ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 619 ฆ่าคนเพื่อปกป้องชีวิต ตัดกรรมมิใช่ตัดคน!
ตอนที่ 619 ฆ่าคนเพื่อปกป้องชีวิต ตัดกรรมมิใช่ตัดคน!
เสียงสวดคาถาอุบติสุขาวดีดังก้องมาจากเหนือท้องฟ้าราวกับพระพุทธเจ้ามาเยือนโลกมนุษย์
ท่ามกลางเสียงคาถา เงาร่างของมือปราบหนุ่มคนหนึ่งลอยลงมาจากบนฟ้าสูง แต่เงาร่างที่สูงสง่านั่นริมฝีปากปิดสนิท ทว่าเสียงสวดมนต์ที่เคร่งขรึมน่าเกรงขามนั่นกลับดังมาจากร่างกายของเขา
นี่ก็คือประสิทธิภาพจากฝักกระบี่สาสน์พุทธะ!
นี่คือความน่าเกรงขามของฉายาคนกระบี่!
ที่จริงแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้คิดจะวางมาดโอ้อวด
แต่เอฟเฟ็กต์พิเศษของฝักกระบี่สาสน์พุทธะ กลับกำหนดว่าเขาไม่มีทางรักษาคุณสมบัติที่สงบเสงี่ยม อ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์และสง่างามได้
หากต้องการเปิดใช้งานฝักกระบี่สาสน์พุทธะ ก็ต้องกรอกพลังเข้าไปในนั้นก่อน
แต่หลังจากกรอกพลังเข้าฝักกระบี่สาสน์พุทธะแล้ว กลับมีเสียงคาถาอุบัติสุขาวดีดังออกมา!
นี่ก็คือความขัดแย้งของการตั้งค่าที่ไม่อาจแก้ไขได้ ต่อให้เป็นคนฉลาดอย่างเยี่ยเว่ยหมิง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาจนใจยิ่งกว่าก็คือการตั้งค่าอีกอย่างหนึ่งของฝักกระบี่สาสน์พุทธะฝักกระบี่
หากเทียบกับฟังก์ชันของระบบส่วนใหญ่ที่ควบคุมความคิดผ่านคลื่นสมองได้โดยตรง ฝักกระบี่สาสน์พุทธะกลับต้องใช้เสียงควบคุม!
หากอยากเปิดใช้งานฝักกระบี่สาสน์พุทธะ นำกระบี่ล้ำค่าที่บำรุงรักษาอยู่ในนั้นออกมา ก็ต้องท่องคาถาเพื่อเปิดฝักกระบี่ก่อน
สำหรับการตั้งค่าที่น่าบ่นนี้ แม้เยี่ยเว่ยหมิงจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังเลือกที่จะเคารพกฎกติกา
“ฆ่าคนเพื่อปกป้องชีวิต ตัดกรรมมิใช่ตัดคน!”
ชวิ้ง!
ท่ามกลางจิตสังหารอันไร้ที่สิ้นสุดเต็มไปด้วยเมตตาจิตที่เจ็บปวดและเวทนา!
นี่ก็คือคาถาลับสำหรับเปิดใช้งานฝักกระบี่สาสน์พุทธะ ประกาศคมอาวุธเปื้อนเลือด!
หลังจากเสียงกระบี่คำรามอันไพเราะดังขึ้น กระบี่หยดโลหิตอาทิตย์อัสดงก็ยิงออกมาจากฝักกระบี่ที่สะพายอยู่ข้างหลังเขา มันวาดเป็นเส้นโค้งครึ่งวงกลมอันงดงามอยู่กลางอากาศ จากนั้นยิงไปเบื้องล่าง ปาดคอที่บ้างก็หนาหยาบบ้างก็เล็กเรียวของผีห้าตนนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็เกิดตัวเลขดาเมจที่น่าทึ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
-12306!
-10086!
-10010!
-10001!
-12616!
หลังจากตัวเลขดาเมจที่น่ากลัวลอยขึ้นเป็นชุด แถบพลังชีวิตเหนือศีรษะผีห้าคนนี้ก็ลดลงเกินครึ่ง!
ท่ากระบี่แยกจาก!
