ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) - บทที่ 74 คุณเป็นใครกันแน่!
เมื่อเห็นใบหน้าของเจียงเยว่ถงที่แดงก่ำ มันไม่ง่ายที่เขาจะเห็นด้านที่น่ารักของเธอแบบนี้
“นายอยากทำร้ายฉัน อยากเห็นฉันเป็นตัวตลกสินะ!”เจียงเยว่ถงโกรธมาก เธอลุกขึ้นยืน แล้วหยุดกินข้าวไปเลย กลับห้องนอนของเธอทันทีโดยไม่รีรอ พลันปิดประตูดัง‘ปั้ง’อย่างแรง
เอ่อ……
คงไม่ได้โกรธจริงๆใช่ไหม?ฉินเฟยรู้สึกถูกปรักปรำ แค่ตัวเองกลั้นขำไม่อยู่เนี่ยนะ?
เมื่อเห็นเจียงเยว่ถงกินข้าวไปครึ่งหนึ่ง ฉินเฟยก็รู้สึกเสียใจ ความจริงแล้วเขารู้สึกว่าซุปปลาเผ็ดร้อน จึงกระดกไวน์ไปหลายอึก แต่เดิมทีเขาอยากจะเตือนเจียงเยว่ถงว่าระวังจะเผ็ดเอา แต่เจียงเยว่ถงเคลื่อนไหวเร็วมาก ไม่มีโอกาสให้เขาได้เอ่ยปาก
เป็นเรื่องยากที่จะได้ทานมื้อค่ำที่หรูหรากับเจียงเยว่ถง เห้อ ฉินเฟยถอนหายใจ และรู้สึกว่าตัวเองไม่ผิดอะไร
“ช่างเถอะ ไม่กินฉันกินเองก็ได้”จากปริมาณอาหารของเขาแล้ว ตอนนี้ยังพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น เขายื่นมือถือชามข้าวที่เจียวเยว่ถงกินเหลือขึ้นมา แล้วเริ่มจ้วงคำใหญ่เข้าปาก
ใครจะไปรู้ว่า เขากำลังจะคีบมั่นฝรั่งเข้าปากไป จู่ๆประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกดัง‘ปั้ง’เจียงเยว่ถงที่เปลี่ยนเป็นกระโปรงชุดนอนก็เดินออกมา กำลังเห็นฉินเฟยหยิบข้าวของเธอกินอย่างเอร็ดอร่อย จึงทำให้เธอรู้สึกอดหงุดหงิดไม่ได้“ฉินเฟย นายทำอะไรน่ะ ทั้งๆที่ข้าวของคุณก็ยังกินไม่หมด ทำไมต้องมากินของฉันด้วยห้ะ?”
“ผม……”ฉินเฟยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยากร้องไห้ มองเห็นเจียงเยว่ถงเดินมาข้างหน้า แล้วพูดในใจว่าแม่เจ้าโว้ยตกลงเธอคิดจะทำอะไรกันแน่“คุณไม่กินไม่ใช่หรอ?”
