ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) - บทที่ 29 คืนนี้นายมานอนที่ห้องฉัน (ล่าง)
ในบ้านภายใต้โคมไฟคริสทัลที่สว่างไสว โดยมีเจียงเยว่ถงและฉินเฟยนั่งตรงข้ามกัน
“มือของนายเป็นอะไร?” เจียงเยว่ถงสังเกตเห็นว่ามือที่จับตะเกียบของฉินเฟยดูแปลกๆ โดยอดไม่ไดขมวดคิ้วและพูดขึ้น “ไม่เป็นไร ก็แค่อ่อนแรงหนิดหน่อย” ฉินเฟยผงะเล็กน้อยแลอธิบายไปตามน้ำ
เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วอีกครั้ง โดยจับที่มือของฉินเฟยทันที และพลิกมันอย่างแรง จึงพบว่ามีรอยฉีดขาดขนาดใหญ่อยู่ที่ฝ่ามือของเขาและมีซึมออกมาเป็นสาย
“นาย ทำไมนายไม่บอกฉัน? ไป มีคลินิกอยู่ข้างล่าง ฉันพานายไปพันแผลก่อน” เสียงเจียงเย่วถงดูรีบร้อนแต่ก็แฝงไปด้วยความซาบซึ้งใจ นี่ต้องได้รับบาดเจ็บจากที่ชกต่อยกับฮั่วจงเหยียนก่อนหน้านั้นแน่นอน
คนอื่นแค่แค่ที่ฉินเฟยตีกระบองในมือของฮั่วจงเหยียนตกลงอย่างเดียว แต่กลับไม่รู้ว่าฉินเฟยเองก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน
มิน่าเหล่ะหลังจากที่ฉินเฟยกลับมาบ้าน ถึงรีบร้อนเข้าห้องน้ำก่อน ต้องไปล้างคราบเลือดที่อยู่บนมือแน่ๆ
“ไม่เป็นไร เป็นแค่แผลภายนอกเท่านั้น ผ่านคืนหนึ่งก็ตกสะเก็ดแล้ว” ฉินเฟยกล่าวแล้วส่ายหัว
เจียงเยว่ถงจะพูดขึ้นมาอีก แต่ก็หยุดชะงัก เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นห่วงฉินเฟยมากเกินไป แบบนี้จะดูเสเสร้งมากเกินไป
แต่ในใจกลับซาบซึ้งอย่าหาที่เปรียบไม่ได้
ดังที่เซียววี่อิจฉา มีผู้ชายสมัยนี้หลายคน เพื่อได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว แม้กระทั่งภรรยาของตนเองก็ไม่ลังเลที่จะขายให้กับเจ้านาย โดยไม่มีความเป็นคนอยู่เลย แต่ฉินเฟยสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อตนเอง
ฉินเฟยแอบสุขใจในใจ ความห่วงใยที่เจียงเยว่ถงมีต่อตัวเอง ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
และแน่นอนว่าเจียงเยว่ถงไม่รู้อยู่แล้วว่า บาดแผลบนมือของฉินเฟย ไม่ได้เกิดจากการชกต่อยกับฮั่วจงเหยียนแต่อย่างใด แต่ได้รับบาดเจ็บตอนที่ดาบเสวี่ยอิ่นเลือกเจ้านาย!
