ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - บทที่ 1951
บทที่ 1951
ในเวลานี้ ซ่งหวั่นถึงรู้สึกกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
เธอคิดไม่ถึงเลยว่า บริษัทนิปปอนสตีจะรับมือได้ยากขนาดนี้
อีกอย่าง ตลอดการเจรจา ก็มีแต่เธอที่ถูกไล่ต้อนฝ่ายเดียว อุตส่าห์เตรียมไพ่มาตั้งหลายใบ จนขนาดกลางไพ่ใบสุดท้ายออกมา ก็ไม่
สามารถหาบทสรุปของการร่วมงานได้
เบื้องลึกในใจของเธอ รู้สึกได้ถึงความพ่ายแพ้
อีกอย่างเธอยังมีลางสังหารณ์ว่า การเจรจาในครั้งนี้ เธออาจจะไม่สามารถแย่งชิงผลลัธ์ที่เธอต้องการมาได้ง่ายๆ
โชคร้ายเข้าหน่อย ครั้งนี้อาจจะไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมาเลยก็ได้
ระหว่างทางกลับโรงแรม เธอก็นำสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้บอกเล่าให้คนในครอบครัวฟัง
แม้ว่าคุณท่านซ่งจะผิดหวังนิดหน่อย แต่ก็ยังพูดให้กำลังใจเธอว่า “หวั่นถึง การร่วมงานกับบริษัทนิปปอนสตีในครั้งนี้ แกไม่ต้องกดดัน
มากก็ได้ เรื่องนี้ถ้าเจรจาสำร็จก็ดีไป แต่ถ้าไม่เราก็ไม่ได้มีอะไรเสียหย อย่างมากก็แค่เสียงเงินไปนิดหน่อย แกไม่ต้องเครียดหรอก”
ซ่งหรงวี่ส่งข้อความตอบกลับมาว่า “ใช่ หวั่นถึง บริษัทนิปปอนสตีขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทที่รับมือยาก เลยมีหลายบริษัทในประเทศที่อยาก
ร่วมงานกับพวกเขา แต่ไม่เคยมีบริษัทไหนเคยเจรจาสำร็จจริงๆจังๆ ดังนั้นถ้าแกจะเจรจาไม่สำเร็จ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวังอะไรหรอก”
คำพูดของซ่งหรงวี่ ปลุกความอยากเอาชนะเบื้องลึกในใจของซ่งหวั่นถึงขึ้นมา
เธอรู้สึกว่า ยิ่งมีหลายคนหลายบริษัททำไม่สำเร็จ เธอก็ยิ่งอยากคว้ามันมาให้ได้!
ไม่อย่างนั้น เธอก็จะกลายเป็นหนึ่งในคนที่ยอมแพ้ง่ายๆเหล่านั้น
แต่ว่า สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ค่อยแน่ชัด ดังนั้นซ่งหวั่นถิงจึงไม่กล้มั่นใจอะไรเท่ไหร่ เธอพูดในกลุ่มครอบครัวว่า “พรุ่งนี้ฉันจะ
พยายามเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าสำเร็จก็ดีไป แต่ก็ไม่ก็ช่างมัน”
คุณท่านซ่งเอ่ยพูดว่า “ไม่เป็นไร สำร็จหรือไม่ก็อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ปูไม่อยากให้แกทุ่มเทให้กับงานจนทำร้ายตัวเอง เข้าใจไหม?”
ซ่งหวั่นถึงรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง จึงตอบกลับไปว่า “โอเคค่ะคุณปู่ ฉันเข้าใจแล้ว”
ในตอนนี้เองซ่งหรงวี่ก็พูดยิ้มๆออกมาว่า “หวั่นถิง พี่เชื่อในความสามารถของแก พี่เชื่อว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมาจะได้รับข่าวดีว่าเซ็นสัญญา
สำเร็จจากแกแน่นอน! ”
ซ่งหวั่นถึงรู้ว่าพี่ชายกำลังปลอบใจเธอ ดังนั้นเธอจึงส่งสติกเกอร์ยิ้มตอบกลับไป “พี่คะ ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะ! ”
เมื่อกลับมาถึงโรงแรม ซ่งหวั่นถิงก็รู้สึกกลุ้มใจอยู่ตลอด จนไม่ได้กินแม้แต่ข้าวเย็น เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องคนเดียว ก็กลับมาทบทวน
แผนที่วางเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อหาสาเหตุที่ไม่สามารถทำให้บริษัทนิปปอนสตีสะเทือนได้
เนื่องจากจมอยู่กับมันมากเกินไป ซ่งหวั่นถึงจึงแทบไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว
ในตอนนี้เอง เสียงกดออดหน้าประตูห้องก็ดังขึ้นมา
เธอลุกขึ้น เดินไปที่ประตู แล้วมองผ่านตาแมว เมื่อพบว่าเป็นผู้ช่วยคนสนิท จึงเปิดประตูออก
หน้าประตู ผู้ช่วยสาววัยละอ่อนเอ่ยพูดว่า “ประธานซ่ง คุณยังไม่ได้กินอะไร น่าจะหิวแล้วใช่ไหมคะ ให้ฉันสั่งอะไรให้คุณ แล้วให้
พนักงานนำมาส่งให้ที่ห้องไหม?”
ซ่งหวั่นถิงเองก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา ดังนั้นจึงพยักหน้า แล้วพูดว่า “อืม เธอช่วยฉันสั่งมาหน่อยแล้วกัน”
ขณะที่พูด ซ่งหวั่นถิงก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “พวกเธอกินอะไรหรือยัง?”
ผู้ช่วยสาวพยักหน้า “กินแล้วค่ะ”
ซ่งหวั่นถึงยิ้มออกมาเล็กน้อย พูดว่า “งั้นก็ดีแล้ว”
ยี่สิบนาทีต่อมา พนักงานของโรงแรมก็เข็นรถ นำอาหารเย็นที่ผู้ช่วยสั่งให้ซ่งหวั่นถึงมาส่งที่ห้อง
ซ่งหวั่นถิงปิดโน้ตบุ๊คลง เธอนั่งลงกินข้าวเข้าไปได้ไม่ทันไร จู่ๆสายโทรศัพท์จากฮาชิโมโตะ ซินคิจิก็ดังขึ้นมา