ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 494 โหยวโหยวขี่อินทรีขาว
ตอนที่ 494 โหยวโหยวขี่อินทรีขาว
สระจระเข้แม้จะตั้งชื่อว่าสระ แต่ความจริงกลับใช้เรียกรวมบริเวณรัศมีหลายลี้ที่มีสระน้ำเล็กๆ เป็นจุดศูนย์กลาง
ในชีวิตจริงต้องไม่มีสถานที่แบบนี้อยู่แน่นอน แต่ในเกม ที่นี่กลับเป็นจุดฝึกอัปเลเวลชั้นดีที่รีเฟรชจระเข้เลเวลเจ็ดสิบออกมาจำนวนมาก
เนื่องจากเลเวลของผู้เล่นทั่วไปตอนนี้อยู่ที่สี่สิบถึงห้าสิบ สำหรับผู้เล่นส่วนใหญ่ จุดอัปเลเวลนี้มีมอนสเตอร์ที่เลเวลสูงเกินไปหน่อย
ซึ่งยอดฝีมือที่มีความสามารถในการฝึกอัปเลเวลที่นี่ ส่วนใหญ่ก็ยุ่งอยู่กับการทำภารกิจและฆ่า BOSS ดังนั้นที่สระจระเข้แห่งนี้แทบจะเป็นพื้นที่รกร้างที่ไม่มีผู้เล่นสนใจ
สอดคล้องกับความต้องการของเยี่ยเว่ยหมิง ‘คนน้อยมอนสเตอร์เยอะ’
หลังจากเข้ามาในอาณาเขตสระจระเข้แล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็หาพื้นที่ที่มีบริเวณค่อนข้างกว้าง แล้วเริ่มฆ่ามอนสเตอร์เลเวลเจ็ดสิบพวกนั้นอย่างใจจดใจจ่อทันที
เนื่องจากจุดประสงค์หลักที่มาในวันนี้ไม่ใช่เพื่ออัปเลเวล แต่เพื่อทดลองต่อสู้จริงตามที่ตัวเองจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพอย่างละเอียด
ดังนั้นเยี่ยเว่ยหมิงจึงไม่ได้ฆ่ามอนสเตอร์เร็วมาก แต่การลงมือโหดเหมือนเสือ เกิดความเคลื่อนไหวที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินยิ่งกว่า แต่กลับไม่ได้ตบจระเข้ตายสักตัวก็เท่านั้นเอง
ถึงขั้นว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อจะพิสูจน์สิ่งที่คาดเดาบางอย่าง เขาเองก็เกือบพลั้งมือทำตัวเองตาย!
แต่ยังดีที่เขามีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน มีไพ่ลับเยอะมาก ถึงทำให้เขาผ่านวิกฤตอันน่าหวาดเสียวครั้งนั้นมาได้
แล้วก็ผ่านไปแบบนี้เกือบสองวันหนึ่งคืน ค่าประสบการณ์ของเยี่ยเว่ยหมิงเพิ่มขึ้นสามสิบเปอร์เซนต์เท่านั้น
แต่หลังจากทุ่มเทแบบนี้ สุดท้ายก็ทำให้เขาได้พิสูจน์การต่อสู้ท่าต่างๆ ที่ตัวเองเคยจินตนาการไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงขั้นพลิกแพลงท่าได้มากมายตามสถานการณ์จริงที่แตกต่างกัน ทำได้ถึงขั้นแตกฉานแล้ว ถือว่าบรรลุจุดประสงค์ในการเดินทางมาครั้งนี้
