ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) - บทที่ 2 ภรรยาของนาย เป็นของฉัน
คืนนั้น ฉินเฟยได้พูดคุยมากมายกับจางจงเยว่ เขาบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ซงไห่ และทั้งสองก็ตกลงที่จะพบกันในวันพรุ่งนี้
ฉินเฟยตาสว่างไปทั้งคืน เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นความจริง
หลายปีมานี้ ฉินเฟยได้ช่วยเหลือผู้คนไปมากมาย ให้เงินไปไม่น้อย แต่หลังจากที่ตระกูลฉินเกิดเรื่อง คนในตระกูลบางคนก็พูดว่าเขาเป็นดาวหายนะและเป็นสัญลักษณ์ของการล้มละลายของตระกูล ดังนั้นเมื่อพวกเขาแยกกันไปครอบครัวเขาก็ไม่ได้รับเงินใดๆ และพ่อของเขาก็ได้เงินแค่ในส่วนบ้านบรรพบุรุษของตระกูลฉินเท่านั้น
ฉินเฟยเองก็ไม่คาดคิดว่าหลายปีต่อมา บุญคุณนี้จะทำให้เขาได้รับผลตอบแทนเช่นนี้!
อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงเงินปันผล! นอกจากนี้ จางจงเยว่ยังบอกว่าตนยังเป็นผู้ถือหุ้น 60% ของว่านเซียง กรุ๊ป!
มีค่าใช้จ่ายเท่าไร? ฉินเฟยตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ
เขาแทบไม่ได้นอนจนถึงเช้า
เขากำลังหลับสนิทเมื่อได้ยินเสียงแม่สามีในห้องนั่งเล่น
“ฉินเฟย รีบลุกขึ้นมาทำอาหารเดี๋ยวนี้ ลูกสาวฉันจะไปทำงานแล้ว ไอ้ขยะอย่างนายวันๆ ไม่มีอะไรทำ รู้จักแต่นอน!”
ฉินเฟยยังคงอยู่ในความฝันของตนเองอยู่ ผลคือในเวลานี้เอง ประตูห้องก็ถูกเตะเปิดออก และเสิ่นหัว แม่สามีของเขาเดินเข้ามาและเตะเขาอย่างไม่อดทน
“คุณหูหนวกหรือ คุณไม่ได้ยินฉันเมื่อฉันบอกคุณให้ลุกขึ้นมาทำอาหาร” เสิ่นหัวเอ่ยอย่างเย็นชา
“โอ้” ฉินเฟยถึงค่อยรู้ว่าเขาไม่ได้ฝันและลุกขึ้นมามองเสิ่นหัวอย่างสะลึมสะลือ
ต้องบอกว่า เสิ่นหัวแม่ยายของตนนั้นสวยจริงๆ เธออายุสี่สิบกว่าปีแล้ว สวมกระโปรงยาวเซ็กซี่ และเนื่องจากดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เธอจึงเหมือนกับหญิงสาวราวสามสิบที่เพิ่งแต่งงานก็ไม่ปาน
และที่เธอดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี ก็เป็นเพราะเธอไม่ต้องกังวลเรื่องการไปทำงาน ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเธอไม่แม้แต่จะทำอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฉินเฟยกลายมาเป็นลูกเขยแล้ว เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดอยู่ใกล้ๆ กัน แม่ยายของเขาจึงมาทานอาหารอยู่บ่อยครั้งแทบจะวันเว้นวัน
เพียงแต่เธอเองก็ดีกับแพ่อตาของตนไม่เลวเช่นกัน ทุกครั้งล้วนเอาอาหารกลับไปให้เขาด้วยหลังทานเสร็จ!