“ฉันบอกรึไงว่าฉันไม่กินน่ะ?”เจียงเยว่ถงรู้สึกฉุนกึก
“ผม คุณ……”ฉินเฟยถึงกับพูดไม่ออก
“หึ!” เจียงเยว่ถงหันกลับไปยังห้องครัว แล้วทำเสียงหึอย่างรังเกียจ ผ่านไปไม่นานถือถ้วยตักข้าวของตัวเองออกมาด้วย จากนั้นก็นั่งตรงข้ามกันกับฉินเฟยอย่างสง่างาม ค่อยๆนั่งตักข้าวเข้าปากคำเล็กๆ
เมื่อสักครู่เธอสำลักไม่ระวังทำเสื้อผ้าของตัวเองหกเลอะเทอะ ดังนั้นเจียงเยว่ถงผู้ที่รักความสวยงามตลอดจึงไปเปลี่ยนชุดนอนมา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพอออกมาจะเห็นฉากที่ฉินเฟยคว้าชามข้าวของตัวเองไปกิน เพียงเพราะไอ้สารเลวนี่จงใจทำให้เธอโกรธ เธอจึงรู้สึกรังเกียจฉินเฟยมากยิ่งขึ้น
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดอาหารมื้อค่ำสุดพิเศษสำหรับพวกเขาสองคนก็เสร็จสิ้น เจียงเยว่ถงก็วางตะเกียบ และชำเลืองมองฉินเฟยที่กำลังทำความสะอาดโต๊ะน้ำชา ยืนขึ้นอย่างลังเลเก็บชามและตะเกียบแล้วเดินเข้าไปในครัว
ฉินเฟยหรี่ตาลง นี่สิถึงจะถูก แบบนี้ถึงจะเหมือนผู้หญิงจริงๆ ฉินเฟยมองไปที่แผ่นหลังของเจียงเยว่ถงแล้วพูดพึมพำ แต่ในตอนที่เขากำลังหันหลัง ในห้องครัวก็มีเสียงลอดออก“พริ้งเพร้ง——โอ้ย!!”ยังตามมาด้วยเสียงของร้องตกใจของเจียงเยว่ถง
“เป็นอะไรอีกเนี่ย?”ฉินเฟยรู้สึกว่าหัวใจของเขาสั่นเมื่อเขาได้ยิน และรีบไปที่ประตูห้องครัว เขาอดไม่ได้ที่จะตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าเขา
ไม่รู้ว่ามีจานและชามกี่ใบที่แตกเป็นชิ้นนับไม่ถ้วนบนพื้น เต็มพื้นไปหมด เจียงเยว่ถงภรรยาคนสวยของเขากำลังนั่งอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยจานชามที่แตกกองบนพื้นอย่างน่าสงสาร ใช้แรงปิดกุมเข่าของตัวเองไว้ น้ำตาไหล ‘พราก’ลงมาไม่หยุด……
เมื่อฉินเฟยได้ยินเสียงนี้ เจียงเยว่ถงก็เงยหน้าขึ้นมาจากท่ามกลางจานชามที่แตกกระจัดกระจาย ด้วยตบหน้าเปื้อนน้ำตา“ฉินเฟย ฉัน……”
ฉินเฟยไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดแล้ว
ผู้หญิงคนนี้ ถึงว่าสามปีมานี้ไม่เคยเข้าครัวมาก่อน นี่มันตัวหายนะของห้องครัวชัดๆ เข้ามาแค่สองครั้งก็ก่อเรื่องทั้งสองครั้ง ฉินเฟยรู้สึกยอมเธอแล้วจริงๆ
“นั่งอยู่ตรงนั้นแหละอย่าขยับนะ!”เมื่อเห็นเจียงเยว่ถงจะปีนขึ้นมา ฉินเฟยก็ถึงกับตกใจ รีบเดินเข้าไปในครัวโดยที่ไม่สนใจเสียงกรีดร้องคัดค้านของเจียงเยว่ถง เขาอุ้มเธอขึ้นมา แล้วก้าวมาห้องรับแขกสองสามก้าววางเธอลงกับโซฟา
ฉินเฟยเห็นเธอม้วนตัวไม่กล้าขยับอย่างเชื่อฟัง จึงอดขมวดคิ้วพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า“ทำไมไม่ระวังเลย เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
