ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) - บทที่ 66 เสิ่นเจียเหวินยอมพลีกายเองเลย (2)
ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 66 เสิ่นเจียเหวินยอมพลีกายเองเลย? (2)
“เธออย่าได้มาทำเป็นลอยหน้าลอยตาอยู่ได้! ผู้หญิงประเภทนี้อย่างเอฉันเจอมาเยอะแล้ว มักจะคิดว่าตนเองมีตำแหน่งการงานที่ดีในบริษัท แล้วก็จะนึกว่าตัวเองล้ำเลิศโดดเด่นเป็นที่สุด เธอเชื่อไหมว่าฉันแค่โทรศัพท์สายเดียว ก็สามารถทำให้เธอสูญสิ้นหน้าที่การงานได้? ”
เสิ่นเจียเหวินได้รับฟังจนสีหน้าเย็นชาไปหมด เธอเองก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเลวทรามหน้าด้านแบบนี้ เธอจึงมีสีหน้าท่าทางเย็นชาลงอย่างสิ้นเชิง
อย่าได้มองว่าโดยปกติเธอนั้นจะตลกเฮฮา ร่าเริงขบขัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีนิสัยอารมณ์ที่จะถูกคนอื่นรังแกได้โดยง่าย โดยเธอได้พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “แล้วแต่คุณก็แล้วกัน! ”
ขณะที่พูด ก็หันหลังแล้วเดินจากไปเลย
“แม่งสิ ไอ้ผู้หญิงเลว เธออย่าได้มาทำเป็นหยิ่งอวดดีไปหน่อยเลย! หลิวโป๋ฮุ่ยดุด่าขึ้น แล้วก็ลากแขนของเธอเอาไว้อีกครั้ง”
“คุณปล่อยฉันนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้ อา—-” เสิ่นเจียเหวินสะบัดมือออกอย่างเย็นชา แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายหนึ่งฉุดรั้งตัวเอาไว้ จึงทำให้ข้อเท้าพลิก และร้องครวญขึ้น
“ไอ้ผู้หญิงสารเลว เธอจะแจ้งตำรวจใช่ไหม? ฮ่าฮ่า งั้นเธอก็แจ้งตำรวจเลยสิ รองผู้กำกับสถานีตำรวจคือพี่เขยของฉันเอง เธอดูแล้วกันว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร? ” หลิวโป๋ฮุ่ยยิ้มอย่างเย็นชา พร้อมกับจับที่ข้อมือของเสิ่นเจียเหวินไว้แน่น
เสิ่นเจียเหวินขมวดคิ้วขึ้นอย่างเจ็บปวด บริเวณข้อมือมีอาการเจ็บปวดขึ้นอย่างรุนแรง และเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่หลงระเริงของหลิวโป๋ฮุ่ยนั้น ก็เกิดความโมโหและเสียใจขึ้น
ตรงตามที่หลิวโป๋ฮุ่ยกล่าวไว้อย่างนั้นว่า เธอก็แค่เป็นเพียงรองประธานของบริษัทแห่งหนึ่งเท่านั้น ดูเหมือนว่าจะมีตำแหน่งการงานที่สูง เงินเดือนก็ไม่น้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลใหญ่แล้ว ก็ยังคงห่างไกลกันลิบลับ
และนี่ ก็ไม่ใช่เพียงแค่ความแตกต่างของสถานะเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใดในเมืองซงไห่ เขาต่างก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องที่มั่นคงลึกซึ้งทั้งหมด ส่วนพนักงานปกทองอย่างเธอนี้ อะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น!
