ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 97 ไหนๆ ก็มาแล้ว
ตอนที่ 97 ไหนๆ ก็มาแล้ว
เมื่อหลบการโจมตีจากอาวุธลับของศัตรูได้ เยี่ยเว่ยหมิงถึงได้ปล่อยเอวเล็กบางของซานเย่ว์ อีกฝ่ายไม่มีเวลามาเขินอาย ขณะมองเงาดำข้างหน้าที่เคลื่อนไหวเร็วมากจนหนีไปไกล นางถามก็ถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ทำไมเขาต้องลอบจู่โจมพวกเรา”
เมื่อพูดจบ ซานเย่ว์ก็หันไปมองหน้าเยี่ยเว่ยหมิง แต่กลับพบว่าเขากำลังยกมุมปากแสยะยิ้ม
ยังไม่ทันรอให้นางถามอะไร พิราบขาวตัวหนึ่งก็พลันบินออกไปจากตัวของเยี่ยเว่ยหมิง บินตรงไปยังเงาดำที่หนีไปไกลแล้วเงานั้น หลังจากมันบินหายไปแล้ว ซานเย่ว์ก็เห็นรางๆ ว่าพิราบขาวตัวนั้นไปโผล่อยู่ข้างหลังเงาร่างของคนชุดดำไม่ไกล ก่อนจะหายไปบนบ่าของอีกฝ่ายด้วยความเร็วที่เหนือกว่า
เมื่อได้เห็นฉากนี้ ซานเย่ว์ก็เข้าใจอะไรบางอย่างทันที นางขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าหมอนั่นน่ะ เจ้ารู้จักหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แล้วตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ในระหว่างปฏิบัติภารกิจก่อนหน้านี้ข้าพบกับคนคนหนึ่ง เขาชื่อว่าจ้างเย่ว์ เป็นคนไร้ยางอายมาก ก่อนหน้านี้เคยถูกข้าสังหารไปแล้วครั้งหนึ่ง กระบี่ชิงจู๋ในมือข้าก็ดรอปได้เจ้าตัวเขานั่นแหละ”
ซานเย่ว์ได้ยินแล้วชะงักงัน พูดอย่างนี้ก็แสดงว่าพวกเจ้าเป็นศัตรูกันน่ะสิ แต่พิราบสื่อสารเป็นเครื่องมือที่ใช้รับส่งระหว่างคนที่เป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่หรือ
เยี่ยเว่ยหมิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เขาหวังผานตอนนั้นให้ซานเย่ว์ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากได้ฟังกลอุบายของอีกฝ่ายแล้ว ซานเย่ว์ก็โบกหมัดขาวอมชมพูทันที แล้วบอกประมาณว่าหากต่อไปได้เจอกันอีก นางจะต้องช่วยเยี่ยเว่ยหมิงทวงคืนทั้งต้นทั้งดอกแน่นอน
เยี่ยเว่ยหมิงได้แต่ยิ้มให้กับคำพูดของนาง แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ขณะที่ใช้เวลาพูดคุยกัน ทั้งสองก็เดินมาถึงหมู่บ้านชื่อสยาที่ตั้งอยู่นอกเมืองทางฝั่งใต้ห่างออกไปห้าลี้แล้ว
หมู่บ้านนี้แม้จะนำคำว่าชื่อสยามาตั้งเป็นชื่อ แต่กลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับลุงหนวดมือกระบี่ปราบมารในหนังสือ ‘โปเยโปโลเย’ เลยแม้แต่น้อย เป็นเพียงกลุ่มอำนาจในยุทธภพที่ไม่ได้ใหญ่โตหรือเล็กเกินไปก็เท่านั้นเอง
หมู่บ้านบนภูเขาและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดสร้างเหมือนสวนโบราณซูโจว ในนั้นมีจุดที่ออกแบบได้อย่างสร้างสรรค์ มองจากภายนอกก็รู้แล้วว่าเจ้าของบ้านพักหลังนี้มีกำลังทรัพย์หนามาก ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะสร้างบ้านพักพร้อมสวนหย่อมอย่างพิถีพิถันขนาดนี้ได้
ขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงสำรวจทิวทัศน์ของหมู่บ้านชื่อสยา ในหัวก็คิดถึงบางอย่างที่อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ แล้วจู่ๆ ก็ขมวดคิ้วพร้อมหยุดฝีเท้าโดยจิตใต้สำนึก
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!…
ขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังสังเกตการณ์ เงาร่างของคนห้าคนก็พลันโผล่ออกมาจากจุดลับ ล้อมเขากับซานเย่ว์ไว้ตรงกลาง
คนที่นำหน้ามาใส่ชุดดำทั้งตัว สองมือใส่ถุงมือโลหะคู่หนึ่ง ปลายนิ้วแหลมเหมือนตะขอ เหมือนกรงเล็บเหยี่ยวดุร้าย แสงอันเย็นเยียบที่สะท้อนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ก็ยิ่งทำให้คนเสียขวัญ หากถูกกรงเล็บเหล็กนั่นตะครุบ แค่คิดถึงความรู้สึกเจ็บจี๊ดนั่นก็ทำให้คนขนหัวลุกแล้ว
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือจ้างเย่ว์ ผู้เล่นพรรคอินทรีฟ้าที่ผูกความแค้นใหญ่หลวงกับเยี่ยเว่ยหมิงที่เขาหวังผานตอนนั้น
ขณะกำลังเคลื่อนไหวนิ้วเหมือนแสดงอานุภาพ เสียดสีจนถุงมือโลหะเกิดเสียงดัง จ้างเย่ว์ก็กล่าวหยอกว่า “สหายเยี่ย กระบี่ชิงจู๋ของข้าใช้งานได้คล่องมือไหมล่ะ”
พอพลิกข้อมือ กระบี่ชิงจู๋ก็ปรากฏอยู่ในฝ่ามือของเยี่ยเว่ยหมิงแล้ว หลังจากควงกระบี่จนเป็นเงาเหมือนดอกไม้ เขาก็ยื่นมือซ้ายออกมาอีก พอดีดเบาๆ บนตัวกระบี่สีเขียวมรกต เสียงกระบี่อันไพเราะก็ดังเข้าหูทุกคนทันที “กระบี่นี้เป็นกระบี่ดี แต่ต้องแก้ไขให้ถูกต้องสักหน่อย นี่ไม่ใช่กระบี่ของเจ้า แต่เป็นกระบี่ของข้าต่างหาก”
“เดิมทีนั่นคือกระบี่ของข้า!” จ้างเย่ว์เกรี้ยวกราด “หลังจากข้าถูกเจ้าสังหารตายที่เขาหวังผาน ก็ไม่เพียงแค่เสียกระบี่ชิงจู๋ที่เพิ่งได้รับระหว่างทำภารกิจเท่านั้น ถึงขั้นถูกประกาศว่าภารกิจทั้งหมดล้มเหลวด้วย ความพยายามหลายวันไหลหายไปราวกับกระแสน้ำ อีกทั้งหลังจากฟื้นชีพแล้ว ข้ายังไปโผล่อยู่ในคุกใหญ่ของสำนักมือปราบเทพอีก! เยี่ยเว่ยหมิง เจ้าช่างโหดนัก แต่เจ้าคงนึกไม่ถึงสินะว่าจะมีวันนี้”
“วันนี้” เยี่ยเว่ยหมิงหยามเหยียด “หากเจ้าคิดถึงคุกใหญ่ของสำนักมือปราบเทพ วันนี้ข้าก็จะสงเคราะห์ให้เจ้ากลับไปลิ้มรสชาติอีกครั้ง”
ขณะที่พูด สายตาก็กวาดมองบนตัวคนอื่นด้วย เขาพูดต่ออย่างเนิบช้าว่า “วันนี้ข้าก็ยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติภารกิจของสำนักมือปราบเทพเหมือนเดิม ผู้เล่นที่โจมตีข้าด้วยเจตนาไม่ดี หากถูกข้าโจมตีกลับสำเร็จ ก็จะไปฟื้นคืนชีพอยู่ในคุกใหญ่ของสำนักมือปราบเทพทั้งหมด หากสหายทั้งสองอยากสัมผัสประสบการณ์ดูสักหน่อย วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ไม่เลวเลย…”
เมื่อเทียบกับตอนแรกที่สู้กันที่เขาหวังผาน ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงด้อยกว่าในด้านจำนวนคนอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เขาไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลย!
