตที่พกตำรากระบี่ได้ ก็จะลองสะกดรอยตามพวกเขาที่มีโอกาสหาเจอมากกว่าแทน…”
ขณะที่พูดเขาก็คลายมือออกจากบ่าเฟยอวี๋ ร่างลอยไปไกลหลายจั้ง ปลายเท้าแตะบนกิ่งไม้ใต้เนินเขาเบาๆ หนึ่งที ปะทุความเร็วตอนพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงวิ่งเร็วเหมือนบินได้ เฟยอวี๋ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ กรอกชื่อของเชิญร่ำสุราใส่ในคอลัมน์สกิล จากนั้นก็เปิดใช้งานทักษะสืบเสาะหมื่นลี้ ไม่นานก็ได้รับแจ้งเตือนพิกัดจากระบบที่แม่นยำมาก…
เป้าหมายกำลังออกเดินทางจากเขาหมานจวน จากนั้นเคลื่อนที่ไปทางเขาหม่างจือ แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าปลายทางของเขาจะเป็นเขาจิ่งม่าย…