พูดจบ ก็ดึงสองมือของเจียงเยว่ถงที่กุมเข่าอยู่ออก ถึงแม้ฉินเฟยจะตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า แต่ตอนนี้ฝ่ามือของเจียงเยว่ถงก็เต็มไปด้วยเลือด บนหัวเข่าของเธอไม่รู้ว่าถูกเศษกระเบื้องกี่ชิ้นเจาะบาดกี่ที่ เลือดที่ไหลออกมาเปื้อนกระโปรงของเธอไปหมด……
“แค่ล้างถ้วยล้างชามต้องขนาดนี้เลยหรอ……”ฉินเฟยบ่นอุบอิบ นี่ขนาดยังไม่ทันเดินเข้าห้องครัวไปล้างเลยนะ ตอนนี้เขาไม่มีแรงจะมาต่อว่าหรือบ่นความซุ่มซ่ามของเธออีกแล้ว เลือดบนขาของเจียงเยว่ถงทำให้เขารู้สึกสงสารเล็กน้อย
“นั่งเฉยๆนะอย่าขยับ ให้ผมดูหน่อย……”เจียงเยว่ถงเบะปาก ด้วยความน้อยใจ แต่ก็ฟังคำเตือนของฉินเฟย เธอไม่กล้าขยับ แล้วนั่งอยู่เฉยๆ
ฉินเฟยรีบนั่งลงมา แล้วค่อยๆเลิกกระโปรงของเจียงเยว่ถงขึ้นเบาๆ ทันใดนั้นขาเรียวยาวขาวดุจดั่งหิมะก็โผล่ออกมาอยู่ตรงหน้าของเขา ขาวดุจดั่งหยก ความโค้งเว้าสง่างามราวกับฟ้าผลงานศิลปะที่ห้าประทาน แต่ในตอนที่เขาจะเลิกชายกระโปรงขึ้นไปบริเวณหัวเข่า ฉินเฟยก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง เจียงเยว่ถงเจ็บจนไม่สามารถควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นสะท้านได้
“คะ……คุณรอก่อน ผมจะไปหยิบกล้องปฐมพยาบาลมา อย่างมากก็สิบนาที”ฉินเฟยกำลังจะถามตำแหน่งที่วางกล่องปฐมพยาบาลอีกครั้ง แต่ไม่นานเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ สอบถามเจียงเยว่ถงสู้ไปหยิบชั้นล่างมาดีกว่า
“เร็วหน่อยนะ”เจียงเยว่ถงกัดริมฝีปาก เธอก้มลงมองหัวเข่าที่มีเลือดไหลไม่หยุด เสียงของเธอสั่นเครือ
“รู้แล้วครับ”ฉินเฟยเดินลงไปชั้นล่าง รีบวิ่งไปยังชุมชน
เขาเหนื่อยมากจากการออกกำลังกายในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และการวิ่งหลังจากกินอิ่มท้องแล้วก็ยิ่งต้องใช้กำลังมากขึ้น แต่เมื่อนึกถึงคำเตือนที่น่ากลัวของเจียงเยว่ถงในตอนนี้ ฉินเฟยก็อดไม่ได้ที่จะเร่งความเร็วของเขาอีกครั้ง เขารู้สึกว่าไม่ใช่เจียงเยว่ถงที่มีปัญหากับครัวในวันนี้ แต่เขาต่างหากที่มีความสัมพันธ์กับร้านขายยา
เสิ่นเจียเหวินครั้งหนึ่ง เจียงเยว่ถงก็อีกครั้งหนึ่ง!
ผ่านไปสิบนาที ฉินเฟยวิ่งกลับบ้านมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลชุดหนึ่ง
ฉินเฟยรีบวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบสำลีแอลกอฮอล์ออกมา แหนบและสิ่งของที่จำเป็นอื่นๆ มองขึ้นไปที่ดวงตาของเจียงเยว่ถง“คุณอดทนหน่อยนะ”
“อืม”เจียงเยว่ถงพยักหน้าฝืนความเจ็บ แล้วกัดริมฝีปากอย่างแรง เธอไม่กล้ามองเลือดที่อยู่บนขาของเธอด้วยซ้ำ บนใบหน้าเปื้อนเต็มไปด้วยน้ำตา ความจริงแล้วมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่าน้ำตาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเจ็บปวดทั้งหมด แต่ยังเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ และโทษที่ตัวเองโง่ซุ่มซ่ามขนาดนี้!