เพราะหากพูดถึงศักยภาพส่วนตัว ตอนนี้หากเทียบกับผู้เล่นโดยทั่วไป ความสามารถของเขาก้าวหน้าจนเหมือนเป็นจอมมารท่านหนึ่งแล้ว
ค่าพลังชีวิต 7300 แต้ม อย่าว่าแต่ผู้เล่นเลย ต่อให้เป็นค่าพลังชีวิตของ BOSS เลเวลเดียวกันก็อาจจะเทียบเขาไม่ติดก็ได้!
นอกจากค่าพลังชีวิตแล้ว การป้องกันของเขาก็ไม่ได้ด้อยเหมือนกัน เคล็ดกระบี่ ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ แทบจะต้านดาเมจทั้งหมดได้
ทว่าในความเป็นจริง จุดแข็งที่สุดของเยี่ยเว่ยหมิงไม่ใช่ทั้งค่าพลังชีวิตและค่าป้องกัน แต่เป็นการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวต่างหาก!
ภายใต้การเสริมอานุภาพจากเคล็ดวิชาสุดแข็งแกร่งอย่างคัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน ไท้ซัวเป็นไฉน ตอนนี้หากเขาแทงผู้เล่นทั่วไป ขอเพียงโจมตีตรงจุดสำคัญก็จะเกิดผลปลิดชีพได้ทันที หากเป็นผู้เล่นเลเวลเดียวกัน เพียงใช้กระบี่โจมตีสองสามครั้งก็จัดการได้แล้ว
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีหรือที่เยี่ยเว่ยหมิงจะหวาดกลัวคนเพียงไม่กี่คนเหล่านี้
ไม่ต้องบอกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าอะไรนั่นหรอก หากยอดฝีมืออย่างสาวน้อยชุดแดงอยู่ตรงนี้ด้วย ตำแหน่งยืนของอีกฝ่ายก็จะไม่เหมือนในตอนนี้แน่นอน คงให้จ้างเย่ว์ยืนหน้าสุด!
เมื่อเยี่ยเว่ยหมิงไม่หวาดกลัว จ้างเย่ว์ที่ได้เปรียบด้านจำนวนคนก็ยิ่งไม่มีความมั่นใจ ถึงขนาดว่าแม้แต่ซานเย่ว์ก็เตรียมพร้อมต่อสู้แล้ว
การเข่นฆ่าระหว่างผู้เล่นในสนามอยู่ในจุดที่ยากจะหลีกเลี่ยงแล้ว แต่จู่ๆ ทุกคนกลับเห็นชุดสีแดงถลันวูบเข้ามา ชายวัยกลางคนที่สวมชุดผ้าแพรสีแดงคนหนึ่งลอยลงมาเหยียบกลางสนาม พร้อมเอ่ยว่า “ทุกท่าน ช้าก่อน…”
เดิมทีพวกก็ยังไม่ทันได้ลงมือต่อสู้ เมื่อได้ยินเสียงนั้น สายตาก็ย่อมย้ายไปบนตัวชายวัยกลางคนที่มีสง่าราศีไม่ธรรมดาผู้นี้พร้อมกัน
ชายวัยกลางคนกุมหมัดคารวะให้บรรดาคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนจะเอ่ยว่า “ผู้น้อยกงเหย่เฉียน เจ้าบ้านหมู่บ้านชื่อสยา ข้าไม่มีเจตนาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งส่วนตัวของพวกท่าน แต่พวกท่านได้โปรดไว้หน้าข้าสักครั้ง อย่าลงไม้ลงมือในเขตหมู่บ้านชื่อสยาเลย”