ส่วนผลตอบแทนอีกอย่าง ก็คงจะเป็น ‘วิชาควบคุมกระบี่’ ของเขา ระหว่างการทดสอบต่อสู้จริง เขาได้เพิ่มวิชานี้ถึงเลเวลสองอย่างราบรื่น นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมาย
เช้าตรู่วันที่สาม เยี่ยเว่ยหมิงที่อิ่มเอมใจกลับไปที่ร้านขายโลงศพฉี่หลิงในเมืองซูโจวทันที หลังจากจ่ายเงินค้างชำระงวดสุดท้าย ในที่สุดก็ได้เก็บโลงไม้หนานมู่ห้าโลงและโลงหยกขาวหนึ่งโลงที่เฝ้ารอมานานเข้ากระเป๋าแล้ว เสร็จแล้วถึงได้นั่งรถม้าไปที่เจิ้นเจียง
จากนั้นเขาก็กึ่งวิ่งกึ่งบินข้ามหลังคาบ้านจนออกนอกเมืองไป มาถึงจุดที่นัดเจอกับโหยวโหยว…ศาลาห้าลี้
เขาพบว่าอีกฝ่ายยังมาไม่ถึง จึงส่งพิราบสื่อสารบอกอีกฝ่ายเพียงว่า [ข้าถึงแล้ว รอเจ้าอยู่นะ]
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเว่ยหมิงคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากพิราบตัวนั้นบินออกจากมือเขาไปแล้ว มันกลับไม่ได้ไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง แต่บินตรง…ขึ้นฟ้า!
สถานการณ์แบบนี้คืออะไรกัน
หนึ่งในลักษณะพิเศษของพิราบสื่อสาร ก็คือเมื่อส่งออกไปแล้วจะระบุตำแหน่งโดยละเอียดของฝ่ายตรงข้ามทันทีไม่ใช่หรอกหรือ
แต่ตอนนี้พิราบบินขึ้นฟ้าไปแล้ว อย่าบอกนะว่า…โหยวโหยวอยู่บนฟ้า
จะเป็นไปได้อย่างไร
เยี่ยเว่ยหมิงเงยหน้ามองฟ้าด้วยความสงสัย แต่กลับเห็นด้านบนมีอินทรีขาวตัวหนึ่งกำลังบินวน
ทันใดนั้น!
อินทรีขาวก็เหมือนได้รับสัญญาณอะไรบางอย่าง มันร้องเสียงสูงแล้วโน้มตัวลง บินวนลงมาตามแนวเกลียวจนถึงศาลาห้าลี้ด้านล่าง
เมื่ออินทรีขาวตัวนั้นบินต่ำลงเรื่อยๆ ในที่สุดเยี่ยเว่ยหมิงก็พบว่าบนหลังของอินทรีขาวยังมีร่างบางของใครบางคนนั่งอยู่
เขารีบโคจรวิชาไปที่ดวงตาสองข้าง พอเพ่งมองขึ้นไปข้างบน ถึงได้เห็นคนที่นั่งอยู่บนหลังอินทรีชัดเจน เป็นสาวน้อยเลือดเหล็กที่องอาจห้าวหาญ ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักถังเหมิน…โหยวโหยว!
จะว่าไปแล้ว ข้าเพิ่งลองใช้วิธีควบคุมกระบี่บิน แต่ทางเจ้าได้สัตว์ขี่ที่บินได้มาแล้วหรือ
สมกับเป็นโหยวโหยว ถึงแม้จะไม่โผล่มาอยู่ข้างกายข้านานแล้ว แต่ดูท่าทางเจ้าจะใช้ชีวิตได้ไม่เลวเลย!