คนเดียวในครอบครัวที่มีท่าทีที่ดีหน่อยกลับฉินเฟยก็คือพ่อตา
เจียงเฟิ่งหยุนเคยเป็นทหาร เขาล้มป่วยในกองทัพและสุขภาพไม่ดี ในตอนแรกที่ฉินเฟยมาที่นี่เพื่อเป็นลูกเขยให้พ่อตามีความสุข
หลังจากที่ฉินเฟย ‘แต่งงาน’ เข้ามาแล้ว สุขภาพของพ่อตาก็ดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะเหตุนี้เขาถึงไม่เคยด่าว่าทุบตีฉินเฟย
ฉินเฟยทำโจ๊กเทรเมลล่าให้แม่ยายเสร็จก็ลงไปชั้นล่างเพื่อซื้ออาหารเช้า หลังทานเสร็จแม่ยายของเขาก็ไปสปาเพื่อบำรุง
ก่อนออกเดินทางเธอก็ทิ้งเงินไว้ให้ฉินเฟยร้อยหยวน โดยบอกว่าในตู้เย็นมีเนื้อสัตว์และผักไม่มากแล้วให้เขาไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต จากนั้นก็จากไปสีหน้ารังเกียจ
ฉินเฟยยิ้มอย่างขมขื่น นั่นเพราะเขาเป็นคนทำอาหารในบ้าน ดังนั้นย่อมเป็นเขาที่ซื้อผักผลไม้ เจียงเยว่ถงให้เงินเขาร้อยหยวนต่อวันในหลายๆ ครั้งก็ไม่ได้เพียงพอ
เนื้อปลาไม่ถูก ผลไม้หลายชนิดก็มีราคาแพงขึ้นไปอีก บางครั้งเขาก็ต้องขอเงินจากแม่ยายและภรรยาเพิ่ม ดังนั้นย่อมทำให้พวกเธอด่าขึ้นไปอีกเป็นธรรมดา
……
ในช่วงบ่าย ร้านน้ำชาวินเยว่
ฉินเฟยนั่งลงอย่างไม่ใส่ใจ ฝ่ายตรงข้ามเขาคือจางจงเยว่ ประธานว่านเซียง กรุ๊ป
จางจงเยว่ดูเหมือนเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง ผมบางของเขาถูกหวีไปข้างหลังและแต่งด้วยเจลแต่งผม เขาสวมชุดสูทรองเท้าหนัง ในเวลานั้นจางจงเยว่อายุสามสิบปี ดังนั้นตอนนี้เขาก็อายุสี่สิบสามแล้ว
แต่ต่อหน้าฉินเฟย เขายังตื่นเต้นและสำรวมกิริยาเหมือนเด็กๆ
“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ผมยอมรับการตอบแทนบุญคุณของคุณ แต่ว่าคุณจะเอาตำแหน่งประธานว่านเซียง กรุ๊ปมาให้ผมได้ยังไงกัน ว่านเซียง กรุ๊ปเป็นของคุณ ผมไม่ต้องการ!”
ไม่นาน พวกเขาก็ทะเลาะกัน ว่านเซียง กรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นความสามารถของจางจงเย่ ยิ่งไปกว่านั้น เขามีเงินมากเพียงพอในบัตรแล้ว ฉินเฟยไม่ต้องการบริษัทของคนอื่น และยังไม่ต้องไปเซี่ยงไฮ้เพื่อทำหน้าที่เป็นประธาน
“นี่ไม่ใช่เรื่องว่าคุณต้องการหรือไม่ ตอนแรกที่เริ่มก่อตั้งบริษัท นิติบุคคลคือชื่อของคุณ ผมมักจะอ้างว่าเบื้องหลังผมมีนายใหญ่ลึกลับอยู่ ตอนนี้นายน้อยก็ไม่ใช่เด็กแล้ว สามารถรับช่วงต่อได้ อีกทั้งด้วยความสามารถทางธุรกิจของนายน้อย ว่านเซียง กรุ๊ป จะแข็งแกร่งขึ้นและเติบโตขึ้นในมือของคุณแน่” จางจงเยว่กล่าวอย่างตื่นเต้น
ในความเห็นของเขา หลายปีมานี้ก็คือเขาที่ทำงานให้กับฉินเฟย ในตอนแรกฉินเฟยถือหุ้นถึง 80% ในว่านเซียง กรุ๊ป ขณะที่ จางจงเยว่มีส่วนแบ่งทางเทคโนโลยีที่ 20% ต่อมาบริษัทจำเป็นต้องขยายตัวและต้องมีผู้ถือหุ้นมาลงทุน จึงทำให้หุ้นบางส่วนของฉินเฟยลดลงไป
ตอนนี้จางจงเยว่เองก็มีหุ้นเพียง15% ในว่านเซียง กรุ๊ปและอีก 25% ถือโดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่
“ไม่ ฉันจะไม่ไปเซี่ยงไฮ้”
จางจงเยว่ยิ้มและดูเหมือนจะคาดคิดได้ก่อนแล้วว่าฉินเฟยจะปฏิเสธ “เดือนก่อนหน้านี้ ผมได้ย้าย ว่านเซียง มูวี ภายใต้ ว่านเซียง กรุ๊ปมาที่ซงไห่เมื่อเดือนที่แล้ว คุณมาที่ว่านเซียง มูวี ในฐานะประธาน ไม่อย่างนั้นผมคงต้องมาจัดการมันอย่างปลีกไม่ได้”
“คุณคงไม่ปฏิเสธอีกใช่ไหม?”