หลังจากที่กินข้าวแล้ว ฉินเฟยเคยชินกับการเก็บโต๊ะอาหาร เจียงเยว่ถงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวขึ้นว่า: “ในบ้านก็ไม่ต้องเก็บกวาดแล้ว เมื่วานฉันพึ่งถูพื้นไป และก็ไม่ได้เปื้อน นายพักผ่อนเถอะ ส่วนฉันยังมีงานที่ยังจัดการไม่เสร็จ”
“อืม โอเค” ฉันเฟยพยักหน้า และเห็นเจียงเยว่ถงเข้าไปในห้องนอน ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นชุดนอนที่สะอาดและสบาย จากนั้นก็เข้าไปในห้องหนังสือ ในใจของฉินเฟยปลื้มปีติยินดียิ่งนัก อย่างน้อยแดกดันถากถางตนแล้ว
หลังจากที่เก็บกวาดเสร็จ ฉินเฟยก็นั่งลงบนโซฟา จึงพึ่งนึกเรื่องที่สำคัญหนึ่งขึ้นมาได้
นั่นก็คือ ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เซียววี่เห็น ดาบเสวี่ยอิ่นเป็นอาวุธของอาป้า ซึ่งอาป้ายังคิดค้น ขึ้นมาด้วยตนเองอีกด้วย
ตามเหตุหลแล้ว ดาบเสวี่ยอิ่นควรถูกค้นพบพร้อมกันกับ หรือไม่ก็ตำรากลั่นยา แต่ชายหนวดเครานั่นไม่ได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง ถ้ามีต้องนำออกมาขายแล้วแน่นอน!
แต่กลับไม่มี!
ถ้าอย่างนั้น ก็มีคำอธิบายได้เยงสามข้อเท่านั้นคือ หนึ่ง: ดาบเสวี่ยอิ่นถูกโจรปล้นสุสานคนพบแล้ว แต่พวกเข้าไม่รู้ด้วยซ้ำดาบมาเชเต้ขึ้นสนิมเล่มนี้ก็คือดาบเสวี่ยอิ่น และโจรปล้นสุสานอยากเก็บไว้ให้ตัวเองฝึกฝน; สอง: ถูกทำลายไปแล้ว สาม: ยังอยู่ในสุสาน และยังไม่ถูกค้นพบ!
เมื่อรวมเหตุผลสามประการนี้เข้าด้วยกัน ฉินเฟยยอมที่จะเชื่อประการที่สามมากกว่า ยังอยู่ในสุสาน ในเมื่ออาป้าสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานไว้อาลัยให้องค์หญิงเหวินเฉิง วัตถุโบราณที่ขุดค้นพบนั้นไม่ใช้มีเพียงเท่านี้ แต่ชายหนวดเครานั่นกลับหยิบของออกมาได้เพียงเท่านี้
อย่างนั้นคำอธิบายมีแค่สองทางคือ หนึ่ง,กลุ่มโจรปล้นสุสานได้ปล้นของที่อยู่ในสุสานออกมาจนหมดแล้ว แต่ไม่ได้เอาออกมาขายทั้งหมด แต่แค่ลองเชิงก่อน
สอง.สุสานโบราณแห่งนี้ไม่ยังโดนขุดทั้งหมด และ ยังอยู่ในสุสาน!
และไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร โจรปล้นสุสานกลุ่มนี้ได้เงินกำไรมาอย่างราบรื่น แน่นอนว่าจะต้องทำการปล้นสุสานอย่างต่อเนื่องแน่ ส่วนของที่ขุดพบ ชายหนวดเคราจะต้องนำออกไปขายอีกแน่นอน
และสุสานขององค์หญิงเหวินเฉิง จะต้องอยู่ใกล้กับซงไห่แน่นอน!
สะกดรอย!
ฉินเฟยคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาเบอร์โทรของหวังเลี่ยง!
ในฐานะที่เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยบวกกับเป็นรูมเมท ความสัมพันธ์ระหว่างฉินเฟยกับหวังเลี่ยงจึงแน่นแฟ้นมาก และอาชีพของหวังเลี่ยงก็เว่อร์เกินจริงมาก ชื่อคือนักสืบเอกชน แต่จริงๆ คือได้รับการว่าจ้างและตรวจสอบของบางอย่าง
ลูกค้าส่วนใหญ่ของหวังเลี่ยงจะเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวย โดยว่าจ้างให้เขาสะกดรอยสำรวจสามีของพวกเธอว่า ได้หาเมียน้อยคนไหน และชู้รักคนไหนบ้าง จากนั้นถ่ายหลักฐานเพื่อเตรียมสำหรับใช้เป็นแต้มต่อรองเมื่อหย่าร้าง หรือเพื่อเป็นหลักฐานในการแบ่งทรัพย์สมบัติของครอบครัวให้ได้มากขึ้น!