ตั้งแต่เล็กจนโตเธอเติบโตภายใต้การกล่าวชื่นชมของคนในครอบครัว ประกอบกับเธอเป็นเด็กน่ารักเชื่อฟัง เธอไม่เพียงแต่เรียนดี ยังไม่ก่อเรื่องสร้างปัญหา อีกทั้งเธอเองก็พยายามและฉลาด รู้สึกมาตลอดไม่ว่าตนเองจะทำอะไร ขอแค่ตั้งใจทำก็พอ แต่มาวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารหรือล้างจานชาม ในความทรงจำของเธอมันเป็นเรื่องที่แม้แต่คนโง่ยังทำเป็น ทำไมตนกลับทำได้ไม่ดี
“ไม่เป็นอะไรมาก”ฉินเฟยตรวจดูบาดแผลบนหัวเข่าของเจียงเยว่ถงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็โล่งอก มีแค่ปากแผลเล็กๆสามแห่งเท่านั้น มีเพียงหนึ่งในนั้นถูกแทงด้วยเศษชิ้นส่วนซึ่งทำให้เลือดไหลออกมามาก ดูน่ากลัว แต่จริงๆแล้วเป็นเพียงการบาดเจ็บเล็กน้อย
เมื่อเห็นฉินเฟยหยิบแหนบออกมา กำลังใช้แอลกอฮอล์เช็ด เจียงเยว่ถงก็ตัวสั่น เธอรู้สึกกลัวมากๆ แต่เธอก็ไม่กล้าเอ่ยปาก เธอไม่มีทางปล่อยให้ฉินเฟยหัวเราะเธออีกครั้งอย่างแน่นอน
หลังจากที่ฉินเฟยฆ่าเชื้อแล้ว ก็ค่อยๆจับน่องของเธอไว้ ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงความลื่น เมื่อมองไปที่หยกขาวที่อยู่ตรงหน้าเขา สมองของฉินเฟยก็ไม่สามารถหักห้ามความคิดฟุ้งซ่านได้ ไม่รู้ว่าจะทั่วทั้งตัวที่ขาวราวกับหยก เมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดแล้วจะเป็นอย่างไร
น่องของเจียงเยว่ถงสั่นอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออยู่ใต้ฝ่ามือ ฉินเฟยพยายามส่ายหัวไปมาอย่างแรงเพื่อลบความคิดฟุ้งซ่านที่เป็นไปไม่ได้ในสมองออกไป ตอนนี้พวกเขาอยู่ในช่วงคบหาดูใจกันเท่านั้น จากนิสัยเย็นชาของเจียงเยว่ถง ใครจะไปรู้ว่าจะตอบตกลงให้เขาร่วมหอตอนไหน
เขาค่อยๆใช้แหนบหยิบเศษจากออกมา น่าแปลกที่ครั้งนี้เจียงเยว่ถงไม่ได้ร้องเจ็บแต่อย่างใด เขาเงยหน้าขึ้น แต่กลับเห็นใบหน้าของเจียงเยว่ถงซีดเผือดไร้สีเลือด หรี่ตาลงอยากดูแต่ก็ไม่กล้าดู พยามกัดริมฝีปากของตัวเองไม่ให้ปล่อยเสียงร้องออกมา
ผู้หญิงคนนี้ดื้อรั้นจริงๆ!ฉินเฟยรู้สึกเลื่อมใส ถึงแม้ว่าจุดนี้สำหรับเขาแล้วจะไม่มีอะไร แต่ว่าคุณหนูอย่างเจียงเยว่ถงที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมมันไม่ใช่เรื่องเล็กเลย เจียงเยว่ถงกลับสามารถฝืนความเจ็บปวดไม่ร้องออกมา นี่มันเป็นเหมือนกับเรื่องอัศจรรย์
ถึงแม้บาดแผลจะไม่ใหญ่มาก แต่เพราะเศษจานชามมันเล็กมากด้วยเหตุผลที่มันเป็นสีใส ฉินเฟยจึงจัดการอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะทำให้เจียงเยว่ถงได้รับบาดเจ็บ
ถึงจะเป็นแบบนั้น มีหลายครั้งเช่นกันที่ร่างกายของเจียงเยว่ถงสั่นสะท้านอย่างทนไม่ไหวเพราะความเจ็บปวด แต่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงร้องออกมาสักแอะ
หลังจากจัดการทำความสะอาดแผลเสร็จ ในที่สุดฉินเฟยก็ยืดหลังตรงปาดเหงื่อบริเวณหน้าผาก แม่เจ้าโว้ย คนที่ได้รับบาดเจ็บไม่ใช่เขา แต่เขากลับเหนื่อยกว่าเจียงเยว่ถง ด้านหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“บาดแผลเล็กมากครับ อีกไม่นานก็สมานกัน ขอแค่อย่าเกิดอุบัติเหตุอีก พรุ่งนี้พอคุณตื่นขึ้นมาบาดแผลก็สมานกันแล้วล่ะ”ฉินเฟยเก็บกล่องปฐมพยาบาลไปด้วย“หลังจากสะเก็ดแผลหายแล้ว ให้ไปที่คลินิกดูแลมัน เพื่อไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น”