กระบี่หยดโลหิตอาทิตย์อัสดงโจมตีสำเร็จแล้วกลับไม่พัวพันสู้ต่อ หลังจากกระบี่หมุนวนบนฟ้ารอบหนึ่ง ก็บินกลับเข้ามาในมือเยี่ยเว่ยหมิงอีกครั้ง
หลังจากกระบี่ล้ำค่ากลับเข้ามาในมือแล้ว ก็ถูกกลบด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของกระบี่อาญาสิทธิ์ทันที ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงก็อาศัยแรงส่งที่มาจากกระบี่ล้ำค่าที่ถืออยู่ ลดแรงกระแทกตอนที่ร่างกายตกลงมา หลังจากลอยตกลงมาแล้ว เท้าขวาพลันแตะพื้น ร่างพุ่งไปกลางวงห้าผีราวกับลูกธนูที่ยิงออกจากสาย
ท่ามกลางแสงกระบี่ที่บินฉวัดเฉวียน ห้าผีกลับไปปรโลกหมดแล้ว!
ชวิ้ง!
หลังจากฟันสังหารห้าผีเขาเซี่ยงซานได้อย่างสบายๆ แสงกระบี่ก็กลับเข้าฝักอีกครั้ง ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้หันตัวกลับมาอย่างไม่รีบร้อน มองไปที่สองสาวแล้วถามว่า “เป็นแค่มอนสเตอร์เล็กๆ ระดับนี้เอง จำเป็นต้องเปลืองคำพูดกับพวกเขาด้วยหรือ ทำไมไม่ฆ่าทิ้งไปเลยให้จบๆ”
“ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าพวกนี้มันน่าสนใจน่ะสิ เตรียมจะดูพวกเขาแสดงต่ออีกสักหน่อย” เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงอวดเก่งขนาดนี้ น้องดาบก็อดแขวะไม่ได้ “แต่ดูเจ้าทำสิ พอโผล่มาก็ฆ่าพวกเขาทิ้งหมดเลย ตอนนี้อยากจะดูการแสดงก็ไม่ได้ดูแล้ว”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วหลุดขำ “ที่แท้ข้าก็ยุ่งไม่เข้าเรื่องนี่เอง”
“เหอะๆ เพราะก่อนหน้านี้ทุกครั้งอยู่ที่นี่นานเกินไป ฆ่ามอนสเตอร์จนชินชาแล้ว จึงอยากจะหาความบันเทิงสักหน่อยไม่ได้หรือ”
ถึงอย่างไรก็ขอร้องให้คนอื่นช่วย น้องดาบไม่คิดจะเถียงกับเยี่ยเว่ยหมิงต่อ จึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม “ในเมื่อตอนนี้เจ้ามาแล้ว ข้ากับสะพานสวรรค์น้อยก็ไม่มีอารมณ์มาดูตลกแล้ว พวกเรารีบคิดหาทางกันดีกว่าว่าทำอย่างไรถึงจะฝ่าค่ายกลน่าตายนี้ออกไปได้”
“ยังออกไปอย่างไรได้อีก ก็บินออกไปน่ะสิ”
เยี่ยเว่ยหมิงย่อมรู้ว่าน้องดาบกำลังคิดอะไร เดิมทีนางก็อยากนั่งเก้าอี้บินของเขาอยู่แล้ว
แต่เนื่องจากมีสะพานสวรรค์น้อยอยู่ตรงนี้ด้วย เยี่ยเว่ยหมิงจึงขี้คร้านจะปะทะฝีปากกับนางต่อ เรียกเจ้าแดงกาโลหิตและเก้าอี้บินที่โหยวโหยวทำให้เขาออกมาเสียเลย แล้วบอกพวกนางว่า “เนื่องจากเจ้าแดงอยู่ห่างข้ามากไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องทำเหมือนตอนที่อยู่หุบเขาหิมะ ส่งคนออกจากค่ายกลทีละคน สะพานสวรรค์น้อย เจ้ามาก่อนเถอะ”
“แบบนี้เกรงว่าจะไม่ได้” ไม่รอให้สะพานสวรรค์น้อยขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ น้องดาบก็คัดค้านทันที “ค่ายกลนี้แม้จะดูเหมือนเป็นป่าทั่วไป แต่ที่จริงแล้วกลับเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังกินพื้นที่ป่าเป็นรัศมีหลายลี้ หากแยกจากกัน ข้าไม่แน่ใจว่าครั้งต่อไปที่เจ้าเข้ามาจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนเพื่อตามหาข้าให้เจอ”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วงงทันที “เป็นค่ายกลที่ชั่วร้ายขนาดนี้เชียวหรือ”