เมื่ออินทรีขาวบินต่ำลงเรื่อยๆ หน้าตาของโหยวโหยวก็ยิ่งชัดเจนขึ้นในสายตาของเยี่ยเว่ยหมิง เขาถึงขั้นมองเห็นรอยยิ้มที่มั่นใจปนภาคภูมิใจในตัวเองบนใบหน้าสาวน้อยคนนี้
ตอนที่อยู่ในระยะห่างจากพื้นสามจั้ง ร่างมหึมาของอินทรีขาวก็พลันหายไป ทิ้งไว้เพียงโหยวโหยวที่ปรับท่าทางก่อนกระโดดลงพื้นอย่างรวดเร็ว
ดูจากท่าทางตอนกระโดดลงของนาง เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกเกิดความสมดุลในใจทันที
ดูจากท่าทางของนางแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เคยเรียนท่าร่างระดับสูง ในอนาคตถ้าไม่มีอะไรผิดคาด นางก็คงเป็นเหมือนหวังเฟยแห่งอาณาจักรซย่าตะวันตก กระแทกให้พื้นเป็นหลุมด้วยวีธีการของวีรบุรุษ
ได้เจอสหายเก่าอีกครั้ง เยี่ยเว่ยหมิงย่อมทนเห็นอีกฝ่ายปล่อยไก่ไม่ได้อยู่แล้ว จึงก้าวออกมาหนึ่งก้าว พุ่งขึ้นกลางอากาศพร้อมกางแขนสองข้าง เตรียมจะรับโหยวโหยวที่ตกลงจากฟ้าเอาไว้ในอ้อมกอด
โหยวโหยวที่กำลังอยู่กลางอากาศ พอเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา นางก็ยิ้มพร้อมด่าว่า “ไอ้ทะลึ่ง” แล้วยื่นเท้าขวาออกมาเหยียบบนหน้าผากของเยี่ยเว่ยหมิง
“เจ้าช่างไม่แยกแยะว่าใครหวังดี!” เยี่ยเว่ยหมิงเองก็ตั้งใจจะทดสอบฝีมือของโหยวโหยวเช่นกัน จึงยื่นแขนขวาออกมาขวางตรงหน้า รับเท้าของโหยวโหยวไว้ จากนั้นขยุ้มมือออกมาคว้าข้อเท้าของอีกฝ่ายเอาไว้
โหยวโหยวเองก็ไม่แสดงความอ่อนแอ อาศัยที่เยี่ยเว่ยหมิงไม่เคยเรียนวิชาคว้าจับ ใช้สองเท้าเตะไปที่เขาต่อเนื่องเจ็ดที บีบให้เขาต้องใช้แขนป้องไว้อีกครั้ง แต่สาวน้อยเลือดเหล็กคนนี้กลับเหยียบถึงพื้นก่อนแล้ว
“หึหึ! ช่วงนี้เจ้าฝึกวิชาก้าวหน้าไม่น้อยเลยนี่…” ตอนเยี่ยเว่ยหมิงพูดหยอก โหยวโหยวก็กระโดดหมุนตัวไปข้างหลังอย่างสง่างาม ไปตกอยู่บนพื้นที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งจั้ง
“เปลี่ยนกระบวนท่าตอนสู้ระยะประชิดอาจไม่ใช่เรื่องถนัดของข้า แต่ข้าถนัดเปลี่ยนจากต่อสู้ระยะไกลมาเป็นต่อสู้ระยะประชิด เข้ามาเลย!” แม้ปากจะพูดแบบนี้ แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับคว้ามือดึงโหยวโหยวไว้ อีกฝ่ายรู้สึกทันทีว่าถูกมือใหญ่ที่ล่องหนคว้าไว้ แล้วดึงเข้าไปหาจุดที่พบเยี่ยเว่ยหมิง
เอฟเฟ็กต์ของวิชาควบคุมกระบี่หลักๆ แล้วคือการควบคุมกระบี่ แต่ไม่ใช่ว่านอกจากกระบี่แล้วก็จะไม่มีทางควบคุมของอย่างอื่นเลย เพียงแต่ค่าสเตตัสไม่ได้รุนแรงเท่าตอนควบคุมกระบี่
การขยุ้มจับครั้งนี้ของเยี่ยเว่ยหมิงยังรักษาประสิทธิภาพของ ‘วิชาคุมกระเรียน’ ก่อนที่จะรวมวิชาไว้ได้ แต่ถ้าจะดึงโหยวโหยวจากพื้นราบให้มาถึงข้างกาย นั่นก็เป็นเรื่องเหลวไหลแล้ว แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายไร้แรงส่ง ก็ยังดึงนางให้มาถึงตัวเขาได้
“ย้า!”