เจียงเยว่ถงเป็นผู้หญิง แต่ตนไม่ใช่ โดยเฉพาะเธอชอบสวมกระโปรง ถ้าหากบนขามีรอยแผลเป็น เธอต้องรับไม่ได้แน่ๆ
เจียงเยว่ถงพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร หลังจากที่จัดการเรียบร้อย บริเวณบาดแผลก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อย เธอสามารถทนได้ เธอก้มหน้าดูหัวเข่าที่ถูกปิดแผลไว้อย่างแน่นหนา ใยสมองอดไม่ได้ที่จะปรากฏภาพของฉินเฟยที่ทำความสะอาดแผลอย่างเชี่ยวชาญ และคอยพันแผลให้เธออย่างเอาใจใส่
เธอเงยหน้ามองฉินเฟย ด้วยสายตาที่หลงใหล
ช่วงนี้ การแสดงออกของฉินเฟยทำให้เธอยิ่งอยู่ยิ่งไม่รู้จักเขา สิ่งที่เขาแสดงออกมาทั้งหมด ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนกับผู้ชายคนหนึ่ง ยิ่งเหมือนกับผู้ชายแสนดีที่เพื่อนร่วมงานรอบๆตัวของเธอพูดถึงกัน เป็นผู้ชายที่ทำเป็นทุกอย่าง
กระทั่ง ความสามารถของฉินเฟยรวมถึงเรื่องที่เขาทำ สิ่งที่เขาทำก็เกินขอบเขตของผู้ชายที่ดีๆทั่วไป
เหมือนกับ หลังจากที่ฉินเฟยไปทำงานข้างนอกกลับมา เปลี่ยนเป็นมั่นใจยิ่งขึ้น และผู้ชายที่มั่นใจคนหนึ่ง มันมีเสน่ห์สำหรับผู้หญิงเป็นอย่างมาก แต่ความมั่นใจของฉินเฟยมาจากความสามารถของเขา
แต่เขา มาจากบ้านนอกไม่ใช่หรอ?ในประวัติส่วนตัวของเขา อย่างมากก็แค่จบมาจากมหาวิทยาลัยที่ไม่เลวเท่านั้น
“มีอะไรหรอ คุณมองผมแบบนี้หมายความว่าไง คงไม่ได้ซาบซึ้งกับสิ่งที่ผมทำเมื่อสักครู่หรอกนะ?แฟนอย่างผมอย่างทำได้ไม่ดีอีกหรอ?”ฉินเฟยถูกสายตาของเจียงเยว่ถงมองจนทำตัวไม่ถูก หลายปีมานี้เจียงเยว่ถงดูถูกเขามาตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจ้องมองเขาอย่างลึกซึ้ง
เขาหัวเราะฮ่าๆเพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียด แต่เจียงเยว่ถงไม่มีทีท่าใดๆทั้งสิ้น เขาหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยุดชะงักไปอย่างอึดอัด
“ฉินเฟย ตกลงนายเป็นคนยังไงกันแน่?”เจียงเยว่ถงถามฉินเฟยอย่างจริงจัง แววตาคู่สวยจ้องมองที่เขา โดยไม่ให้พลาดแม้แต่รายละเอียดเดียว
“ผมเป็นแค่ลูกเขยที่ไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรอ?คุณคิดมาตลอดว่าผมเป็นแบบนั้น ผมก็คิดว่าเป็นแบบนั้นมาตลอด”ฉินเฟยรีบเก็บกล่องปฐมพยาบาล ราวกับจู่ๆเขาก็เหมือนได้รับคำชมจากภรรยาที่เขาเฝ้าห่วงใย
ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันเป็นคืนที่โรแมนติกมากสำหรับฉินเฟย ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยาหรือแฟนกัน แต่ก็มีเรื่องแปลกประหลาดมากมายเกิดขึ้น แต่อีกฝ่ายคือเจียงเยว่ถงที่ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่แย่กว่านั้นมันมีเรื่องราวเกิดขึ้นหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ไม่มีเรื่องไหนเป็นเรื่องดีเลย
เจียงเยว่ถงขมวดคิ้วเป็นผม เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำตอบของฉินเฟย……