ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 607 Penta Kill!
ตอนที่ 607 Penta Kill!
เยี่ยเว่ยหมิงเสนอแล้วว่าจะสู้แบบหนึ่งต่อห้า ทำให้ผู้เล่นทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมทั้งรวมทั้งเครื่องสังหารรุ่นสามพันพูดไม่ออก
สาเหตุไม่ใช่เพราะอย่างอื่น แต่เพราะพวกเขาไม่มีความมั่นใจที่จะสู้กับเยี่ยเว่ยหมิง!
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน คนพวกนี้อาจจะไม่สนใจก็ได้ว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะเป็นอย่างไร
แต่เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ศึกตัดสินของการประลองใหญ่หมอกพิรุณถ่ายทอดสดให้ผู้เล่นดูเกือบครึ่งเซิร์ฟเวอร์
สำหรับหนึ่งกระบี่สะท้านฟ้าที่เยี่ยเว่ยหมิงใช้ในศึกตัดสิน ไม่มีใครคิดว่าตัวเองจะต้านไหว
ก่อนหน้านั้นทุกคนได้รู้จักอานุภาพของค่ายกลเจ็ดดาวเหนือจากสำนักฉวนเจินมาแล้ว
ในการประลองของดันเจี้ยนแรก BOSS เลเวลแปดสิบที่เผชิญหน้ากับค่ายกลเจ็ดดาวเหนือก็ไม่ต่างอะไรกับเนื้อชิ้นหนึ่งในเครื่องบดเนื้อ ถูกเจ็ดศิษย์ฉวนเจินสังหารอย่างง่ายดายโดยไร้ความสามารถโต้ตอบใดๆ
ทว่าค่ายกลใหญ่ที่เหมือนเครื่องบดเนื้อกลับพังทลายลงในชั่วพริบตาเดียวเพียงเพราะหนึ่งกระบี่ของเยี่ยเว่ยหมิง สี่ในเจ็ดคนถูกปลิดชีพ!
ยามเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้เล่นเลย ต่อให้เป็น NPC ที่อยู่ตรงนั้น จะมีสักกี่คนที่กล้ารับประกันว่าตัวเองจะชนะ
ต่อให้หลังจากจบเรื่องแล้วมีคนมาวิเคราะห์ว่ากระบี่นั้นของเยี่ยเว่ยหมิงไม่ใช่ว่าจะใช้กันง่ายๆ ถึงขั้นมีราคาที่ต้องจ่ายไม่น้อย แต่ถึงกระนั้น พลังโจมตีที่เจอใครก็ปลิดชีพได้ก็ยังทำให้ยอดฝีมือทุกคนหวาดหวั่นอยู่ดี
เพราะทุกคนต่างได้ข้อสรุปในการต่อสู้สนามนี้แล้ว นั่นก็คือหากสู้กับเยี่ยเว่ยหมิง จุดจบที่ดีที่สุดก็คือหนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้น เอฟเฟ็กต์หนึ่งปราณแปรสามใน ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ที่เยี่ยเว่ยหมิงใช้ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ต่อให้ไม่ใช้ท่าไม้ตาย แต่ใครกันที่จะสู้ไหว
ต้าน ‘หนึ่งปราณแปรสาม’ ไม่ไหว ถึงขั้นบีบให้เขาใช้หนึ่งกระบี่สะท้านฟ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะสู้หลายคนหรือสู้ตัวต่อตัว ก็เป็นเพียงกาารส่งคนไปตายเท่านั้นเอง
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบ เยี่ยเว่ยหมิงก็เผยสีหน้าดูถูกแวบหนึ่ง จากนั้นก็กวาดสายตามองบนตัวบุคคลสำคัญของหกสำนักใหญ่ “ทุกท่านล้วนเป็นผู้อาวุโสบู๊ลิ้ม คาดว่าคงดูถูกพวกผู้ใหญ่ที่รังแกเด็ก สำหรับข้อเสนอของข้าก่อนหน้านี้ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสทุกท่านมีข้อโต้แย้งหรือไม่”
คำพูดของเยี่ยเว่ยหมิงไม่ต่างอะไรกับการยื่นคำขาดครั้งสุดท้าย
อย่างไรเสียก็เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะคุมเชิงกันอยู่อย่างนี้ตลอด ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงวาดแนวทางให้แล้ว ไม่ว่าห้าสำนักใหญ่จะรับหรือไม่รับ ก็ล้วนต้องให้คำอธิบายโดยเร็วที่สุดอยู่ดี
ไม่เช่นนั้น การที่ห้าสำนักใหญ่ผู้สง่าภูมิฐานถูกคนรุ่นเด็กกดดัน ผ่านไปนานแล้วยังไม่กล้าให้คำตอบ หากเรื่องนี้แพร่ไปถึงไหนก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังนัก
ตอนที่ทุกคนกำลังลังเล ทางฝั่งสำนักหัวซานก็มีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาเงียบๆ เดินมายืนข้างกายเซียนอวี๋ทงผู้เป็นรักษาการณ์เจ้าสำนักแล้วกระซิบข้างหูสองสามประโยค
คนผู้นี้คือผู้เล่นระดับสูงของสำนักหัวซาน ผู้สืบทอดวิชาของ ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ ขณะเดียวกันยังเป็นยอดฝีมือท่ามกลางผู้เล่นเมืองเทียนอี้ด้วย เขาคือเลี้ยงบาสลงห่วง!
พอเซียนอวี๋ทงได้ฟังคำพูดของเลี้ยงบาสลงห่วงก็พลันก้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วเอ่ยว่า “จอมยุทธ์น้อยเยี่ยถ่อมตัวเกินไปแล้ว เจ้าไม่ใช่ยอดฝีมือผู้เล่นธรรมดา เจ้าคือผู้เล่นที่ผู้อาวุโสอสูรกระบี่ตู๋กูฉิวไป้ยอมรับเองว่าเป็นผู้มีแนวทางกระบี่สูงส่ง แม้จะเป็นเพียงผู้เล่นคนหนึ่ง แต่หากจะนับลำดับอาวุโสเทียบเท่ากับศิษย์ในสำนักพวกเรา นั่นก็อาจไม่เหมาะสม”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาแสยะยิ้ม “เช่นนี้ ผู้อาวุโสเซียนอวี๋กำลังจะสื่อว่าอยากให้ยอดฝีมืออาวุโสจากห้าสำนักใหญ่ หรือเจ้าสำนักผลัดกันมาสู้กับข้าอย่างนั้นหรือ”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใหญ่รังแกเด็กแล้ว แต่เป็นเรื่องไร้ยางอายต่างหาก!
ตอนนี้ซ่งหย่วนเฉียวก็เอ่ยเช่นกันว่า “หากเจ้าสำนักทุกท่านอย่างแสดงฝีมือ พวกเราเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตังจะรับไว้แทนจอมยุทธ์น้อยเยี่ยเอง”
“ย่อมไม่ใช่อย่างนั้น” เซียนอวี๋ทงย่อมไม่กล้าสู้กับเจ็ดจอมยุทธ์อู่ตัง เมื่อได้ยินดังนั้นจึงรีบส่ายหน้า เปลี่ยนประเด็นสนทนา “ความสำเร็จของจอมยุทธ์น้อยเยี่ย แม้จะเทียบกับพวกเราไม่ได้ แต่หากจะให้ประลองกับศิษย์ในสำนักพวกเรา กลับถือว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก ก่อนหน้านี้ศิษย์สำนักหัวซานของข้าก็ยิ่งยกย่องว่าจอมยุทธ์น้อยเยี่ยไม่ใช่ผู้ที่เอาชนะได้ด้วยกำลังของคนคนเดียว ดังนั้น ข้าเตรียมจะเปลี่ยนแปลงข้อเสนอของจอมยุทธ์น้อยเยี่ยนิดหน่อย”
“ผู้อาวุโสเตรียมจะทำอย่างไร” เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ยังให้จอมยุทธ์น้อยเยี่ยสู้กับศิษย์จากห้าสำนักใหญ่เช่นเดิม เพียงแต่…” เซียนอวี๋ทงกล่าวอย่างน่าไม่อายว่า “พวกเราไม่ต้องแยกสนามแล้ว สู้ครั้งเดียวให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลยแล้วกัน”
“บัดซบ!” พอได้ยินข้อเสนอของเซียนอวี๋ทง อินปู้คุยที่ยืนอยู่ฝั่งสำนักอู่ตังก็อดพูดไม่ได้ว่า “ผลัดกันสู้ห้าสนามยังทำไม่ได้ แล้วยังคิดจะรุมอีกหรือ มียางอายสักหน่อยสิ”
