ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 479 ทุบหม้อข้าวจมเรือ
ตอนที่ 479 ทุบหม้อข้าวจมเรือ
ตราบชั่วฟ้าดิน!
เมื่อใช้วิชานี้แล้ว ก็จะกำจัด buff! ประเภทควบคุมทั้งหมดบนตัวในชั่วพริบตาเดียว
แต่ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งจะทลายจุด ข้างหูกลับมีเสียงแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นต่อเนื่องหลายครั้ง พร้อมทั้งมีพิราบสื่อสารฝูงใหญ่บินมาจากสี่ด้านแปดทิศ พุ่งเข้ามาในร่างกายเขาพร้อมกัน
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงย่อมไม่มีเวลาไปสนใจประเภทของพิราบสื่อสารอยู่แล้ว วินาทีต่อมาหลังจากทลายจุดได้ เขาก็ปล่อยมือออกจากไม้พายทันที จากนั้นตบสองมือออกมาพร้อมกัน ทำลายไม้กระดานเรือที่อยู่ใต้เท้า
ทันใดนั้น เสียงมังกรคำรามเสียงสูงก็ดังก้องทั่วผิวน้ำ ทำให้จิวหมัวจื้อที่กำลังหลับตานั่งสมาธิตกใจตื่น
สะท้านขวัญร้อยลี้!
กรรร!
บึ้ม!
ท่าสะท้านขวัญร้อยลี้มีอานุภาพน่าตื่นตกใจมาก ทั้งยังเป็นกระบวนท่าที่มีประสิทธิภาพสูงสุดใน ‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ของเยี่ยเว่ยหมิงตอนนี้ ซึ่งเรือน้อยของอาปี้ทำจากไม้ธรรมดาเท่านั้น มีหรือที่จะทนรับพลังอันน่าหวาดกลัวของสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรได้
ภายใต้การโจมตีนี้ เรือทั้งลำจึงแตกกระจายเป็นสี่ห้าส่วน เหลือเพียงตัวเรือครึ่งเดียวเท่านั้น ทำให้เรือจมลงอย่างรวดเร็ว
ซึ่งหลังจากใช้ฝ่ามือนี้ถล่มแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ใช้มือซ้ายคว้าเอวของอาปี้พร้อมออกแรงที่เท้า อาศัยแรงส่งจากเศษไม้ที่อยู่ใต้เท้าย่ำวิ่งไปทางหัวเรือ
ขณะที่ตัวลอยอยู่กลางอากาศ กระบี่แสงทองก็อยู่ในฝ่ามือเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว จากนั้นท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของอาปี้ เขาหมุนคมกระบี่แทงลงไปที่ท้องน้อยของตัวเองอย่างโหดเหี้ยม
ฉึก!
-1875
อั้ก!
เพื่อรับประกันว่าครั้งนี้จะไม่เกิดความผิดพลาด เยี่ยเว่ยหมิงรอให้เรือแล่นออกจากฝั่งไปไกล รอให้มองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นแผ่นดินก่อนถึงได้ลงมือ ซึ่งเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์นี้ แม้จิวหมัวจื้อจะอาศัยวิชาตัวเบากระโดดขึ้นบนฝั่งได้โดยตรง แต่ถ้าจะให้พาเยี่ยเว่ยหมิงไปด้วยก็ย่อมทำไม่ได้แล้ว
ตอนที่ออกมาไกลหกเจ็ดจั้ง เยี่ยเว่ยหมิงและอาปี้ที่อยู่ในมือเขาก็กระโดดลงน้ำพร้อมกัน
แต่ไม่นานทั้งสองก็ลอยขึ้นมาเหนือน้ำอีกครั้ง
เยี่ยเว่ยหมิงแม้ตอนอยู่ในเกมจะไม่เคยเรียนทักษะการว่ายน้ำมาก่อน แต่ก่อนเข้ามาในเกม เขาก็ยังพอถูไถลอยตัวอยู่ในน้ำได้นิดหน่อย เมื่อตกน้ำจึงไม่ถึงขั้นจมน้ำตาย
ส่วนอาปี้ เดิมทีก็เป็นสตรีที่ใช้ชีวิตอยู่ริมน้ำอยู่แล้ว ว่ายน้ำเก่งกว่าเยี่ยเว่ยหมิงไม่รู้ตั้งเท่าไร