โหยวโหยวนึกไม่ถึงเลยว่าเยี่ยเว่ยหมิงยังใช้ท่านี้ได้อีก ด้วยความตกใจ นางถึงกับเรียกปืนไฟที่เยี่ยเว่ยหมิงเคยให้นางก่อนหน้านี้ออกมาแล้ว จากนั้นเล็งไปทางเยี่ยเว่ยหมิง ยิง ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ต่อเนื่องสามนัด
ความเร็วของกระสุนปืนไฟในเกมย่อมเทียบกับกระสุนในชีวิตจริงไม่ได้อยู่แล้ว แต่ความเร็วเหนือกว่าธนูหน้าไม้ทั่วไปแน่นอน
เพียงแต่ในสายตาของเยี่ยเว่ยหมิง ความเร็วของกระสุนพวกนี้กลับไม่ถือว่าเร็วมาก เขาถึงขั้นอาศัยโบนัสค่าสเตตัสว่องไวสองเท่าของ ‘เงาของเทพกระบี่’ ตัดสินวิถีของกระสุนแต่ละนัดได้อย่างชัดเจน
อิงตามการตัดสินของเยี่ยเว่ยหมิง กระสุนสามนัดที่โหยวโหยวยิงออกมากลับเฉียดชายเสื้อของเขาไปเจอกับความว่างเปล่า เป้าหมายของนางเพียงอยากขัดจังหวะการใช้ ‘วิชาควบคุมกระบี่’ ของเขา ไม่ได้จะทำให้เขาบาดเจ็บ
เยี่ยเว่ยหมิงเห็นแล้วยิ้มทันที ตอนที่เขาหยุดควบคุมวัตถุกลางอากาศ ก็โบกฝ่ามือซ้ายออกมาเบาๆ ตามด้วยเสียงมังกรคำราม กำลังภายในที่ทรงพลังก่อตัวเป็นกำแพงตรงหน้าเขาทันที ทำให้กระสุนสามนัดกระเด็นออกไปหมด
ซึ่งตอนนี้ร่างของโหยวโหยวเหยียบลงพื้นอย่างสง่างามแล้ว
นางบอกว่า “‘สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกร’ ของเจ้านี่ใช้คล่องขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ แต่นึกไม่ถึงว่าใช้ป้องกันกระสุนของข้าได้ด้วย”
เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “เมื่อครู่เจ้าก็น่าจะไม่ได้ทำสุดความสามารถสินะ ในเมื่อเจ้ามีสัตว์เลี้ยงมีปีกแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าด้วยสติปัญญาของเจ้า จะไม่ยอมใช้ข้อได้เปรียบนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”
โหยวโหยวได้ยินแล้วกลับโบกมือ “พวกกลิ้งไม้ ผลักหินลงมาโจมตี ยาพิษอะไรพวกนั้น ข้าไม่ใช้มันทักทายสหายหรอก นี่คือของที่เจ้าต้องการ”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น นางก็นำของที่คล้ายกับเก้าอี้ออกมา โครงสร้างภายนอกของมันเป็นรูปทรงกลม ด้านบนสุดยังมีด้ามจับพิเศษที่ทำจากวัตถุพิเศษด้วย
นางถามอย่างสงสัยว่า “ถึงข้าจะประดิษฐ์ได้แล้ว แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าของสิ่งนี้เอาไว้ใช้ทำอะไรกันแน่ ในเมื่อไม่รู้ว่าใช้งานอะไร ข้าก็ย่อมตัดสินไม่ได้ว่างานของตัวเองมีข้อเสียหรือเปล่า”