เนื่องจากว่านเซียงเป็นของฉินเฟย ไม่ใช่ของกลุ่มบริษัทตระกูลจางของเขา จางจงเยว่จึงไม่ได้ปล่อยให้ญาติในตระกูลตนมาชี้นิ้วสั่ง ดังนั้นตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่งเขาจึงไม่รู้จะใช้ใครอยู่บ้าง
เมื่อได้ยินคำว่าว่านเซียง มูวี ฉินเฟยก็รู้สึกประหลาดใจ
ว่านเซียง มูวีเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีศักยภาพมากที่สุดภายใต้ว่านเซียง กรุ๊ป มันเป็นบริษัทด้านความบันเทิง ในนั้นมีดาราแนวหน้าระดับประเทศอยู่ และมีดาราชั้นสองอีกนับไม่ถ้วนล้วนเป็นศิลปินใต้สังกัดของว่านเซียง มูวี
ฉินเฟยรู้ว่าหากขายังคงปฏิเสธอีก จางจงเยว่คงจะต้องรบเร้าเขาทั้งวันแน่
“ตกลง ผมจะพยายาม” ฉินเฟยพยักหน้าและรู้สึกตื้นตันอยู่บ้าง
“ดีดี อย่างนั้นพรุ่งนี้คุณก็คือประธานของว่านเซียง มูวี เอาบัตรประชาชนมาให้ผม แล้วผมจะให้เลขามารายงานตัวกับคุณ”
“ใช่สิ” จู่ๆ จางจงเยว่ก็ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาหันไปหยิบกล่องประณีตที่อยู่ข้างมา “นี่คือของขวัญที่ผมจะให้พี่สะใภ้ผมได้ยินมาว่าคุณแต่งงานแล้ว”
“พี่สะใภ้? คุณออกจะอาเปรียบกันไปแล้ว!”
“ฮึฮึ เรียกแบบให้เกียรติไง อย่างนั้นก็เรียกว่าน้องสะใภ้แทน” จางจงเยว่โบกมืออย่างเก้อๆ ยังไงเสียเขาก็อายุตั้งสี่สิบกว่าแล้ว
ฉินเฟยรีบมาอย่างรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษจำนวนมาก วาเลนติโน — The chanrm of heaven
“วาเลนติโน่ – The chanrm of heaven?” ฉินเฟยเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ “ของขวัญชิ้นนี้มีค่าเกินไปหน่อยไหม?”
นี่มันล้ำค่าอย่างมาก!
อย่างที่เราทราบกันดีว่าวาเลนติโน่เป็นหนึ่งในสิบนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก อีกทั้งเธอยังตั้งชื่อแบรนด์ตามตัวเธอเองด้วย The chanrm of heaven เป็นเดรสตัวสุดท้ายที่ออกแบบโดยวาเลนติโน่ ตอนนี้มีจำนวนจำกัดคือ 520 ตัวเท่านั้น ในปีนั้น The chanrm of heaven ขายหมดทันทีที่ออกมา
ต้องรู้ว่า เดรสชุดนี้มันถูกแย่งชิงโดยผู้หญิงที่มีชื่อเสียงทั่วโลก
คนรวยก็ยังหาซื้อไม่ได้ ราคาสิบล้านหยวน ว่ากันว่าตอนนี้มีการคาดการณ์ราคาถึงหกสิบล้านหยวน อีกทั้งยังหาซื้อไม่ได้อีกด้วย จำนวนของแท้ที่ไหลเข้าจีนมาก็มีไม่เกินนับถึงสามนิ้วแน่นอน!