“ปล่อยมือหล่อนเดี๋ยวนี้! ” ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงของชายคนหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้น
เสิ่นเจียเหวินก็พลันเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบเห็นฉินเฟยที่กำลังแบกสิ่งของสีดำมิดชิ้นหนึ่ง เดินตรงมาหาเธอเองอย่างรวดเร็ว
เสิ่นเจียเหวินร่างกายสั่นเทา เขินอายไม่กล้าที่จะมองตรงไป
“นายเป็นใคร? ” หลิวโป๋ฮุ่ยเห็นฉินเฟยวิ่งตรงเข้ามา โดยที่ไม่มีความหวาดวิตกแม้แต่น้อย จึงเหลือบตามองไป ด้วยท่าทางที่หยิ่งทะนง โดยที่ยังไม่ได้ปล่อยข้อมือของเสิ่นเจียเหวิน
“ฉัน……ฉันคือเพื่อนร่วมงานของเสิ่นเจียเหวิน ขอให้นายทำตัวสุภาพสักหน่อย ปล่อยหล่อนเดี๋ยวนี้ !” ฉินเฟยมองไปที่หลิวโป๋ฮุ่ยพร้อมกับพูดขึ้น
เดิมทีเขาคิดว่าเสิ่นเจียเหวินกำลังมีนัดกับอีกฝ่ายหนึ่ง จึงอาศัยช่วงจังหวะที่จะรีบจากไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะเกิดการทะเลาะกันขึ้นมา แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะห่างกันไกลพอสมควร แต่ที่นี่ตอนกลางคืนไม่มีลมพัด และความสามารถในการรับฟังของฉินเฟยนั้นในช่วงนี้ก็เหมือนจะพัฒนาขึ้นบ้าง
แม้ว่าฉินเฟยจะไม่รับรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง แต่ก็พอฟังออกได้บ้างว่า เสิ่นเจียเหวินกำลังถูกรังแก และเขาเองก็จะทำเป็นไม่สนใจไม่ได้
หากว่าทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินจากไป เขาคงจะทำใจลำบาก
“เพื่อนร่วมงาน เหอะเหอะ เรื่องนี้ฉันขอเตือนนายเอาไว้ก่อนเลยว่า อย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยว ไม่อย่างนั้นฉันเองก็จะจัดการกับนายไปพร้อมกันเลย นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างฉันกับเสิ่นเจียเหวิน เชื่อไหมว่าเพียงแค่ฉันโทรศัพท์ ก็สามารถทำให้ว่านเซียง กรุ๊ปล้มละลายลงได้? นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ไสหัวไปซะ! ” หลิวโป๋ฮุ่ยยิ้มเยาะอย่างเหยียดหยาม หลงระเริงอย่างที่สุด
“แค่นายโทรศัพท์ก็สามารถทำให้ฉันต้องไสหัวไป? “ ฉินเฟยได้ยินแล้วก็แทบจะหัวเราะออกมา: ”ถ้างั้นนายก็ลองโทรศัพท์ดูสิ? ”
“นายชื่ออะไร? ”
“นายไม่ต้องสนใจว่าผมชื่ออะไร ปล่อยหล่อนเดี๋ยวนี้! ” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างเย็นชาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งยังคงจับที่ข้อมือของเสิ่นเจียเหวินอย่างแน่น
“หากฉันไม่ปล่อยมือล่ะ? หลิวโป๋ฮุ่ยสีหน้าเย็นชา และเงยหน้ามองไปที่ฉินเฟย ด้วยท่าทางที่ดูถูกเหยียมหยาม”
ฉินเฟยยิ้มเล็กน้อย แล้วก็ยื่นมือออกมา ตีไปที่บริเวณข้อมือของเสิ่นเจียเหวินที่หลิวโป๋ฮุ่ยจับอยู่ หลิวโป๋ฮุ่ยเจ็บปวดจนมือสั่นเทา แล้วฉินเฟยก็รองรับข้อมือของเสิ่นเจียเหวิน และดึงตัวเธอเข้ามาที่ด้านหลังของตนเองทันที
เสิ่นเจียเหวินเดินโซซัดโซเซ และขมวดคิ้วขึ้นอย่างหนัก แต่ก็ยังคงมายืนอยู่ด้านหลังของฉินเฟยอย่างเชื่อฟัง และจิตใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“คนผู้นี้คือคุณชายสามของตระกูลหลิว อย่าได้ล่วงเกินเด็ดขาด” เสิ่นเจียเหวินพูดเตือนขึ้นขณะที่อยู่ด้านหลังของฉินเฟย
ฉินเฟยมารับตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริหารว่านเซียง มูวีอย่างที่ไม่มีใครรับทราบมาก่อน ทางเสิ่นเจียเหวินจึงมองว่า ฉินเฟยคงจะไม่มีอิทธิพลอำนาจอะไรในซงไห่สักเท่าไร เขาก็แค่เป็นที่ชื่นชอบประทับใจของประธานจาง (จางจงเยว่) ก็เท่านั้น โดยปกติเสื้อผ้าการแต่งกายของฉินเฟยก็ธรรมดามาก อีกทั้งรับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารมาเป็นเวลานานแล้ว ก็ยังคงขี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามาทำงานอยู่ตลอด
และในช่วงเวลานี้ ฉินเฟยเองก็ยังคงปกปิดสถานะของตนเองเป็นความลับอยู่ เกรงว่าคงจะกลัวคนอื่นดูถูก และผลลัพธ์ที่ตามมาจากการดูถูกนั้นก็คือ เขาไม่มีเบื้องหลังที่ลึกซึ้งอะไร ยากที่จะปกครองคน!