นางชะงักไปครู่เดียวแล้วพูดต่อ “จะว่าไปแล้ว เจ้าตั้งใจให้ข้าช่วยประดิษฐ์ของแบบนี้ เจ้าเตรียมจะนำไปใช้ทำอะไรกันแน่”
ที่จริงก่อนจะมาเจอโหยวโหยว เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ถือสาที่จะแสดงความคิดสร้างสรรค์โฉมใหม่ของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้เลย
แต่หลังจากเห็นภาพอันน่าตื่นตาตอนที่นางขี่อินทรีขาว เขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเรียกว่าความคิดสร้างสรรค์ เรียกว่าเล่นตลกจะเหมาะกว่า
ดังนั้นหลังจากตรวจสอบคุณภาพของเก้าอี้พิเศษตัวนี้อย่างง่ายๆ แล้ว เขาก็เก็บมันไว้แล้วตอบอย่างคลุมเครือ “ตอนนี้ยังแสดงให้เห็นไม่ได้” ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นทันที “แต่จะว่าไปแล้ว ตอนเจ้าขี่อินทรีขาวปรากฏตัวก่อนหน้านี้เท่จริงๆ ข้าก็มีสัตว์เลี้ยงบินได้ตัวหนึ่งเหมือนกัน ตัวไม่เล็กกว่าอินทรีขาวของเจ้าเลย แต่ข้าลองขี่มันหลายครั้งแล้ว กลับทรงตัวไม่ได้!”
สำหรับปัญหาที่เยี่ยเว่ยหมิงพูดถึง โหยวโหยวตอบอย่างตรงไปตรงมามากว่า “ถ้าอยากขี่เสี่ยวไป๋ของข้า เลเวลขี่สัตว์ก็ต้องเกินเจ็ดขึ้นไป สัตว์เลี้ยงมีปีกของเจ้าก็คงพอๆ กันใช่ไหม แล้วเลเวลวิชาขี่สัตว์ของเจ้าเท่าไรแล้ว”
วิชาขี่สัตว์?
ข้าเคยเรียนของพวกนั้นเสียที่ไหนกัน!
รู้สึกว่าประเด็นสนทนานี้ค่อนข้างน่าอึดอัด เยี่ยเว่ยหมิงจึงเปลี่ยนประเด็นเสียเลย “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะมารทำภารกิจแถวๆ เจิ้นเจียงเหมือนกัน มีอะไรให้ข้าช่วยไหม”
ขณะที่พูด เขาก็ยังไม่ลืมตบอกรับประกัน “ถ้าอยากได้ผู้ช่วยที่แข็งแกร่ง ข้ายอมรับว่าข้าก็ยังพอไหว”
โหยวโหยวได้ยินแล้วกลับส่ายหน้าเล็กน้อย “ฝีมือของอีกฝ่ายแข็งแกร่งก็จริง แต่ข้าก็ยังอยากลองแก้ปัญหาด้วยตัวเองมากกว่า ถ้าสู้ไม่ไหวจริงๆ ค่อยไปหาเจ้าก็ยังไม่สาย”
เปลี่ยนประเด็นสนทนาสำเร็จแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วคุยกับนางถึงเหตุการณ์ระหว่างที่แยกกันไป พอได้รับพิราบสื่อสารที่น้องดาบส่งมา เขาก็กล่าวอำลาโหยวโหยวทันที ใช้ท่าร่างวิ่งตรงไปยังบ้านเทพสุรา
ขณะมองส่งเงาร่างของเยี่ยเว่ยหมิงหายไปจากสายตา โหยวโหยวก็ปลุกความกระปรี้กระเปร่าในตัวเองอีกครั้ง นางโบกมือเรียกเสี่ยวไป๋อินทรีขาวของนางออกมาแล้วกระโดดขึ้นหลังมัน ขี่ไปยังสถานที่ทำภารกิจของนาง เป็นเกาะเล็กๆ กลางแม่น้ำที่ชื่อว่าเกาะควันม่วง