“ฮึฮึ ผมได้ยินมาว่าพี่สะใภ้เป็นสาวงามล้ำคนหนึ่ง ก็เหมาะกับ The chanrm of heaven ชุดนี้” จางจงเยว่ยิ้มและพยักหน้า
“ไม่เอา นี่มันแพงเกินไป ผมไม่ต้องอยากให้ภรรยาใส่ออกไปให้ถูกปล้นหรอก” ฉินเฟยปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและเอ่ยล้อเล่น
แน่นอนว่าเขาไม่เอา น่าขัน! ชุดเดรสตัวนี้ราคาตั้งเท่าไหร่ มูลค่าของมันได้พุ่งไปถึงขั้นเก็บรักษาแล้ว ถ้าเอาไปให้เจียงเยว่ถง เธอจะต้องคิดว่าเขาขโมยมันมาแน่
“กริ้ง–”
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของฉินเฟยก็ดังขึ้น มันเป็นข้อความจาก เจียงเยว่ถง
“ฉินเฟย นายรีบเอากระโปรงของฉันไปที่บริษัททันที ตัวสีฟ้าอยู่กลางห้องรับฝากของ อย่าแตะต้องของอื่นๆ! รีบเอามาตอนนี้ภายใน 30 นาที!”
เจียงเยว่ถงเอ่ยสั่ง เมื่อเช้าเธอรีบจนลืม ตอนนี้บริษัทมีหลายงานที่ต้องทำงานล่วงเวลา
เธอยังต้องเข้าร่วมการประชุมตระกูลในตอนเย็นด้วย แต่เธอไม่ต้องการถูกสมาชิกในตระกูลหัวเราะเยาะเพราะยากจน ดังนั้นคืนนี้เธอจะต้องแต่งตัว!
……
หลังจากแยกกับจางจงเย่ ฉินเฟยก็ขี่จักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กกลับบ้านก่อน จากนั้นจึงไปที่บริษัทของภรรยาของเขา ส่วน The chanrm of heaven นั้นเขาไม่ได้ต้องการมัน
ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของอาคารเยี่ยหลัน
เมื่อฉินเฟยรีบไปที่เจียงเยว่ถงพร้อมเดรสที่เธอต้องการ เขาเห็นชายในชุดสูทยืนอยู่ข้างภรรยาของเขา โดยมี Audi A8 จอดอยู่ข้างหลังอีกฝ่าย
ฉินเฟยขมวดคิ้วและรีบลงจากจักรยานยนต์ไฟฟ้าแล้วเดินเข้าไปพร้อมกับกล่อง
“ฉินเฟย?” เมื่อชายในชุดสูทเห็นฉินเฟย คิ้วของเขาถูกยกขึ้นเล็กน้อย
ความงามของเจียงเยว่ถงทั้งซงไห่น้อยนักที่คนจะไม่รู้ งานแต่งงานในปีนั้นทำให้ทั้งเมืองซ่งไห่ตกตะลึง มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเจียงเยว่ถงที่อ่อนโยนและงดงามจะแต่งงานกับขยะจากชนบท!
“ที่แท้ก็เป็นขยะอย่างนายนี่เอง” โจงเซี่ยงเฉียนพูดอย่างเหยียดหยาม เขาถึงกับถอดชุดสูทออกต่อหน้าฉินเฟยแล้วยื่นให้เจียงเยว่ถง “เยว่ถง บ่ายนี้อากาศหนาวอยู่หน่อย เธอใส่เสื้อผ้าน้อยขนาดนี้ ระวังจะเป็นหวัด”
โจงเซี่ยงเฉียนไล่ตามจีบภรรยาของเขาอย่างโจ่งแจ้งและปฏิบัติต่อฉินเฟยราวกับเป็นอากาศ!