“ฮาโหล ฉินเฟย? นายไม่ค่อยจะโทรหาฉันนี่ มีเรื่องอะไรเหรอ?” น้ำเสียงของหวังเลี่ยงเป็นกันเอง และยังได้เสียงคีย์บอร์ดดัง ‘เป๊ก เป๊ก’
“ที่ฉันมีอยู่งานหนึ่ง เป็นงานของฉันเอง รับไม่รับ? งานสำเร็จจ่ายให้นายห้าหมื่น!” ฉินเฟยพูดตรงไปตรงมา
“เกิดอะไรขึ้นเมียนายนอกใจหรือไง? พอดีเลยคืนนี้เพื่อนไม่ธุระอะไร ออกมาดื่มเป็นเพื่อนนายได้!” หวังเลี่ยงพูด
ฉินเฟยได้ยินจนพูดไม่ออก: “ทวดนายสิ เมียนายสินอกใจ! เป็นเรื่องอื่น แต่ช่างเถอะ ฉันไปหาคนอื่นแล้วกัน”
“อย่า อย่า เฮ้ๆ ฉันก็แค่ล้อเล่นน่า……ล้อเล่น อย่าโกรธสิ แล้วงานอะไรเหล่ะ? ง่ายหรือเปล่า?” หวังเลี่ยงรับพูดขึ้นอย่างลอยหน้าลอยตา งานห้าหมื่นไม่ใช่งานเล็กๆ แล้ว
“หมายความว่าไง?” ฉินเฟยงุนงงเล็กน้อย
“อะไร จะหมายความว่าอะไรเล่า? อีกไม่นานก็จะถึงวันแห่งความรักแล้ว นายรู้หรือไม่ว่า นี่ถือว่าเป็นช่วงเวลาทองของปีของฉันเลยก็ว่าได้ ถ้าเป็นงานล่าช้า ฉันไม่รับนะ”
เวลาทองวันแห่งความรัก อย่างไรเสียวันแห่งความรัก ก็ต้องเจอคนที่อันเป็นที่รัก!
“จะว่ายากก็ยาก……” ฉินเฟยยิ้มอย่างขมขื่น และพูดเรื่องนี้ออกมาจนได้
“สะกดรอยตามโจรสลัดปล้นสุสานอย่างนั้นเหรอ? ปล้นสุสานเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายนะ คนกลุ่มนั้นต้องเป็นพวกไม่กลัวตายแน่นอน มันอันตรายมากเลยนะ……” เสียงของหวังเลี่ยงลังเล
“อันตรายพ่อนายสิ ที่นายสะกดรอยตามแอบถ่ายพวกเถ้าแก่ใหญ่ไม่อันตรายหรือไง? ถูกจับได้ก็โดนตีตายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? อย่าเพิ่มเงินก็พูดมาตรงๆ แสนหนึ่งเป็นไง? ฉินเฟยพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ได้ ได้ ราคามิตรภาพ หกหมื่นแล้วกัน ฉันรู้ว่าตอนนี้นายเองก็ไม่มีเงิน” หวังเลี่ยงพูดด้วยหัวเราะเฮอๆ
“แสนหนึ่งแล้วกัน และแน่นอนว่านายต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ” ฉินเฟยกล่าว
“เชี่ย นายรวยแล้วเหรอ? หวังเลี่ยงกล่าว
“อืม ประมาณนั้นเลห่ะมั้ง” ฉินเฟยลำพองใจได้ครู่หนึ่ง: “นายจะทำงานนี้นานไม่ได้ รอให้ผ่านไปสักพักฉันหางานที่มั่นคงหน่อยให้นาย ลูกพี่ไม่ใช่เด็กแล้ว นายก็ควรหาแฟนแต่งแล้วได้แล้ว”