แม้ว่าจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลยิ่งใหญ่มาจากที่ไหนก็ยากที่จะล้มผู้ยิ่งใหญ่ในพื้นที่ได้ เพราะว่าว่านเซียง มูวีนั้นเพิ่งจะโยกย้ายมาตั้งที่ซงไห่ ถึงแม้จะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอิทธิพลอำนาจของตระกูลในพื้นที่เมืองซงไห่แล้ว ก็ยังคงเทียบเท่าไม่ได้
“รู้ว่าฉันเป็นคุณชายสามของตระกูลหลิวก็ดีแล้ว! ” แม้ว่าเสียงของเสิ่นเจียเหวินจะเบา แต่ทางหลิวโป๋ฮุ่ยก็ยังได้ยิน ทำให้สีหน้าท่าทางยิ่งจะหลงระเริงมากขึ้นไปอีก
เขามองไปยังฉินเฟยด้วยสีหน้าท่าทางที่เหยียดหยาม: “หากคิดที่จะเป็นสุภาพบุรุษช่วยเหลือสาวสวยล่ะก็ต้องพิจารณาความสามารถของตนเองเสียก่อนด้วย ฉันให้เวลานายเพียงสามวินาที ไสหัวไปให้พ้นจากสายตาของฉัน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ฉันก็จะไม่ถือสา หากไม่อย่างนั้น นายจะต้องตายลงอย่างแน่นอน! ”
เสิ่นเจียเหวินที่อยู่ด้านหลังร่างกายสั่นเทา
พูดตามจริงว่า เรื่องน่าอับอายที่เกิดขึ้นนี้ เธอเองก็ไม่อยากที่จะให้ฉินเฟยพบเห็น และยิ่งไม่อยากให้ฉินเฟยเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เพราะหลิวโป๋ฮุ่ยคนนี้ชั่วช้าเลวทราม แต่ดันมีตระกูลที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งอย่างมาก
แต่ เธอก็ไม่อยากที่จะให้ฉินเฟยเดินจากไปแบบนี้
ถ้าหากฉินเฟยจากไปแล้ว เธอจะเป็นอย่างไร?
เมื่อได้ยินคำพูดก้าวร้าวของหลิวโป๋ฮุ่ยแล้ว ฉินเฟยก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา
“ทำไม ยังไม่เกินสามวินาทีหรอกเหรอ? ” ฉินเฟยยิ้มเยาะ
“แก! ” คำพูดของฉินเฟยแทบจะทำให้หลิวโป๋ฮุ่ยสำลักหยุดหายใจ สีหน้าแดงก่ำขึ้นอย่างมาก
“แม่งสิ แกรนหายที่ตายเสียแล้ว! ” ภายใต้ความโมโห หลิวโป๋ฮุ่ยจึงได้ชกหมัดขนาดใหญ่อย่างกับกระสอบทราย พุ่งใส่ไปที่ใบหน้าของฉินเฟยอย่างรุนแรง
“อ่า รีบหลบเร็ว! ” เสิ่นเจียเหวินเห็นอีกฝ่ายหนึ่งพูดว่าจะลงมือก็ลงมือเลยทันที จึงตกใจจนกรีดร้องขึ้น แล้วก็ใช้มือดึงตัวฉินเฟยเล็กน้อย
ฉินเฟยยิ้ม เพราะสำหรับเขาแล้ว หมัดที่หลิวโป๋ฮุ่ยชกออกมานั้นมันช้ามาก ที่จริงแล้วพลังหมัดยังเทียบไม่ได้กับพวกอันธพาลคุมพื้นที่เลยด้วย!