เซียนอวี๋ทงได้ยินแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย “เพื่อล้างความอัปยศให้สหายที่ตายไป ข้าเซียนอวี๋ทงขอให้ชื่อเสียงถูกทำลาย แต่มีอะไรน่าเสียดายกันเล่า”
คำพูดที่ไร้ยางอายเช่นนี้ เมื่อเอ่ยออกมาจากปากของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะให้ความรู้สึกองอาจผึ่งผายอยู่หลายส่วน จู่ๆ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้สึกชื่นชมเจ้าสำนักเซียนอวี๋ท่านนี้แล้ว
แม้ความสัมพันธ์ของทุกคนจะอยู่ในฐานะศัตรู ซึ่งเยี่ยเว่ยหมิงเองก็ดูถูกเหยียดหยามการวางตัวของเซียนอวี๋ทงมาก
แต่เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกว่าจุดเด่นนี้ของเขาควรค่าแก่การเรียนรู้
หลังจากวางมาดไร้ยางอายได้อย่างองอาจผึ่งผาย เซียนอวี๋ทงก็ส่ายหน้าบอกว่า “เงื่อนไขที่ข้าเสนอก็เป็นเช่นนี้ หากจอมยุทธ์น้อยเยี่ยไม่ตอบตกลง ต้นหญ้าในยุทธภพอย่างพวกเราก็ไม่กล้าเป็นศัตรูกับราชสำนักหรอก แม้จางฮูหยินได้รับปากจอมยุทธ์น้อยเยี่ยแล้วว่าจะไม่บอกที่อยู่ของราชสีห์ขนทองเซี่ยซุนให้คนอื่นรู้ แต่จอมยุทธ์ห้าก็ไม่เคยรับปากเสียหน่อย ดังนั้น…”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย เป็นอย่างที่คาดไว้ ระบบไม่ปล่อยให้ตนอาศัยทักษะยุทธ์ผ่านด่านไปง่ายๆ
ขณะกำลังลังเลว่าจะรับปากดีหรือไม่ เสียงแจ้งเตือนของระบบกลับดังขึ้นข้างหู
[ติ๊ง! พบภารกิจลับ ‘Penta Kill’!]
[Penta Kill]
สู้แบบหนึ่งต่อห้า ปราบผู้เล่นที่เป็นตัวแทนจากห้าสำนัก
ระดับภารกิจ: 6 ดาว
รางวัลภารกิจ: เลเวลกฎเต๋า +1
บทลงโทษภารกิจล้มเหลว: ไม่มี
หมายเหตุ: ภารกิจนี้จัดเป็นภารกิจเพิ่มเติม รางวัลของภารกิจนี้ไม่เกี่ยวข้องกับรางวัลภารกิจ ‘เรื่องเศร้าสลดในงานเลี้ยงวันเกิดอายุร้อยปี’
ไม่น่าเชื่อว่ายังมีรางวัลพิเศษอีก!
อีกทั้งหากดูจากหมายเหตุแล้ว ภารกิจชั่วคราวนี้ก็ไม่นำรางวัลของภารกิจเนื้อเรื่องเดิมมารวมด้วย!
ช่างเป็นเรื่องที่ดี!
หลังจากได้ยินเสียงแจ้งเตือนภารกิจที่ดังขึ้นกะทันหัน สายตาของเยี่ยเว่ยหมิงก็กวาดมองบนตัวผู้เล่นจากห้าสำนักใหญ่ที่มาทำภารกิจทันที
อาจะเป็นเพราะภารกิจเนื้อเรื่องนี้ค่อนข้างพิเศษ NPC ที่มาจากสำนักต่างๆ มีไม่น้อย แต่ผู้เล่นที่ติดตามมาด้วยกลับมีเพียงคนเดียว
อีกทั้งในบรรดาห้าคนนี้ เขาก็รู้จักไปแล้วสี่คน!