งานนี้ของหวังเลี่ยงไม่ได้มั่นลงเลย ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ทุกวัน เพราะกลัวคนอื่นแก้แค้น แม้แต่ที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งก็ไม่มี พอเอาทุกด้านมารวมกันแล้ว เรื่องที่จะหาแฟนก็เท่ากับศูนย์
พวกเขาทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดี ฉินเฟยในวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว มีโอกาสเขาก็พร้อมที่จะช่วยหวังเลี่ยงอยู่แล้ว
ฉินเฟยเอาข้อมูลการติดต่อของเซียววี่ให้กับหวังเลี่ยง และให้หวังเลี่ยงไปหาเซียววี่
ประตูห้องหนังสือปิดแงะออก เจียงเยว่ถงเอียงหัวไปไปทางฉินเฟยที่กำลังโทรศัพท์อยู่หน้าระเบีบง ในใจมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเกิดขึ้นภายในใจ
มีบางคนไม่ถูกชะตา มองอย่างไรก็รำคาญ แต่มีบางคนพอถูกชะตาแล้ว มองอย่างไรก็ถูกตาต้องใจ ส่วนฉินเฟยคือจากไม่ถูกชะตาถึงมาเป็นถูกตาต้องใจ
ฉินเฟยในตอนนี้ ทำให้ฉินเยว่ถงรู้สึกว่ายิ่งถูกชะตามากขึ้นเรื่อยๆ ขอแค่เพียงเขามีงานทำ แทนที่จะมาทำความสะอาดบ้านทั้งวัน แค่นี้ก็เหมือนผู้ชายคนหนึ่งแล้ว
สับโมงกว่าเวลากลางคืน มีเสียงน้ำ ‘ช่า ช่า’ ดังออกมาจากน้องอาบน้ำในบ้าน……
หลังจากที่รอจนน้ำร้อนแล้ว เจียงเยว่ถงก็ถอดชุดนอนออก ยืนอยู่ใต้ฝักบัว และปล่อยให้น้ำไหลรดลงสู่ใบหน้าและไหล่ หยุดน้ำไหลลงมาตามลำคอแต่ในสมองกลับมีความคิดมากมาย……
พ่อพึ่งส่งข้อความเข้ามา บอกว่ากลับบ้านแล้ว แต่นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในนั้น พ่อยังบอกอีกว่า ตัวเองแต่งงานกับฉินเฟยมาสามปีแล้ว ในเมื่อไม่หย่า อย่างนั้นก็ควรมีลูกสักคนได้แล้ว เขายังรออุ้มหลานอยู่
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้เจียงเยว่ถงหน้าแดงไปหมด และในใจก็เขินอาย
เจียงเยว่ถงเป็นผู้หญิงหัวโบราณ ซึ่งผู้หญิงมีจิตวิญญาณของความเป็นแม่อยู่แล้ว แน่นอนว่าเธอไม่ได้เกลียดเด็ก และตัวเองในฐานะภรรยา ร่างกายก็ต้องมอบให้สามีตัวเองอยู่แล้ว แต่ว่า……
เธอก้มหน้าเล็กน้อยมองดูร่างกายที่ตัวเองภาคภูมิใจ ร่างกายที่สมบูรณ์แบบนี้จะมอบให้ฉินเฟยแล้วเหรอ?