หลังจากโผล่หัวขึ้นมา อาปี้ก็อดจ้องเยี่ยเว่ยหมิงด้วยสายตาโกรธเคืองไม่ได้ “ท่านบ้าไปแล้วหรือ! เหตุใดต้องทำลายเรือของข้า…
…ทำลายเรือก็ว่าหนักแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะแทงตัวเองด้วย…จะว่าไปแล้ว ท่านคงไม่ใช่คนบ้าหรอกใช่ไหม”
“ข้าดูเหมือนคนบ้ามากเลยหรือ” ขณะใช้สองเท้าย่ำน้ำ เยี่ยเว่ยหมิงก็ตอบเหมือนไม่ใส่ใจว่า “เมื่อครู่ข้าเพิ่งใช้กระบี่แทงตัวเอง เจ้าเข้าใจว่าเป็นผลข้างเคียงจากการใช้วิธีการรุนแรงคลายจุดก็แล้วกัน
…ส่วนที่ถามว่าทำไมข้าถึงทำลายเรือของเจ้า…เรื่องนี้ต้องขอโทษจริงๆ…
…พระรูปนั้นจะพาข้าไปเผาตรงหน้าหลุมศพของมู่หรงปั๋ว เพื่อปกป้องตัวเอง ข้าทำได้เพียงใช้แผนการระดับต่ำแบบนี้”
กล่าวจบแล้วก็เสริมอีกว่า “ดังนั้น ก่อนที่ข้าจะลงมือ ข้าจึงตั้งใจถามราคากับเจ้า เพื่อดูว่าตัวเองจะชดใช้ไหวหรือไม่”
“ท่านนี่ช่าง…” ขณะที่พูด หางตาอาปี้ก็ชำเลืองไปทางจิวหมัวจื้อแวบหนึ่ง นางอดถามไม่ได้ว่า “แล้วจะทำอย่างไรกับพระรูปนั้น”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วใช้มือพายน้ำ ปรับมุมของตัวเองตอนอยู่ในน้ำ ถึงได้เห็นชัดว่าตอนนี้จิวหมัวจื้อยังอยู่บนเรือ
ที่จริงแล้ว ต่อให้เรือเล็กถูกเยี่ยเว่ยหมิงทำลายเป็นสองท่อน แต่ก็ไม่ได้จมลงทันที เนื่องจากมีน้ำพยุงอยู่ หัวเรืออีกฝั่งจึงกระดกขึ้นมา จากนั้นค่อยจมลงอย่างช้าๆ
จิวหมัวจื้อถอยไปทางหลังคาบนหัวเรือตลอด ขณะมองเยี่ยเว่ยหมิงที่อยู่ไกลๆ ก็โมโหจนกระทืบเท้า แต่สิ่งที่ทำให้เขาร้อนใจกว่าก็คือ เมื่อเรือเล็กจมลงเรื่อยๆ เขาก็ไม่มีที่ให้เหยียบแล้ว
ถ้าไม่มีอะไรผิดคาด ก็ต้องจมลงน้ำไปพร้อมกับเรือแล้วกินน้ำจนอิ่ม
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็อดแสยะยิ้มไม่ได้ “ตอบแทนความแค้นด้วยคุณธรรม เหตุใดต้องตอบแทนด้วยคุณธรรม ดังนั้นวิญญูชนควรใช้การลงโทษตอบแทนความแค้น ใช้คุณธรรมตอบแทนคุณธรรม…
…ในเมื่อพระรูปนั้นต้องการจะนำข้าไปฌาปนกิจ เช่นนั้นตอนนี้เขากำลังประสบภัย ข้าก็สนองตอบด้วยมารยาท ทำพิธีศพทางน้ำให้เขาก็แล้วกัน…
…แม่นางอาปี้รอสักครู่ หลังจากเขากินน้ำอิ่มแล้ว ข้าจะไปทำให้เขาตาย จากนั้นก็จะซื้อเรือลำใหม่มาชดใช้ให้เจ้า”
พอได้ยินเยี่ยเว่ยหมิงบอกว่าจะฆ่าคน แม้ในใจอาปี้จะทนไม่ได้ แต่พอนึกถึงความสัมพันธ์ที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่งของพวกเขาสองคน นางก็รู้เช่นกันว่าถ้าวันนี้โน้มน้าวให้เยี่ยเว่ยหมิงมีเมตตาก็อาจจะเป็นการทำร้ายเขา หลังจากลังเลซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดนางก็เอ่ยปากแล้ว
ตอนนี้ เรือที่อยู่ใต้เท้าจิวหมัวจื้อจมลงใต้น้ำโดยสมบูรณ์แล้ว เหลือเพียงพระรูปนั้นที่ดิ้นรนอยู่บนผิวน้ำ
เยี่ยเว่ยหมิงถือว่ามองออก ว่าพระรูปนี้ว่ายน้ำไม่เป็นเลยสักนิดจริงๆ ตอนนี้ยิ่งเข้าดิ้นรนมากเท่าไร ก็ยิ่งตายไวมากเท่านั้น