ที่แท้ชายชุดแดงผู้นี้ก็คือกงเหย่เฉียน ดูจากลักษณะท่าทาง เจ้าหมอนี่นับว่าเป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งเลยทีเดียว
ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงแอบสังเกตกงเหย่เฉียน จ้างเย่ว์ที่อยู่อีกฝั่งก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าบ้านกงเหย่กล่าวเช่นนี้แล้ว พวกเราก็ย่อมไม่กล้าฝ่าฝืน เพียงแต่ไม่รู้ว่าสหายเยี่ยจะยอมหยุดหรือไม่”
เจ้าหมอนี่ เมื่อถึงเวลานี้ก็ยังไม่ลืมที่จะประจบ NPC ทั้งยังพูดใส่ร้ายเยี่ยเว่ยหมิงอีกด้วย
อย่างไรเสียผู้เล่นที่มาถึงหมู่บ้านชื่อสยาได้ จะต้องมาเพราะภารกิจบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกงเหย่เฉียนแน่นอน หากลดค่าความรู้สึกดีแรกพบระหว่างเยี่ยเว่ยหมิงกับกงเหย่เฉียนได้อย่างแนบเนียน เจ้าหมอนี่ก็ย่อมรู้สึกชอบใจอยู่แล้ว
ต่อให้ทำไม่สำเร็จ ขอเพียงทำให้เยี่ยเว่ยหมิงรู้สึกสะอิดสะเอียนได้สักหน่อย เขาก็ยินดีที่จะทำแล้ว
สำหรับแผนการชั้นต่ำที่นำขึ้นมาโอ้อวดอย่างเปิดเผยไม่ได้เช่นนี้ เยี่ยเว่ยหมิงย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ ไม่ได้ชายตามองจ้างเย่ว์แม้แต่ปราดเดียว เยี่ยเว่ยหมิงกุมหมัดคารวะกงเหย่เฉียนอย่างสงบเยือกเย็นมาก “ที่จริงการที่พวกเรามาในครั้งนี้ เป็นเพราะได้ยินว่าเจ้าบ้านกงเหย่ชอบสะสมของล้ำค่าหายาก ช่วงนี้เพิ่งได้ภาพเขียนอักษรมาหลายภาพ เลยอยากจะขอให้เจ้าบ้านประเมินคุณภาพให้สักหน่อย…
…หากไม่มีสุนัขดุมาขวางทาง ก็ย่อมไม่กล้าถือวิสาสะใช้อาวุธในสถานที่อย่างหมู่บ้านชื่อสยาอยู่แล้ว”
“อ้อ?” เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเว่ยหมิงมาขายของ บนใบหน้ากงเหย่เฉียนก็เผยสีหน้าสนใจทันที เพียงแต่ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็แสดงออกว่าลำบากใจนิดหน่อย
“ไม่ปิดบังความจริง ข้าได้รับคำเชิญจากคุณชายมู่หรง วันนี้ต้องจัดงานประลองยุทธ์ เกรงว่าคงไม่มีเวลามาชื่นชมภาพวาดที่จอมยุทธ์น้อยนำมาแล้ว” กงเหย่เฉียนกล่าว
“เช่นนั้นก็บังเอิญจริงๆ” เยี่ยเว่ยหมิงไหวไหล่อย่างจนใจ “พวกเราค่อยมารบกวนวันหลังก็แล้วกัน”
“ไม่รบกวนหรอก!” กงเหย่เฉียนพลันหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะบอกว่า “ในเมื่อจอมยุทธ์น้อยทั้งสองมาแล้ว เหตุใดไม่มาร่วมสนุกด้วยกันเสียเลยล่ะ รางวัลของผู้ชนะมีมากมายก่ายกองเชียวนะ”