ผู้เล่นสำนักหัวซานก็คือเลี้ยงบาสลงห่วงที่ในหัวมีแต่แผนชั่วร้าย
สำนักเอ๋อเหมยก็คือเครื่องสังหารรุ่นสามพันที่เป็นศิษย์เอก
สำนักคงต้งก็คือปีศาจน้อยยุทธภพ เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงมองมา เขาก็ยังพยักหน้าทักทายอย่างเก้อเขินเล็กน้อย
ส่วนผู้เล่นของสำนักคุนหลุน…ไม่รู้จัก
ผู้เล่นที่มากับเส้าหลิน ไม่น่าเชื่อว่าจะเคยเจอกันที่เกาะควันม่วงแล้ว เซี่ยวเฉิน!
หากมองจากจุดนี้ ก็ราวกับว่าแต่ละสำนักที่ได้รับภารกิจไม่ได้เลือกผู้เล่นที่เก่งที่สุดในสำนักเสมอไป
แต่คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าถูกแล้ว
ถึงอย่างไรก็เป็นเกม ใครจะได้รับภารกิจหรือไม่ได้รับภารกิจก็ไม่เกี่ยวว่าต้องเก่งที่สุดเสมอไป ไม่ใช่ว่าเจ้าเก่งแล้วเรื่องดีๆ ทั้งหมดจะเป็นของเจ้า
โดยเฉพาะภารกิจเนื้อเรื่องแบบนี้ กุญแจสำคัญที่ตัดสินว่าใครจะได้รับภารกิจ ก็คือต้องดูว่าผู้เล่นคนนั้นทำภารกิจย่อยก่อนหน้านี้ไว้ได้ดีแค่ไหน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว 艾琳小說
เยี่ยเว่ยหมิงกดรับภารกิจแล้วก็สบตากับเซียนอวี๋ทงแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเซียนอวี๋กล่าวเช่นนี้แล้ว ผู้น้อยก็เคารพมิสู้ทำตาม”
“ดี!”
เซียนอวี๋ทงขานรับ จากนั้นมองเลี้ยงบาสลงห่วงปราดหนึ่ง “ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
อีกฝ่ายพยักหน้าเอ่ยรับ จากนั้นก้าวเดินออกจากกลุ่ม แล้วตัวแทนจากอีกสี่สำนักก็ต่างคนต่างเดินออกจากกลุ่มแล้วเช่นกัน
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงหันไปมองเมี่ยเจวี๋ยซือไท่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งแล้วอมยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้ข้านับว่าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก สู้แบบหนึ่งต่อห้าก็เพื่อไม่ให้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน ดังนั้นข้าไม่ถือสาหากสำนักท่านจะสนับสนุนอุปกรณ์ให้ลูกศิษย์ ยกตัวอย่างเช่นให้เครื่องสังหารรุ่นสามพันใช้กระบี่อิงฟ้าของท่านสู้กับข้า จะทำเช่นนี้ก็ได้นะ”
เมื่ออยู่ในภารกิจพิเศษเช่นนี้ หากอาศัยกระบี่สู้กัน เช่นนั้นเครื่องสังหารรุ่นสามพันจะต้องได้สิทธิ์ใช้งานกระบี่อิงฟ้าแน่นอน
หรือพูดได้อีกอย่างว่า ขอเพียงตนสังหารเขาได้ระหว่างต่อสู้ เช่นนั้นกระบี่อิงฟ้าก็จะกลับคืนสู่เจ้าของเดิมแล้วไม่ใช่หรอกหรือ
เมี่ยวเจวี๋ยได้ยินแล้วทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวอย่างดูแคลน “สู้แบบห้าต่อหนึ่งเป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ พวกเราจะทำเรื่องหน้าไม่อายเช่นนั้นได้อย่างไร สำหรับจุดนี้ จอมยุทธ์น้อยเยี่ยวางใจได้”
ข้ากังวลเสียที่ไหนกัน
ข้าจะฉวยโอกาสแย่งกระบี่อิงฟ้ากลับคืนมาต่างหาก
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะทำเช่นนั้น เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้แล้วว่าวันนี้หมดเรื่องทวงคืนกระบี่อิงฟ้าแล้ว
เขาย้ายสายตาจนใจไปยังคู่ต่อสู้ทั้งห้าของเขา จากนั้นถามผู้เล่นของสำนักคุนหลุนว่า “ข้ารู้จักพวกนั้นหมดแล้ว ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร”
[1] Penta Kill 喷他秋 หมายถึงฆ่า 5 ตัวติดต่อกัน