ฉินเฟยถึงขนาดว่ามีเวลา ยื่นมือออกไปจับมือของเสิ่นเจียเหวินที่อยู่ด้านหลังที่ได้ยื่นออกมาดึงตนเองด้วย แล้วจึงยื่นมือออกไปคว้าหมัดกระสอบทราบของอีกฝ่ายหนึ่งเอาไว้ พร้อมกับยื่นเท้าเตะไปยังที่ท้องของหลิวโป๋ฮุ่ย
“โอ้ย! ”
ฉินเฟยใช้แรงไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย โดยหลิวโป๋ฮุ่ยที่แต่ไหนแต่ไรก็ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี เคยชกต่อยกับใครที่ไหน จึงถูกฉินเฟยเตะจนล้มกองอยู่ที่พื้น แล้วใช้มือสองข้างกุมไปที่ท้องพร้อมกับร้องโอดครวญ
ฉินเฟยคิดถึงเมื่อครู่ที่หลิวโป๋ฮุ่ยดุด่าเสิ่นเจียเหวินแล้วก็เกิดความโมโห จึงคิดที่จะเข้าไปเตะซ้ำอีกครั้ง แต่กลับถูกเสิ่นเจียเหวินที่อยู่ด้านหลังดึงตัวเอาไว้แน่น: “อย่าเตะเขาอีกเลย รีบไปกันเถอะ! ”
ฉินเฟยถูกเสิ่นเจียเหวินใช้แรงลากตัวไป เขาเองไม่ได้เกรงกลัวอะไรหลิวโป๋ฮุ่ย แต่ทราบดีถึงว่าความลำบากใจของเสิ่นเจียเหวิน จึงได้วิ่งหลบหนีไปด้วยกัน
เสิ่นเจียเหวินไม่กล้าที่จะหันมองไปดูหลิวโป๋ฮุ่ยที่อยู่ด้านหลัง โดยได้ลากชายคนที่ช่วยเหลือตัวเองไว้แล้ววิ่งตรงไปยังที่จอดรถของตัวเอง โดยสายลมที่พัดผ่าน เหมือนจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่ข้อมือของเธอนั้นลงได้บ้าง……
“รีบขึ้นรถเร็ว นายมาขับรถ” เสิ่นเจียเหวินวิ่งมาด้านข้างรถ แล้วรีบใช้มือเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ
“ทำไมจะต้องรีบหนีด้วย เขาสู้ฉันไม่ได้หรอก! ” ฉินเฟยพูดขึ้นอย่างจำใจ
“นายโง่เหรอเปล่าเนี่ยะ โรงแรมของเขาอยู่ใกล้แค่นี้ ถ้าหากมีคนมาช่วยก็คงยุ่งยากแล้ว? ”เสิ่นเจียเหวินเหลือบตาขาวใส่ฉินเฟยด้วยความโกรธ: “รีบขึ้นรถเร็ว ไปกันได้แล้ว”
ขณะที่พูด เธอก็มุดตัวเข้ามาในรถ
ฉินเฟยพยักหน้าอย่างจำใจ แล้วก็ปลดดาบเสวี่ยอิ่นที่แขวนอยู่บนร่างกายออกวางไว้บนเบาะที่นั่งด้านหลัง จากนั้นก็ขึ้นรถตามที่เสิ่นเจียเหวินเร่งเร้า
รถของเสิ่นเจียเหวินคือรถปอร์เช่สีน้ำเงินเข้ม เป็นรถรุ่นเก่าหน่อย น่าจะเป็นรถรุ่นเมื่อสี่ถึงห้าปีที่แล้ว ภายในรถสะอาดเป็นอย่างมาก กระจกมองหลังยังมีแขวนตุ๊กตาหมีน้อยสีขาวน่ารักตัวหนึ่งด้วย และทั้งคันรถเต็มไปด้วยกลิ่นความหอมของผู้หญิง
เสิ่นเจียเหวินก็ไม่ได้พูดบอกว่าจะไปที่ไหน เมื่อฉินเฟยสตาร์ทเครื่องรถแล้วก็ขับตรงไปข้างหน้า