ขณะมอง BOSS ที่เลเวลร้อยกว่ากำลังจะหมดความสามารถในการดิ้นรน เยี่ยเว่ยหมิงก็เตรียมตัวพร้อมว่ายน้ำเข้าไปหาทุกเมื่อ เพื่อดรอปของจากตัว BOSS ใหญ่คนนี้
สิ่งเดี่ยวที่น่าเสียดายก็คือ โลงไม้หนานมู่กับโลงหยกขาวที่เขาสั่งซื้อที่ร้านขายโลงศพฉี่หลิงก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาสั่งล่วงหน้าสามวัน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลารับของ
ดังนั้นศพของพระรูปนี้ เขาทำได้เพียงใช้โลงไม้หวงฮว่าระดับรองลงมาแก้ขัดไปก่อน หลับหูหลับตารับผลตอบแทนไปยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ถือว่าน่าเสียดาย
เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้รีบลงมือ
ถึงอย่างไรเลเวลของจิวหมัวจื้อก็เห็นๆ กันอยู่ แม้ตอนนี้จะตกน้ำ แต่พลังโจมตีของเขาไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ถ้าบุ่มบ่ามเข้าไปใกล้ ไม่แน่ว่าอาจจะโดนอีกฝ่ายเล่นงานก็ได้
ดังนั้น รอให้เขาจมน้ำก่อนแล้วค่อยเข้าไปดีกว่า
จนกระทั่งตอนนี้ เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้เจียดเวลามองหลังบ้านของระบบแวบหนึ่ง แต่กลับพบว่าพิราบสื่อสารที่ส่งมาก่อนหน้านี้ล้วนเป็นคำยินดีที่ส่งมาจากเหล่าสหาย ยินดีที่เขาได้รับสุดยอดวิชาและถือโอกาสขอให้เขาเลี้ยงข้าว
ซึ่งเสียงแจ้งเตือนของระบบที่มาเป็นชุดนั่น ทั้งหมดกลับเป็นคำขอเป็นเพื่อน ไม่ต้องถามก็รู้แล้วว่าต้องเป็นผู้เล่นเงินหนาที่มาขอซื้อตำรากระบี่แน่นอน
เยี่ยเว่ยหมิงถือโอกาสอ่านผ่านๆ ตอนที่ตอบกลับจดหมาย แต่กลับพบว่านอกจากรายชื่อมากมายที่เขาไม่รู้จัก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีชื่อที่คุ้นเคยปะปนอยู่ในนั้นด้วย
เชิญร่ำสุรา!
เจ้าหมอนี่เตรียมจะมาหาข้าทำไม
ด้วยความสงสัย เยี่ยเว่ยหมิงตอบรับคำขอเป็นเพื่อนจากเชิญร่ำสุรา
หลังจากผ่านไปครึ่งนาที เชิญร่ำสุราก็ส่งพิราบสื่อสารตัวแรกมา “ยินดีกับสหายเยี่ยที่ได้ ‘กระบี่จงชง’ นำหน้าพวกเราไปก้าวหนึ่ง หากเดาไม่ผิด เจ้าก็คงถูกจิวหมัวจื้อลักตัวเหมือน ‘เมฆเคลื่อนเดียวดาย’ สินะ”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าก็รู้จักจิวหมัวจื้อเหมือนกันหรือ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เมฆเคลื่อนเดียวดายกับต้วนอาทิตย์อัสดงไร้ซุ่มเสียงก็ต้องมีอย่างน้อยคนหนึ่งที่เลือกเรียนตำรากระบี่ไปแล้ว?”
พิราบสื่อสารของเชิญร่ำสุราโผล่มาอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้ตอบคำถามเยี่ยเว่ยหมิง เขาถามอีกว่า “ผลลัพธ์ทางฝั่งสหายเยี่ยเป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยเว่ยหมิงจะส่งข้อความไปอีก เตรียมจะหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากปากอีกฝ่าย แต่จู่ๆ กลับเห็นสตรีชุดแดงนั่งอยู่บนหัวเรือ นางกำลังพายเรือพร้อมร้องเพลง
“ให้เราขยับไม้พายคู่กัน เรือน้อยลอยฝ่าคลื่น…”