ในห้องรับแขก ฉินเฟยกำลังดูโทรทัศน์ด้วยเสียงที่เบาหวิว และแน่นอนว่าในเวลานี้เขาไม่ว่าภรรยากำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ในห้องน้ำ
ไม่รู้ว่าผ่านไปไหนแค่ไหน เสียงในห้องน้ำก็หายไป และเจียงเยว่ถงก็เดินออกมา แล้วมากินน้ำที่ห้องรับแขก
ฉินเฟยเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
เจียงเยว่ถงเปลี่ยนชุดนอนกระโปรงไหมแท้สีดำ กระโปรงไม่ยาวนัก ซึ่งไม่ได้คลุมไปถึงหัวเข่า ดูเซ็กซี่แต่ก็ไม่สูญเสียความเป็นอนุรักษ์นิยม ขายาวคู่หนึ่งตัดกับไหมแท้สีดำยิ่งทำให้ขาวดั่งหิมะขึ้นมาก ราวกับน้ำนมที่ถูกชำระล้าง ทำให้คนที่ได้เห็นลุ่มหลงตาหลาย……
เจียงเยว่ถงเป็นผู้หญิงที่รักนวลสงวนตัว แม้ว่ารักสวยรักงาม แต่ว่ามีน้อยมาที่จะใส่ชุดนอนแบบนี้ภายในบ้าน……
ฉินเฟยรู้ดีว่ารูปร่างภรรยาของตัวเองดีแค่ไหน รูปร่างที่เพรียวบางและส่วนโค้งส่วนเว้าอวบอัดที่พร้อมจะออกมาของเธอ และใบหน้าสวยสดงดงามเงยหน้าสู่ท้องฟ้านั้น กลับให้ความรู้สึกสูงส่งและสง่างาม
ฉินเฟยอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายหนึ่งคำ และรีบละสายตาไปทางอื่น เพราะกลัวว่าเจียงเยว่ถงเห็นได้
สัมผัสที่หกของผู้หญิงนั้นเฉียบแหลมมาก เป็นไปไม่ได้เจียงเยว่ถงจะไม่เห็น เพียงแต่ว่าในใจไม่ได้โกรธมากเท่าไหร่นัก เมื่อเปรียบเทียบกับสายตาที่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อยของโจงเซี่ยงเฉียนและฮั่วจงเหยียน สายตาของฉินเฟยอ่อนโยนกว่ามาก
อย่างน้อย เวลาที่ฉินเฟยอยู่ที่บ้าน เธอสบายใจมาก
ไม่ต้องเป็นห่วงว่าตัวเองจะถูกบังคับ หรือว่าถูกรังแก
“ฉันนอนแล้ว นายเองก็นอนเช้าหน่อย” เจียงเยว่ถงเทน้ำเต็มอีกครั้งและพูดขึ้น
“อืม ผมก้จะไปนอนแล้ว” ฉินเฟยกล่าว
สามปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนยากที่จะกลมกลืนกันเช่นนี้ เจียงเยว่ถงกลับไม่ค่อยคุ้นชิน ไม่รู้ว่าผุดคิดอะไรขึ้นมา มักจะรู้สึกว่าบรรยากาศของทั้งสองค่อนข้างพิเศษ
เธอก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นถือแก้วน้ำเดินเข้าห้องนอนไป
เอนกายนอนบนเตียง และเจียงเยว่ถงได้ปิดไฟลง แต่ความมืดตรงหน้าทำให้เจียงเยว่ถงอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา
ค่อยๆ หลับตาลง แต่ในสมองกลับปรากฏใบหน้าที่หยิ่งผยองและน่ากลัวของฮั่วจงเหยียนที่รังแกตัวเองในคืนนี้
เจียงเยว่ถงตกใจกลัวจนต้องรีบลืมตาขึ้น หลังจากที่ปรับตัวได้สักพักก้หดหัวเข้าไปในผ้าห่มบาง และเมื่อหลับตาลงเตรียมตัวนอนอีกครั้ง แต่ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้ง
วันนี้เธอประสบกับความตื่นตกใจมากเกินไป เดิมคิดว่าหลังจากที่อาบน้ำอุ่นแล้วจะลืมได้เอง แต่แล้วเธอก็มองตัวเองสูงไป
ความมืดรอบๆ ทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยแม้แต่นิด ถึงแม้ว่าจะซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มอบอุ่นก็ตาม ก็ไม่อาจหยุดความหนาวเย็นทั่วร่างกายได้ ตกใจกลัวจนเธอต้องลุกขึ้นเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะทันที
เจียงเยว่ถงมองไปที่หน้าต่าง ผ้าม่านขยับเล็กน้อย และสิ่งที่เห็นผ่านช่องว่างขแงผ้าม่าน ยังเป็นความืดที่ไม่มีที่สิ้นสุดของท้องฟ้าภายนอก ความเย็นชุ่มฉ่ำของสายลมอ่อนๆ นั่น ทำให้เธอรู้สึกหนาวเป็นพิเศษ…….