ตอนที่เขามาก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้พบว่ามีจุดไหนแตกต่าง ตามหาสองสาวเจอได้อย่างราบรื่นมาก
“น้องดาบไม่ได้กล่าวเกินจริง” ตอนนี้สะพานสวรรค์น้อยก็อธิบายเช่นกัน “ก่อนหน้านี้ข้ากับน้องดาบตั้งทีมตีมอนสเตอร์ ผลปรากฏว่าพอเดินไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็แยกจากกันโดยไร้สาเหตุ จากนั้นก็ต่างคนต่างรับมือกับศัตรู ใช้วิธีส่งพิราบขาวระบุตำแหน่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะกลับมาเจอกันได้อีกครั้ง…
…อีกทั้งตามที่ข้าสังเกตการณ์มามาหนึ่งวันหนึ่งคืน ทิศทางในค่ายกลนี้จะเปลี่ยนทุกสิบห้านาที ถ้าสองคนอยู่ห่างกันเกินสามเมตร ไม่ว่าจะขยับหรืออยู่เฉยๆ ก็จะถูกส่งไปยังสองที่ที่แตกต่างกัน ดังนั้น ตอนนี้พวกเราแม้แต่ตอนตีมอนสเตอร์ก็ยังต้องตัวติดกัน ไม่กล้าแยกออกจากกันง่ายๆ”
“ถ้าเป็นแบบนี้…” เยี่ยเว่ยหมิงมองเก้าอี้คู่ที่ตัวเองปราดหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ตามหลักแล้ว อาศัยแรงของเจ้าแดง ถ้าอยากแบกสามคนพร้อมกันไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือเก้าอี้มีแค่สองตัว…”
“นั่นก็ง่ายมาก” จู่ๆ น้องดาบก็ยักคิ้วหลิ่วตา “ให้สะพานสวรรค์น้อยนั่งบนตัวเจ้าก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!” เยี่ยเว่ยหมิงเถียงกลับทันที
เมื่อเห็นเขามีท่าทีแน่วแน่ขนาดนี้ สะพานสวรรค์น้อยที่เดิมทีเขินอายก็มองเยี่ยเว่ยหมิงสูงขึ้นอีกระดับ
สุภาพบุรุษผู้ถ่อมตัวคืออะไร
นี่ไง สุภาพบุรุษผู้ถ่อมตัว!
ส่วนเยี่ยเว่ยหมิงเองก็พูดกับน้องดาบด้วยท่าทางจริงจัง “เจ้าเคยเรียนฟิสิกส์มัธยมต้นหรือเปล่า พวกเราสามคน เดิมทีน้ำหนักของข้าก็มากกว่าพวกเจ้าสองคนนิดหน่อยอยู่แล้ว ต่อให้ทำตามที่เจ้าบอก แต่ก็ควรให้สะพานสวรรค์น้อยนั่งบนตัวเจ้า ไม่ใช่นั่งบนตัวข้า ไม่อย่างนั้นน้ำหนักจะไม่สมดุลกัน ส่งผลต่อความปลอยภัยในการบินนะ!”
“ฮ่าๆๆๆ…”
ตอนนี้เอง จู่ๆ ในป่าก็มีเสียงหัวเราะลั่นของผู้หญิงดังมา “พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าค่ายกลสระมังกรดำของข้าจะธรรมดาขนาดที่บินหนีออกไปได้”
“เลิกฝันได้แล้ว!”
“พวกเจ้าบินเข้ามานั้นง่าย แต่ในเมื่อเข้ามาอยู่ในค่ายกลสระมังกรดำของข้าแล้ว ต่อให้พวกเจ้ามีสองปีก แต่ก็บินขึ้นฟ้าได้ยากอยู่ดี!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของสตรี น้องดาบก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงทันที
ทว่าตอนที่นางเตรียมจะกระโดดขึ้นข้างบนต่อเพื่อดูว่าผู้หญิงคนที่พูดซ่อนตัวอยู่ตรงไหนกันแน่ กลับถูกพลังบางอย่างทำให้นางตกลงมาระหว่างที่กำลังกระโดด
แต่โชคดีที่วิชาตัวเบาของนางเหนือชั้นมากพอ ตอนตกลงมาจึงทรงตัวได้ทันที ไม่ได้ล้มคะมำบนพื้นให้อับอาย