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ” ฉินเฟยหันหน้ามองไปที่เสิ่นเจียเหวิน เพราะว่าที่วิ่งหนีกันเมื่อครู่นี้ ทำให้ใบหน้าของเสิ่นเจียเหวินแดงก่ำขึ้น ซึ่งก็มีเสน่ห์เป็นอีกแบบหนึ่ง
“ฉันไม่เป็นไร แต่ฉันกลัวว่าไอ้คนนั้นมันจะมีเรื่อง นาย……เมื่อครู่ที่นายเตะนั้นคงจะไม่ทำให้เขาบาดเจ็บอะไรมากหรอกนะ? เสิ่นเจียเหวินหันมองไปยังด้านหลัง พบว่าไม่มีผู้ใดตามหลังมา แต่น้ำเสียงที่พูดนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยความกังวลใจ”
เธอเองก็คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่ตัวเองคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มหน้าใสจะเก่งกาจขนาดนี้ เตะเพียงแค่ครั้งเดียวก็ทำให้หลิวโป๋ฮุ่ยที่ร่างกายกำยำ ล้มลงจนแทบจะลุกไม่ขึ้น แต่เธอเองก็ยังเป็นกังวลว่าหลิวโป๋ฮุ่ยถูกฉินเฟยเตะจนบาดเจ็บ ซึ่งฉินเฟยทำแบบนี้ก็เพราะช่วยเหลือตัวเธอ ถ้าหากเกิดปัญหายุ่งยากขึ้นเพราะเรื่องดังกล่าวแล้ว เธอเองก็ยิ่งจะละอายใจมากขึ้นไปอีก
“ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ก็แค่คิดไม่ถึงว่าทำไมเขาถึงได้อ่อนแอขนาดนี้” ฉินเฟยพูดขึ้น
“มิน่าล่ะที่เห็นนายออกกำลังกายฝึกฝนทุกวัน ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง” เมื่อเสิ่นเจียเหวินได้ยินว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็เบาใจลงได้แล้ว แสยะยิ้ม แล้วก็ผ่อนคลายลงเหมือนกับแต่ก่อน
เพียงแต่ว่า อาการผ่อนคลายนี้เธอเองที่เป็นคนสร้างมันขึ้นมา
“ใช่สิ คิดที่จะเป็นสุภาพบุรุษช่วยสาวสวย ก็จะต้องมีความสามารถบ้างไม่ใช่เหรอ? ” ฉินเฟยพูดอธิบายขึ้น
“ใช่แล้ว ฉันจะส่งคุณไปที่ไหน คุณทานข้าวแล้วหรือยัง? ”
“ยังไม่ทานเลย แต่ฉันไม่อยากทาน ถ้างั้น……นายส่งฉันกลับบ้านเถอะ” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้นด้วยความลังเลใจเล็กน้อย
“อืม ก็ได้” ฉินเฟยพยักหน้า เขารู้ดีว่าคืนนี้เสิ่นเจียเหวินได้รับความตกใจและหวาดกลัว เพราะว่าเป็นผู้หญิง เวลานี้ การกลับบ้านถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเธอ
เวลานี้เสิ่นเจียเหวินได้ใช้เข็มขัดนิรภัยรัดตัวอย่างแน่น ทำให้คู่เนินนั้นยิ่งเอิบอิ่มมากขึ้น หรือจะเรียกว่าเยี่ยมยอดไปเลยก็ได้
เสิ่นเจียเหวินมีลำคอที่ขาวนวล จินตนาการได้เลยว่า ภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้น คงจะสวยงดงามมากขนาดไหนกันเชียว……