เจียงเยว่ถงลุกขึ้นและออกจากห้องนอน ไฟในห้องรับแขกยังคงสว่างอยู่ จากนั้นมองดูฉินเฟยที่อยู่บนโซฟา ทำให้จิตใจสับสนวุ่นวายของเธอเปลี่ยนเป็นสงบลงได้มากขึ้นทีเดียว
ฉินเฟยไม่มีทางรู้เรื่องเหล่านี้แน่นอน ตอนที่ฮั่วจงเหยียนรังแกเธอ และคืนนี้เธอเองก็ไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว จึงรู้ไม่มากนัก
ฉินเฟยรู้ว่าเจียเยว่ถงอาจตกใจกลัวบ้าง แต่ในใจของเขา เจียงเยว่ถงเป็นหญิงแกร่งคนหนึ่ง แค่ตกใจเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรหรอก ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรมาก
เช่นเดียวกับเจียงเยว่ถง วันนี้เขาเองก็ผ่านอะไรมามาก ทั้งกลั่นยาเชื่อมสวรรค์จนสำเร็จ และยังสามารถให้ดาบเสวี่ยอิ่นเลือกตัวเองเป็นเจ้าของดาบ ยิ่งไปกว่านั้นคืนนี้เขาได้ผ่านศึกครั้งใหญ่ แล้วทำให้นึกถึงตระกูลฮั่วขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงมาดูโทรทัศน์สักพัก
ถึงแม้ว่าตัวเองจะปรับเสียงโทรทัศน์ให้เบามากแล้ว แต่ก็คิดว่าเธอถูกตัวเองรบกวนจนได้ จึงรีบปิดโทรทัศน์ และลุกขึ้นพูดว่า: “ผมจะไปนอนเดี๋ยวนี้แล้ว”
พูดแล้วก็พลางเดินไปยังห้องเก็บของของตัวเอง
“ฉินเฟย……” เสียงเจียงเยว่ถงเรียกขึ้นทันที
“อืม?” ฉินเฟยหันไปมองภรรยาของตัวเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเห็นท่าทางที่อยากพูดแต่ก็ไม่พุดของเธอ ก็เกิดความสงสัยในใจขึ้น
เจียงเยว่ถงเป็นคนเฉียบขาดตรงไปตรงมาเสมอ กับตัวเองก็เป็นแบบนี้ แต่งงานมาสามปี ควรด่าก็ด่า ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
เจียงเยว่ถงกัดริมฝีปาก ดูเหมือนเป็นการรวบรวมความกล้า: “หรือว่า……คืนนี้นายไปนอนที่ห้องฉันเถอะ ฉัน ฉันกลัวนิดหน่อยน่ะ……”
เมื่อพูดจบลง ก็มองเห็นสีหน้าของฉินเฟยเปลี่ยนจากตวามสงสัยกลายเป็นตกตะลึง แล้วใบหน้าสวยงามของเจียงเยว่ถงก็เปลี่ยนเป็นเขินอายขึ้นมาทันที และกระทืบเท้าเบาๆ” คุณไม่เต็มใจ ก็ช่างมันเถอะ!”